ภาค 9 หนึ่งกระบี่ปราบโกลาหลในใต้หล้า บทที่ 850 การสืบทอดลับ หกจักรพรรดิที่เป็นปริศนา

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ มีชื่อว่าราชันหยกบริสุทธิ์ มีชื่อเต็มว่าเทวกษัตริย์เทพกำเนิดผู้ปกครองฟ้าจักรพรรดิอายุวัฒนาราชันหยกวิสุทธิ์เทพเจ้าผู้ส่งส่ง

เขาถูกจัดเป็นสี่เทวราชเหมือนกับจักรพรรดิดาวเหนือจื่อเวยผู้อยู่กลางหาว และมารดาแห่งแผ่นดินผู้มีธรรมและเมตตารองรับฟ้า เป็นหนึ่งในบุคคลแห่งสำนักเต๋าที่สุดยอดที่สุดอย่างแท้จริง

พระองค์ไม่ใช่เป็นดาวแห่งอายุหรือผู้เฒ่าหนานจี๋ที่คนทั่วไปเรียกขนาน แต่ว่าเป็นจ้าวแห่งเทพสายฟ้าที่ควบคุมฤดูกาลและโชคลาภ สามารถเรียกลมเรียกฝน บัญชาสายฟ้าและเหล่าภูติผี มีหน้าที่ในการดูแลการเกิดโชคของสรรพสิ่ง

อีกทั้งยังมีชื่อว่าเทวกษัตริย์เสริมอัสนี จ้าวแห่งสายฟ้า

คัมภีร์อายุวัฒนาของอารามสูงส่งแห่งเขาเมฆเลือนในเขตสุราลัยบูรพา กับวิชานภาเทพของตำหนักขุยสายฟ้าแห่งเขานภาเขียวในเขตสารทอิสาน ล้วนเป็นวิชาของจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋

ดังนั้นบนโลกซ้อนโลกจึงมีคำพูดว่า หากสืบย้อนวิชาของประมุขอิสานกับประมุขบูรพาขึ้นไปถึงแหล่งกำเนิด ทั้งสองถือว่าเป็นสำนักเดียวกัน

เพียงแต่ว่า ความเห็นในเรื่องหลายเรื่องของทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่าง ปกติแล้วมีความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกัน

สิ่งที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสนใจก็คือ ว่ากันว่าจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ก็บรรลุถึงคัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิตต ซึ่งเป็นหนึ่งในคัมภีร์นภาต้นกำเนิดสิบม้วนเช่นกัน

เมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องที่ประมุขอิสานหลิวเจิงกู่คุ้ยเคยกับมารดาของตนขนาดนี้ และทางประมุขบูรพาก็เหมือนไม่ได้รู้สึกแปลกหน้า เยี่ยนจ้าวเกอก็อดเกิดการคาดเดาบางส่วนในใจไม่ได้

หลิวเจิงกู่เองก็ยินดีพิสูจน์การคาดเดาของเยี่ยนจ้าวเกอเช่นกัน

เมื่อพูดถึงสำนักของเสวี่ยชูฉิง สีหน้าของหลิวเจิงกู่ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลงหลายส่วน “อาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักของมารดาเจ้าก็คือหนึ่งในเก้านพเคราะห์แห่งคุนหลุน ราชันพระพฤหัสบดี”

เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำกับตัวเอง “อย่างนี้นี่เอง…”

ที่อยู่ของราชันพระพฤหัสบดีเป็นที่สงสัยกันมาโดยตลอด แม้มีคนบอกว่าเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีหลักฐานใด

บนโลกซ้อนโลก เหลือข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้มีอยู่เพียงน้อยนิด เยี่ยนจ้าวเกอเพิ่งเคยได้ยินคนพูดถึงเป็นครั้งแรกนี่เอง

เพียงแต่กลับคิดไม่ถึงเลย ว่ามารดาของตนจะเป็นผู้สืบทอดของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ท่านนี้

หลิวเจิงกู่กล่าวต่อ “หลายปีก่อนหน้านี้ ความจริงโลกซ้อนโลกความจริงไม่ได้มีแค่ห้าจักรพรรดิ แต่มีหกจักรพรรดิ หนึ่งในจำนวนนี้ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ก็คือลูกศิษย์ของราชันพระพฤหัสบดี และเป็นอาจารย์รุ่นปู่ของมารดาเจ้า”

เยี่ยนจ้าวเกอหลังจากได้ยินก็แยกเขี้ยวเงียบๆ ‘ฟังดูแล้วเหมือนเป็นสิ่งที่คล้ายกับประวัติศาสตร์ยุคมืดจริงๆ’

จักพรรรดิผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีคนรู้จักน้อยนิด ความจริงบ่งบอกถึงเรื่องหนึ่ง

บุคคลระดับสุดยอดที่เหลือ ทั้งสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิ ต่างไม่ยอมรับตัวตนของคนผู้นี้ อย่างน้อยในสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิก็ไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของเขา

เมื่อเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในปัจจุบันของเสวี่ยชูฉิงแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเป็นเพราะนางคือผู้สืบทอด หรือเป็นเพราะสาเหตุคล้ายๆ กัน จึงต้องประสบกับสภาพจนตรอก

ตอนนี้เมื่อลองนึกย้อนดดู ที่หลิวเจิงกู่ทำท่ามีลับลมคมในเกี่ยวกับสาเหตุที่เสวี่ยชูฉิงถูกไล่ตามเมื่อครู่ ก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลจริงๆ

ครั้นคิดถึงตรงนี้ เยี่ยนจ้าวเกอจึงคิดจะพิสูจน์การคาดคะเนหนึ่งเมื่อก่อนหน้านี้ “ท่านผู้อาวุโส อาจารย์รุ่นปู่ของมารดาข้าเคยสนิทสนมกับจักรพรรดิประกายกาฬใช่หรือไม่”

หลิวเจิงกู่มองเยี่ยนจ้าวเกออย่างประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “มิผิด”

ดวงตาของเยี่ยนจ้าวเกอดูหยั่งลึกอยู่บ้าง

เขาพลันสงสัยว่าการตายอย่างเป็นปริศนาของจักรพรรดิประกายกาฬในอดีต รวมถึงความเสื่อมโทรมของสำนักประกายกาฬ จะเกี่ยวข้องกับการสืบทอดของท่านแม่หรือไม่

เพราะว่า อิ่นเทียนเซี่ยกับสำนักประกายกาฬพัวพันเข้าไปลึกเกินไป ข้ามขอบเขตบางอย่าง…

ในตอนนั้นเยี่ยนจ้าวเกอนึกว่ามิตินอกแดนที่สำนักประกายกาฬยกทัพไป เป็นสถานที่ที่เหมือนกับนพยมโลก

ทว่าหลังจากที่ทราบถึงการดำรงอยู่ของ ‘กำแพง’ และทราบว่าศาสนาพุทธยังคงอยู่ เยี่ยนจ้าวเกอก็จำต้องพิจารณา ว่าบางทีตนในตอนนั้นอาจจะคิดถึงเรื่องนี้ง่ายดายเกินไป

แต่ว่าถ้าหากเป็นปัญหาของศาสนาพุทธ แล้วประมุขอิสานหลิวเจิงกู่กำลังกริ่งเกรงอะไร

แม้คนในโลกซ้อนโลกจะไม่ได้รู้จักการคงอยู่ของศาสนาพุทธเหมือนกับมรกตท่องฟ้า แต่หลิวเจิงกู่จะต้องทราบถึงข้อนี้แน่

เยี่ยนจ้าวเกอหยั่งเชิงดู “ขอเรียนถามประมุขอิสาน เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธใช่หรือไม่”

หลิวเจิงกู่มองเยี่ยนจ้าวเกออย่างล้ำลึก แล้วถอนใจกล่าวพลางหัวเราะว่า “เจ้ารู้เรื่องไม่น้อยทีเดียว แต่นี่สมควรไม่ใช่ดรุณีน้อยนั่นบอกเจ้ากระมัง”

ชายหนุ่มตอบตามตรง “ก่อนหน้านี้ข้าออกจากโลกซ้อนโลก ท่องอยู่ในมิตินอกแดน ข้าได้พลิก ‘กำแพง’ นั้น ไปถึงโลกแห่งพระธรรมที่ชื่อว่าแดนขวางกั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ”

หลิวเจิงกู่พยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้า “เจ้าเดาผิดแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับคนโกนศีรษะเหล่านั้น”

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอพลางเอ่ยว่า “อย่าคิดหลอกให้ข้าพูดจะดีกว่า นี่เพื่อตัวเจ้าเอง”

สีหน้าในตอนนี้ของชายชรามงกุฎม่วง ไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลง กล่าอย่างจริงจัง “ข้าจดจำไว้แล้ว”

หลิวเจิงกู่พยักหน้าอย่างชมเชย “ข้าทราบว่าในใจเจ้ามีข้อสงสัยมากมาย แต่ก็เหมือนอย่างที่พูดก่อนหน้า หากมีวันที่เจ้าได้พบมารดาของเจ้า เจ้าก็ถามเองเถอะ ถ้านางคิดว่าบอกเจ้าได้ เจ้าก็จะรู้เอง”

“เช่นนั้นผู้อาวุโส อาจารย์รุ่นปู่กับอาจารย์ของท่านแม่ข้า หรือผู้อาวุโสคนอื่นในสำนัก ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอถาม

หลิวเจิงกู่ส่ายหน้า “พวกเขาถ่ายทอดวิชาให้แค่ศิษย์คนเดียว อาจารย์ของมารดาเจ้าได้เสียชีวิตไปแล้ว”

“ส่วนอาจารย์รุ่นปู่ของนางก็ไม่ปรากฏตัวมาหลายปีแล้วเช่นกัน ข้าติดต่อเขาไม่ได้ บางทีอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว หรืออาจจะอยู่ในสถานที่สักแห่งด้านนอกโลกซ้อนโลก”

เอาเป็นว่าจะต้องไม่อยู่ในโลกซ้อนโลกแน่ ไม่เช่นนั้นเสวี่ยชูฉิงก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวไปทั่วเช่นนี้

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ถ้ามีพลังฝึกปรือสูงกว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป จะสามารถไปยังโลกเบื้องล่างและอาศัยอยู่ได้ตามใจ การกีดกันจากพลังแห่งเขตแดนของฟ้าดินในโลกเบื้องล่างทำอะไรไม่ได้”

เยี่ยนจ้าวเกอค้อมศีรษะเล็กน้อย “ที่แท้เป็นเช่นนี้”

หลิวเจิงกู่ถาม “ดูจากท่าทางของเจ้า นอกจากจะฆ่าลูกศิษย์ของอารามสูงส่งไปจำนวนหนึ่ง ยังจับคนไว้ด้วยใช่หรือไม่ เจ้าจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร”

ชายหนุ่มหัวเราะ “ที่ตอนแรกข้าไม่ลงมือสังหารทิ้งสักคน ก็เป็นเพราะเรื่องของท่านแม่ ทุกคนต่างเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู”

“ตอนนี้มีคนหลายคนถูกข้าสังหารทิ้งไปแล้ว คนที่เหลือย่อมไม่จำเป็นต้องเก็บไว้เป็นตัวประกัน จะสังหารพวกเขาทิ้งหรือว่าดูแลอย่างเต็มที่แล้วค่อยปล่อยไป ก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมมอบสุขสักอย่างให้กับพวกเขา”

เขาแบมือ “ที่ข้าจับพวกเขาไว้ตอนแรกเพราะต้องการถามเรื่องบางประการ แต่สิ่งที่ข้าอยากรู้ ท่านได้บอกข้าหมดแล้ว สิ่งที่ท่านไม่ได้บอกข้า พวกเขาย่อมไม่มีทางรู้ การเก็บพวกเขาไว้ต่อไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว”

หลิวเจิงกู่หัวเราะเหอะๆ “ประเสริฐนัก มิน่าถึงได้ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ได้ ต่อจากนี้เจ้าจะไปยังที่ใด กลับเขตหยางเทียนตะวันออกหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “มีความคิดเช่นนี้อยู่จริงๆ”

หลิวเจิงกู่หลังจากใคร่ครวญครู่ก็ก็บอกว่า “ช่างเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้าเอง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องข้ามเขตสุราลัยบูรพาทั้งเขต”

“สถานการณ์ของที่นี่ไม่มีคนทราบ แต่ถ้าเกิดเรื่องหลุดออกไป อารามสูงส่งจะต้องไม่ยอมนิ่งดูดายแน่ ถึงอย่างไรเขตสุราลัยบูรพาก็เป็นอาณาเขตของพวกเขา ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับดรุณีน้อยเสวี่ยชูฉิงนั่น ให้ปิดไว้เท่าที่จะทำได้”

หลิวเจิงกู่พูดพลางสะบัดมือ พาพวกเยี่ยนจ้าวเกอบินไปบนฟ้า

มาตรแม้นว่าวิชาวรยุทธ์ที่ฝึกปรือจะแตกต่าง แต่ต่างมาจากจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋เหมือนกัน จึงมีจุดร่วมอยู่มากมาย

วรยุทธ์สายนี้ มีทั้งพลังชีวิตและรังสีสังหาร แม้แต่ปราณวิญญาณกับสายฟ้าคลั่งก็มีเช่นกัน

ทั้งเก็บทั้งสั่งสม เป็นมรรคาสายหลัก

หลิวเจิงกู่กับจอมยุทธ์ตำหนักขุยสายฟ้าส่วนใหญ่แล้วค่อนข้างดุดัน ความจริงตรงข้ามกับหลักการปกติของวิชาวรยุทธ์ของพวกเขาเล็กน้อย

การเพิ่มระดับจะประสบกับคอขวดได้ง่ายกว่า อีกทั้งยังยากจะทำลาย

แต่ว่าเป็นก็เป็นเพราะสาเหตุนี้ พลังส่วนตัวของหลิวเจิงกู่จึงเหี้ยมหาญเป็นพิเศษ

เมื่อมีเขาเป็นคนส่ง ต่อให้พบประมุขบูรพาบนเขตสุราลัยบูรพา เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ต้องหวั่นวิตก นอกเสียจากว่าหลิวเจิงกู่จะไปถีบประตูสำนักเขาเมฆเลือน

………………..