ตอนที่ 1028 ภูตทมิฬกับศิลาโลหิตภูต

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เมฆรูปเห็ดขนาดยักษ์สีแดงสดก้อนหนึ่งผุดขึ้นมา เสาอัคคีสีแดงฉานต้นหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางการระเบิด ชั่วขณะหนึ่งมองไม่เห็นเงาร่างของบุรุษแซ่หมิ่นกับผีแม่ทัพชุดเกราะสีน้ำเงินตนนั้นแม้แต่น้อย

ทหารผีหลายสิบตนที่เดิมทีอยู่ใกล้การต่อสู้ของทั้งสองถูกเสาอัคคีกลืนเข้าไปในพริบตา ยังไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้องก็สลายไปแล้ว คลื่นพลังโจมตีมหาศาลแผ่กระจายออกมาในทันใด สายลมแรงจากการระเบิดพริบตาพัดไปทั่วบริเวณร้อยจั้งรอบด้าน ผีรองแม่ทัพรวมถึงทหารผีที่ไม่ทันป้องกันพากันถอยหลังออกไป ม่านแสงสีดำสนิททรงกระบอกรอบนอกสั่นสะท้านในพริบตา

ผีแม่ทัพผมแดงเห็นเช่นนี้พลันหน้าถอดสี มันไม่มีเวลาสนใจไล่โจมตีพวกหลิ่วหมิงสองคนอีก ร่างกายขยับวูบเดียวโถมไปยังจุดที่ระเบิด

ในตอนนี้เองแสงกระบี่สีเทาขนาดหลายสิบจั้งสายหนึ่งก็เหาะออกมาจากในเสาอัคคีแล้วพุ่งเข้าชนม่านแสงสีดำสนิทที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างไม่หยุดสักนิด

“เปรี้ยง!” เสียงดังสนั่น

ม่านแสงสีดำที่ง่อนแง่นอยู่แล้วถูกแสงกระบี่สีเทาฉีกออกเป็นช่องว่างขนาดสองถึงสามจั้งช่องหนึ่ง!

แสงกระบี่สีเทาขยับวูบโดยไม่หยุดอีกครั้ง มันเหาะออกไปไกล เลือนหายวูบเดียวก็ออกห่างไปหลายร้อยจั้ง กลายเป็นจุดสีเทาจุดหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

“คงค่ายกลไว้! อย่าให้คนอื่นหนีไปได้!” ผีแม่ทัพผมแดงเห็นเช่นนี้พลันโกรธจัดคำรามลั่น

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สองมือพลันทำท่าเคล็ดวิชาท่าแล้วท่าเล่าประหนึ่งกงล้อ กระบี่ขู่หลุนปรากฏออกมาจากร่างเขาแล้วกลายเป็นเงากระบี่สีม่วงยาวสิบกว่าจั้งเส้นหนึ่งทันที

ฟึบ!

แสงกระบี่สีม่วงหนาเส้นหนึ่งพุ่งตรงไปยังช่องว่างบนเกราะแสงอย่างรวดเร็ว จุดที่มันพุ่งผ่าน ปราณกระบี่แผ่พุ่งไปรอบด้าน ผีร้ายหลายตนรอบข้างถูกแสงกระบี่เล่นงานจนกลายเป็นผุยผง

ผีแม่ทัพผมแดงคำรามเสียงประหลาดครั้งหนึ่ง แขนสองข้างสะบัดออกไปเบื้องหน้า เงากรงเล็บข้างแล้วข้างเล่าปรากฏขึ้นกลางอากาศหมายจะขวางแสงกระบี่เอาไว้

ทว่าอึดใจต่อมาแสงเรืองรองสีทองผืนหนึ่งก็สาดซัดมาถึง ไม่รู้ว่าแมงป่องกระดูกถูกหลิ่วหมิงปล่อยออกมาตั้งแต่เมื่อไร

ทันทีที่ร่างกายมหึมาของผีแม่ทัพผมแดงถูกแสงเรืองรองสีทองนี้สัมผัส บนร่างก็เกิดเสียงดังชี่ มันหน้าถอดสีรีบบังคับร่างกายพุ่งถอยออกไปทันที

เมื่อไม่มีอุปสรรคแล้ว แสงกระบี่สีม่วงโฉบวูบเดียวก็ฟันลงบนช่องว่างบนเกราะแสงที่บุรุษแซ่หมิ่นเปิดเอาไว้

เปรี้ยง!

ช่องโหว่ที่เดิมขนาดสองถึงสามจั้งฉับพลันขยายจนใหญ่สี่ถึงห้าจั้ง

ตอนนี้เองหลิ่วหมิงพลันเปลี่ยนท่าเคล็ดกระบี่ที่มือ ใช้วิชาขี่กระบี่พาเซียเอ๋อร์กลายเป็นแสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งพุ่งทะลุช่องโหว่เหาะเร็วรี่จากไปไกลทันที

ในเวลาเดียวกันนี้สมาชิกคนอื่นของหน่วยย่อยก็ใช้วิชาปกป้องชีวิตอย่างไม่เก็บงำฝีมือเช่นกัน

คุณชายเยาว์วัยเดิมทีก็อยู่ห่างจากบุรุษแซ่หมิ่นไม่ไกล เวลานี้เขาไม่พูดพร่ำพลิกมือเรียกมุกกลมสีน้ำเงินลูกหนึ่งออกมาบีบจนแหลก สายลมสีน้ำเงินสายหนึ่งล้อมร่างของเขาเอาไว้แล้วพุ่งออกจากช่องโหว่ตามหลิ่วหมิงไปติดๆ

อีกด้านหนึ่งบุรุษหัวล้านกับชายหนุ่มผอมแห้งอัปลักษณ์เดิมทีสู้โดยหันหลังชนกันอยู่

ทันใดนั้นบุรุษหัวล้านก็หมุนตัว เหวี่ยงค้อนยักษ์ในมือไปทางช่องโหว่พร้อมกับอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งจมลงไปในค้อนยักษ์

เสียงบึ๊มดังสนั่นสะเทือนแก้วหูแทบดับดังขึ้นครั้งหนึ่ง ค้อนยักษ์สีเทาหม่นอันหนึ่งปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าแล้วทุบไปเบื้องหน้าหนักหน่วง

บุรุษหัวล้านตวาดก้องแล้วกระโจนออกมา เกราะป้องกันสีเทาอ่อนชั้นหนึ่งหุ้มรอบร่าง ตามเงาค้อนยักษ์ไปติดๆ เขาพุ่งไปถึงช่องโหว่ได้อย่างราบรื่นระหว่างที่ทนรับการโจมตีหลายครั้งจากทหารผีรอบด้าน แต่อึดใจเดียวก็เหาะหนีผ่านช่องโหว่พุ่งออกจากวงล้อมมาได้

ชายหนุ่มผอมแห้งอัปลักษณ์ก็ไม่ยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ดาบคู่ในมือไม่รู้กลายเป็นแสงดาบสองสายสีดำกับสีแดงตั้งแต่เมื่อไร ทันทีที่พวกมันไขว้ตัดกัน เสาอัคคีใหญ่ยักษ์หนาหนึ่งจั้งก็พุ่งขึ้นฟ้าจากจุดตัดระหว่างสีดำกับสีแดงแล้วทะลวงผ่านช่องโหว่มุ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวชุดแดงเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวช้าที่สุด แต่นางก็ตอบสนองอย่างทันทีเช่นกัน นางโบกมือครั้งหนึ่ง ยันต์สีขาวแวววาวแผ่นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากมือ

แสงสีขาวสว่างวาบ ผลึกน้ำแข็งเรียวยาวหนาเท่าแขนนับไม่ถ้วนพาเสียงหวีดหวิวแสบแก้วหูพุ่งรวดเร็วล้อมกองทัพผีร้ายที่อยู่ด้านหน้าประหนึ่งลูกธนูอันรุนแรง

แสงสีแดงสว่างวาบบนร่างของหญิงสาวชุดแดง นางกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งไปอีกทางภายใต้การปกป้องของผลึกน้ำแข็งเต็มฟ้า

“สมควรตาย!”

ในตอนนี้เองเงาร่างหนึ่งก็เหาะออกมาจากใจกลางการระเบิด เห็นชัดว่าเป็นผีแม่ทัพเกราะสีน้ำเงินที่สู้กับบุรุษแซ่หมิ่นตนนั้น

แต่ในเวลานี้มันดูค่อนข้างสะบักสะบอม เกราะสีน้ำเงินบนร่างขาดเป็นชิ้นๆ ร่างกายครึ่งหนึ่งมีควันสีดำลอยโขมงออกมา แขนขาซ้ายขวาล้วนหายไป บนหน้าอกเห็นแนวซี่โครงโชกเลือดอย่างชัดเจน

ทว่าแม้จะบาดเจ็บหนักแต่ก็ดูไม่อันตรายถึงชีวิต สองตาแดงดุจโลหิตเห็นชัดว่าถูกยั่วโมโหจนถึงขีดสุด

ผีแม่ทัพเกราะสีน้ำเงินกวาดดวงตาสีโลหิตแล้วจับจ้องไปที่หญิงสาวชุดแดงที่ยังเหาะไปได้ไม่ไกลนัก

พร้อมกับที่เสียงคำรามดุจสัตว์ป่าดังออกจากปากของมัน มือก็ขยับวูบหนึ่ง แสงสีดำส่องสว่างแล้วมีหอกยาวสีดำยาวหนึ่งจั้งกว่าเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

แขนออกแรงสะบัดครั้งเดียว หอกยาวสีดำพลันกลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งพุ่งไปที่แผ่นหลังของหญิงสาวชุดแดง

เวลานี้หญิงสาวชุดแดงพุ่งออกไปหลายสิบจั้งแล้ว นางกำลังจะฉวยจังหวะวุ่นวายหนีออกจากวงล้อมของกองทัพผีร้ายได้อยู่แล้ว ทว่าทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงหวีดหวิวแหลมแสบแก้วหูดังขึ้น

สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปในทันใด นางไม่ต้องคิดก็สะบัดมือยิงแสงสีเงินสายหนึ่งออกไป โล่สีเงินรูปขนมเปียกปูนชิ้นหนึ่งพุ่งออกมา มันส่ายไหวเล็กน้อยวูบหนึ่งแล้วขยายจนใหญ่หนึ่งจั้งกว่าขวางอยู่ด้านหลังร่าง

เมื่อทำทุกสิ่งนี้เสร็จ นางจึงหันกลับไปมอง ทันใดนั้นก็ตะลึงเพราะหลังร่างว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด

หญิงสาวชุดแดงอึ้งไปชั่วครู่ ยังไม่ทันที่นางจะเข้าใจ เสียงกรีดแหลมก็ดังห่างไปไม่ถึงเอื้อมมือ แสงสีดำสว่างวูบ หอกยาวปรากฏห่างออกไปหนึ่งจั้งกว่าดุจภูตพรายแล้วพุ่งเข้าใส่โล่สีเงินเร็วดุจสายฟ้าฟาด

ใบหน้าหญิงสาวตะลึงงัน แสงสีดำกับแสงสีเงินประสานกัน ทว่าทันทีอากาศรอบหอกสีดำบิดเบี้ยวสั่นสะเทือน “ฟุ่บ” โล่สีเงินก็ถูกแทงทะลุดุจเศษกระดาษ

หอกเล่มนี้เสียบเข้ามาในท้องของหญิงสาวชุดแดงก็ระเบิดทันใด

หญิงสาวกรีดร้อง ร่างกลายเป็นชิ้นเนื้อกระจายไปรอบด้าน จิตวิญญาณยังไม่ทันลอยออกมาก็ถูกแสงสีดำสังหาร

หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างไปหลายร้อยจั้งได้ยินเสียงกรีดร้องจึงหันศีรษะกลับไปมอง ดวงตาฉายแววเศร้าวูบหนึ่ง จากนั้นแสงกระบี่สีม่วงพลันสว่างจ้า กระพริบวูบวาบสองสามครั้งกลายเป็นจุดแสงจุดหนึ่งหายไปบนท้องฟ้า

……

สองปีหลังจากนั้นในถ้ำใต้ดินที่มืดสลัวบางแห่ง

ภูตผีสีดำมืดหม่นหลายสิบตัวลอยไปลอยมาอยู่ในถ้ำดั่งเงาผีล้อมคนผู้หนึ่งไว้ตรงกลาง

คนผู้นั้นก็คือหลิ่วหมิง

เซียเอ๋อร์ยืนระหงอยู่ตรงนั้นข้างกายเขา สัญลักษณ์มงกุฎสีทองบนหน้าผากแผ่แสงสีทองอ่อนออกมา เงาภูตผีที่ล่องลอยอยู่เหล่านี้ไม่กล้าเหยียบเข้ามาในอาณาเขตแสงสีทอง ทำได้เพียงวนเวียนอยู่รอบด้าน แม้ว่าจะถูกลมปราณและเลือดเนื้อสดๆ บนร่างหลิ่วหมิงดึงดูดก็ตาม

หลิ่วหมิงไม่มองเงาภูตผีมืดหม่นรอบด้านมากนัก หลังจากเขารีรออยู่ที่เดิมครู่หนึ่งก็ก้าวยาวเดินไปข้างหน้า สายตาค้นหาบางสิ่งไปรอบถ้ำ

หลังจากเดินตามถ้ำไปหนึ่งเค่อ เงาภูตผีรอบตัวเขาก็ยิ่งมากขึ้นทุกที เริ่มปรากฏเงาภูตผีตัวใหญ่ขนาดหนึ่งจั้งกว่าหลายตน

ทันใดนั้นสายตาของหลิ่วหมิงก็หันไปจับอยู่บนผนังถ้ำจุดหนึ่งไม่ไกลด้านในถ้ำ ดวงตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วสะบัดมือ แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา

“ปัง!”

ผนังหินถูกโจมตีทลายไปแถบใหญ่พร้อมกับที่ผลึกหินสีน้ำตาลหม่นขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งร่วงลงมา ด้านบนเห็นลวดลายราวกับเส้นเลือดเส้นแล้วเส้นเล่า มันแผ่ลมปราณพิเศษอย่างหนึ่งออกมา ดมแล้วเหมือนกลิ่นคาวเลือดอยู่บ้าง

“หาพบอีกก้อนแล้ว!” ดวงตาเขาเปล่งประกายด้วยความยินดี

ครั้งนี้ที่เขามาถ้ำใต้ดินแห่งนี้เพราะได้รับภารกิจเก็บรวบรวมวัตถุดิบมาจากนิกาย ภารกิจเก็บรวบรวมหินแร่ชนิดหนึ่งชื่อศิลาโลหิตภูตซึ่งมีเฉพาะในทางปีศาจร้าย

แม้หินแร่ชนิดนี้จะเป็นหินแร่ธาตุหยิน แต่ด้านในกลับมีพลังจิตวิญญาณพิเศษชนิดหนึ่งที่ทำร้ายกองทัพผีร้ายได้ในระดับหนึ่ง มันจึงเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการหลอมลูกศรปราบภูตผี วันนี้ศึกใหญ่กำลังใกล้เข้ามา กองทัพแสงทองย่อมต้องรวบรวมให้ได้จำนวนมาก

ถ้ำแห่งนี้เป็นจุดที่สายแร่ศิลาโลหิตภูตอยู่ น่าเสียดายด้านในมีภูตผีที่ชื่อภูตทมิฬนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ แม้ภูตผีชนิดนี้จะสติปัญญาต่ำต้อย แต่กลับชอบสูบวิญญาณของผู้ฝึกฝนเป็นอาหาร อีกทั้งร่างกายดุจเงามืด การโจมตีทั่วไปยากนักจะทำอันตรายแก่พวกมันได้ ดังนั้นผู้ฝึกฝนที่กล้ามาเก็บศิลาโลหิตภูตที่นี่จึงมีไม่มาก

เมื่อกลิ่นของศิลาโลหิตภูตกระจายออกไป ภูตทมิฬรอบด้านก็ราวกับถูกกระตุ้น ภูตทมิฬตัวใหญ่ที่สุดหลายตัวหักห้ามตัวเองไม่ไหว ร่างกายลอยวนรอบหนึ่งก็โถมเข้ามาหาหลิ่วหมิงทันที

หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว มือข้างหนึ่งตบลงบนหัวไหล่ แสงสีน้ำเงินเปล่งออกมา เงาวัวสีน้ำเงินขนาดหลายจั้งตัวหนึ่งฉับพลันปรากฏ

“ไป!” เขาสะบัดมือ เงาวัวสีน้ำเงินโฉบไปถึงหน้าร่างภูตทมิฬตัวที่ใหญ่ที่สุดตัวหนึ่ง มันอ้าปากกว้าง พายุสีน้ำเงินลูกหนึ่งหอบพัดภูตทมิฬ ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่เป็นประโยชน์ ถูกเงาวัวสีน้ำเงินอ้าปากกลืนลงไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

ภูตทมิฬตัวอื่นเห็นภาพนี้ต่างหวาดผวา รีบหยุดร่างแล้วหมุนตัวหนีไป

แต่ภูตทมิฬเหล่านี้ไม่ได้หนีไปไกล พวกมันยังคงหยุดอยู่ใกล้ๆ จ้องหลิ่วหมิงเขม็ง บนใบหน้ามีสีหน้าไม่ยินยอมอยู่บ้าง

“นายท่าน ภูตผีพวกนี้ทำตัวลับๆ ล่อๆ ดูน่าชังเหลือเกิน ให้ข้าไปจัดการพวกมันเถิด!” เซียเอ๋อร์มองภูตทมิฬที่ยังวนเวียนอยู่ไกลๆ แล้วบึนปากเอ่ยขึ้นมา

“พวกเรารีบเก็บรวบรวมศิลาโลหิตภูต ไม่ต้องสนใจเจ้าพวกนี้” หลิ่วหมิงส่ายศีรษะบอก

ภูตทมิฬเหล่านี้เรียกได้ว่าสังหารไม่หมดไม่สิ้น ในถ้ำแห่งนี้ไม่รู้มีอยู่เท่าไร อีกทั้งที่สำคัญคือหลังสังหารไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ต่อให้ใช้เงาเชอฮ่วนกลืนกินก็ไม่มีผลให้ก้าวหน้าแต่อย่างใดเพราะพลังอ่อนแอเกินไป เขาย่อมไม่ยินดีทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้

สิ้นเสียง เขาก็สะบัดมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา เงาภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนเปล่งแสงสีน้ำเงินวูบหนึ่งแล้วบินกลับไปหยุดเหนือศีรษะของเขา

เซียเอ๋อร์พยักหน้า นางไม่พูดอะไรอีก แต่สายตาที่มองไปยังภูตทมิฬรอบตัวยังคงมีจิตสังหารอยู่จางๆ สัญลักษณ์มงกุฎสีทองบนหน้าผากทอแสงเรืองๆ อย่างห้ามไม่ได้

หลังจากหลิ่วหมิงเก็บผลึกสีน้ำตาลหม่นขึ้นมาก็เดินลึกเข้าไปในถ้ำต่อ

เซียเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็ทำหน้ายักษ์ใส่ภูตผีพวกนั้น จากนั้นร่างกายก็ลอยตามไปทันที

“นายท่าน หลังจากมอบของเหล่านี้ไปจะแลกแต้มคุณูปการจำนวนมากได้ใช่หรือไม่…” ลึกเข้าไปในถ้ำ เสียงเจี๊ยวจ๊าวของหญิงสาวดังออกมาเลือนราง