เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงสบตากันในระยะใกล้ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เห็นภาพสะท้อนในดวงตาของอีกฝ่าย
ทั้งหมดล้วนเงียบงัน ไม่มีแม้แต่เสียงเดียว
หลังจากเวลาผ่านไป ทั้งสองก็แยกจากกันในที่สุด
“ข้าหิวแล้ว” สวีโหย่วหรงกล่าวอย่างจริงจังยิ่ง
เสียงเฉินฉางเซิงสั่นอยู่บ้างในยามที่เขาถาม “อยากกินอะไร”
กระเรียนขาวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ทะลวงผ่านเมฆและลงสู่หมู่บ้านเล็กๆ ใกล้แม่น้ำถงเจียง
สวีโหย่วหรงนำเขามายังบ้านที่ไม่มีอะไรโดดเด่น ที่ซึ่งนางได้รับการต้อนรับจากหญิงวัยกลางคนอย่างปลาบปลื้ม
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงอยากกินเนื้อซี่โครงของถนนฝูสุยในจิงตูมาก
หญิงวัยกลางคนตอบ “ข้าย่อมไม่รู้วิธีทำอาหารของชาวเหนือ แต่วันนี้ข้าจับปลามาได้สามตัว ให้ข้าทำปลาผัดเต้าหู้แดงให้พวกท่านกินดีหรือไม่”
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงสบตากัน พวกเขาไม่คาดคิดว่าสิ่งที่พวกพลาดไปในวันนั้นจะได้รับการชดเชยในวันนี้
……
……
เนื้อปลาอ่อนนุ่มรวมกับเนื้อเต้าหู้ที่อ่อนนุ่มยิ่งกว่ากลายเป็นรสสัมผัสที่อร่อยล้ำ ยิ่งเพิ่มน้ำแดงรสจัดก็ทำให้คนต้องเอ่ยปากชม
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงนั่งกินอาหารอย่างเงียบเชียบเป็นเวลานานเหมือนกับครั้งที่อยู่ถนนฝูสุย หลังจากได้กินจนพอใจแล้วพวกเขาจึงเริ่มพูดคุยกัน
อาหารจานรองหลากหลายชนิดถูกจัดวางไว้รอบหม้อปลาดูงดงามมาก สวีโหย่วหรงพลันขอให้เพิ่มนั่วหมี่เกาขึ้นมาอีก
“ดูเหมือนเจ้าจะชอบกินของหวาน”
เฉินฉางเซิงนึกไปถึงพุทราเชื่อมที่นางพกติดตัวไปทะเลสาบสวรรค์บนหานซาน
สวีโหย่วหรงไม่ตอบคำแต่หน้าแดงขึ้นมา บางทีเพราะนางรู้สึกเผ็ดหรือบางทีเพราะรู้สึกร้อน
พวกเขาร่วมกันวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงไม่กี่วันมานี้
ตอนนี้สามารถมองเห็นวิธีคิดของราชสำนักได้อย่างชัดเจน เป็นเรื่องที่เฉินฉางเซิงเตรียมใจเอาไว้นานแล้ว อย่างไรก็ตามเขาก็ยังเศร้ากับการตายของนักบวชซิน
นักบวชซินเรียกได้ว่าเป็นพยานการเกิดใหม่ของสำนักฝึกหลวงคนแรกๆ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะมีอีกตัวตนหนึ่ง ยังมีเรื่องแผนร้ายของดินแดนต้าซี แม้ว่ามันจะถูกเปิดโปงแล้ว แต่ก็พูดได้ว่ามันยังไม่จบ เปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ไปยังเมืองไป๋ตี้แต่ยากจะบอกได้ว่าพวกเขาจะจบลงเช่นใด
“จักรพรรดิขาวน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้กับราชามาร เขาใช้เวลาหลายปีมานี้กักตนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ดังนั้นเมืองไป๋ตี้ย่อมอยู่ในมือของมู่ฮูหยิน”
สวีโหย่วหรงมองไปที่เขา ไม่พยายามที่จะปกปิดความกังวล เพราะนางรู้ว่าทำไมมังกรดำน้อยถึงไปยังเมืองไป๋ตี้
“ตอนที่เผ่าปีศาจก่อตั้งประเทศ มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งมีส่วนช่วยเหลืออย่างมาก อยู่ที่นั่นจี๊ดจี๊ดน่าจะปลอดภัย”
เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้าแค่เป็นห่วงผู้อาวุโสเปี๋ยยั่งหง”
สวีโหย่วหรงนึกถึงร่างเดียวดายของเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ตอนที่พวกเขาเดินเข้าสู่เมฆในวันนั้นและเงียบไปเช่นกัน
โลกยังไม่มีสันติ แม้แต่สองยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ยังมีเรื่องเศร้าโศก แล้วใครกันที่จะเลี่ยงการเกี่ยวพันได้
ไม่นับเรื่องที่เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราชในขณะที่สวีโหย่วหรงเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ในเวลานี้การจะถอนตัวไปอยู่ในทุ่งหญ้าดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้
เฉินฉางเซิงกล่าว “ตอนนี้พอพูดถึงแล้ว คนที่ข้าควรขอบคุณมากที่สุดในวันนี้ก็คือชิวซานจวิน”
สวีโหย่วหรงตอบ “ศิษย์พี่เป็นคนที่ยอดเยียมจริงๆ”
นางกล่าวด้วยสีหน้าสุขุมอย่างมาก น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความใกล้ชิดและไว้ใจ
ผู้ชายทั่วไปฟังแล้วคงไม่พอใจเท่าไร
เฉินฉางเซิงไม่ใช่ผู้ชายทั่วไป แต่เขาก็ยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
แต่เขาไม่พูดอะไรออกมา เพราะผลงานของชิวซานจวินวันนี้นับว่าคู่ควรให้เขาต้องขอบคุณ
ยิ่งไปกว่านั้นที่คอกม้าผาชัน เขาได้เห็นและสัมผัสได้ว่าชิวซานจวินเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
หลังจากได้ฟังเรื่องคอกม้าผาชันจากเฉินฉางเซิง สวีโหย่วหรงก็ตกใจพูดอะไรไม่ออก คิดในใจ ท่านกับศิษย์พี่มีสายตาธรรมดาไปหน่อย…
“ตอนที่ข้าดื่มสุรากับเขาที่ริมลำธาร เขาพูดกับข้าว่าเขาชอบผู้หญิงคนหนึ่ง”
เฉินฉางเซิงมองสวีโหย่วหรงในขณะที่กล่าวอย่างสบายๆ
สวีโหย่วหรงตอบอย่างสุขุม “เจ้ามีผู้หญิงอยู่ข้างกายมากมายเสมอ”
นี่เป็นเรื่องจริง
ตอนแรกก็เป็นลั่วลั่วกระโดดข้ามกำแพงสำนักฝึกหลวงกับสวนร้อยหญ้ามาขอร้องให้เฉินฉางเซิงเป็นอาจารย์ให้นาง จากนั้นก็มีมังกรดำน้อยใช้เลือดแท้ของนางช่วยเขาเอาไว้ และหลังจากนั้นก็มาเป็นผู้คุ้มกันของเขา ยังมีม่ออวี่ที่ติดใจกลิ่นหมอนกับผ้าปูเตียงของเขา แอบเข้าสำนักฝึกหลวงคืนแล้วคืนเล่า แล้วตอนนี้ยังมีองค์หญิงเล็กแห่งเผ่ามารที่จับเสื้อเขาเอาไว้อยู่ตลอด
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ดังนั้นเขาได้แต่ก้มหน้ากินตั้งใจจะหยิบนั่วหมี่เกาสักชิ้น
สวีโหย่วหรงไม่ยอมให้เขาได้หยิบ
เขาถามด้วยความสับสนว่าทำไม
สวีโหย่วหรงรู้สึกอาย ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร นางจึงได้แต่หยิบนั่วหมี่เกาทั้งหมดใส่จานตัวเอง
เฉินฉางเซิงคิดว่านางโกรธ เขาจึงรู้สึกว่ายากจะอธิบายเรื่องหญิงสาวที่เหลือ แต่ยังมีเรื่องอื่นที่เขาสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน
“ตอนข้าสิบขวบ ข้าพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคที่ไม่อาจรักษา มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี…ดังนั้นข้าจึงไม่ตอบจดหมายเจ้า”
สวีโหย่วหรงตระหนักว่าเขาไม่ได้นอนหลับในตอนนั้นและได้ยินคำถามของนางอย่างชัดเจน นางรู้สึกอายยิ่งขึ้นและก้มหน้าเงียบ
เฉินฉางเซิงมองนางและกล่าวอย่างจริงใจ “อย่าโกรธข้าเรื่องนี้เลยนะ”
เขากับสวีโหย่วหรงอายุเท่ากัน วันเกิดห่างกันแค่สามวันเท่านั้น
ตอนพวกเขาอายุหกขวบ ก็มีสัญญาหมั้นหมายกันแล้ว
สวีโหย่วหรงเป็นคนเช่นใด ตอนห้าขวบนางก็ปลุกเลือดแท้หงส์สวรรค์และนางก็เป็นคนที่ถูกเลี้ยงดูมาจากทั้งจักรพรรดินีศักดิ์และเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
แม้ว่านางจะอายุแค่หกขวบครึ่งในตอนนั้น อย่าว่าแต่ปู่นางที่เป็นขุนนางใหญ่ แม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็ต้องถามความเห็นนางก่อนที่จะจัดการเรื่องแต่งงานให้นาง
นับจากวันที่นางรู้ว่านางหมั้น นางก็สงสัยมาตลอดว่าอีกฝ่ายเป็นใครและให้กระเรียนขาวไปเมืองซีหนิงเพื่อส่งจดหมาย
เมื่อได้รับจดหมายจากนาง เฉินฉางเซิงตอบกลับไป เป็นแบบนี้ไปจนกระทั่งพวกเขาอายุสิบขวบจึงหยุดลง
พวกเขาไม่เคยเป็นคนแปลกหน้า
แต่ตอนที่จดหมายหยุดลง สวีโหย่วหรงก็เริ่มเกลียดชังนักพรตน้อยและไม่เต็มใจจะจดจำเวลาเหล่านั้น
ตอนนี้เรื่องราวเมื่อพวกเขายังเด็กอย่างแมลงปอไม้ไผ่ก็ถูกนึกถึงขึ้นช้าๆ
“ตอนเจ้าถามข้าว่าข้าเป็นใครในจดหมายฉบับแรก นั่นไม่ฟังแย่ไปหน่อยหรือ”
“แย่ตรงไหน ข้าก็แค่สงสัยอย่างมากเท่านั้น”
“แต่ในจดหมายฉบับสุดท้าย เจ้าด่าข้ารุนแรงทีเดียว”
“ใครให้เจ้าไม่ตอบจดหมายข้า”
“ข้าไม่อยากลากเจ้าเข้ามา และเจ้าก็ไม่ได้รักข้าสักหน่อยในตอนนั้น”
“อืม แต่อันที่จริงก็รักนะ”
“เจ้าพูดอะไร”
“ข้าบอกว่าตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ข้ารักเจ้ามาตลอด”
“ข้าก็เหมือนกัน”
“ตั้งใจจะไปที่ไหนต่อ”
“หลีซาน”
สีหน้าสวีโหย่วหรงเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อยตอนที่ถาม “เจ้าอยากพบศิษย์พี่หรือ”
เฉินฉางเซิงครุ่นคิดถึงคำถามนี้แล้วตอบ “ข้าอยากพบศิษย์พี่”
นี่เป็นการพูดประชด หากสวีโหย่วหรงไม่ฉลาดแบบนี้นางก็คงยากที่จะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
นางถามอย่างจริงจัง “แล้วเมืองไป๋ตี้ล่ะ”
เฉินฉางเซิงนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเจ๋อซิ่วในตอนนี้และกล่าว “ทุกเรื่องมีก่อนมีหลัง ข้าจะพิจารณาเรื่องอื่นหลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว”