ตอนที่ 1029 ป้อมปราการไท่เทียน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เวลาไหลไปอย่างเร็วรี่ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวหลิ่วหมิงก็มาที่ทางปีศาจร้ายได้ห้าปีแล้ว

แถบที่ราบแห่งหนึ่งห่างจากหุบเขามืดทางเหนือร้อยลี้มีเมืองมหึมาที่แลดูแข็งแกร่งแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่นี่ พื้นที่เป็นสองเท่าของเมืองจินกวัง กำแพงเมืองสีดำอมน้ำเงินเก่าแก่และเรียบง่ายทอดยาวสูงตระหง่านแผ่ลมปราณอันลึกล้ำไพศาลออกมา แต่บนกำแพงด้านนอกเว้าแหว่งเป็นหลุมน้อยใหญ่ ทิ้งร่องรอยการต่อสู้เอาไว้เหมือนจะบอกแก่ผู้คนว่าป้อมปราการแห่งนี้เคยผ่านสงครามในอดีตมาครั้งแล้วครั้งเล่า

อาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่เช่นเครื่องยิงศรขนาดยักษ์และเครื่องยิงหินชิ้นแล้วชิ้นเล่าเรียงรายอยู่บนกำแพง รอบเมืองยังมีหอสูงรูปร่างเหมือนเสากลมหลายสิบหอ แต่ละหอสูงหลายสิบจั้ง ยันต์นับไม่ถ้วนที่สลักอยู่บนนั้นทอแสงรัศมีหลากสี

ที่แห่งนี้ก็คือป้อมปราการไท่เทียนป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดในทางปีศาจร้ายของสี่ยอดนิกายใหญ่แห่งเผ่ามนุษย์

เวลานี้ในเมืองจะเห็นผู้ฝึกฝนที่สวมชุดเกราะของกองทัพใหญ่แต่ละแห่งหน่วยแล้วหน่วยเล่าเดินผ่านเป็นระยะ สีหน้าดูเคร่งขรึมยิ่งนัก ทั้งป้อมปราการเต็มไปด้วยบรรยากาศเคร่งเครียด

ทันใดนั้นขอบฟ้าไกลทางกำแพงเมืองฝั่งทิศเหนือพลันมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นหลายครั้ง ทำให้ผู้ฝึกฝนที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองทยอยจับจ้อง

“ไม่เป็นไร หน่วยลาดตระเวนกลับมาแล้ว!” เสียงบุรุษวัยกลางคนผู้สวมชุดหัวหน้าหน่วยสีขาวดังขึ้น คนที่เหลือถึงทยอยโล่งใจ

เพียงพริบตาเดียวลำแสงที่อยู่ไกลๆ ก็พุ่งผ่านท้องฟ้ามาถึงบริเวณใกล้ๆ พวกเขาคือกลุ่มผู้ฝึกฝนสิบกว่าคน หายตัวไม่กี่ครั้งก็ทยอยร่อนลงบนกำแพงฝั่งทิศเหนือ

ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือบุรุษวัยกลางคนชุดสีเหลืองคนหนึ่งที่ดูหน้าตาอายุเพียงสามสิบกว่าปี แต่สีหน้าดูผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน พลังบรรลุถึงระดับแก่นแท้ขั้นปลาย

ผู้ฝึกฝนสิบกว่าคนในหน่วยย่อยหลังร่างเขาสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน สีเหลือง สีขาว สีดำของกองทัพใหญ่ทั้งสี่ แต่ละคนล้วนพลังระดับแก่นเสมือน คลื่นพลังเวทบนร่างแข็งแกร่งไม่ธรรมดา ไม่ด้อยกว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นทั่วไปแม้แต่น้อย

“เอาล่ะ ลำบากทุกคนแล้ว แต่ละคนกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด แต่อย่าได้ผ่อนคลายเกินไปนัก ใครก็ไม่รู้ว่ากองทัพปีศาจร้ายจะโจมตีที่นี่หรือไม่” ชายหนุ่มชุดเหลืองเอ่ยเสียงเข้ม

“รับทราบ!” ผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนสิบกว่าคนพยักหน้าตอบ

ชายวัยกลางคนชุดเหลืองโบกมือครั้งหนึ่งก็หมุนตัวเหาะไปในตัวเมือง คนอื่นต่างก็แยกย้ายกันไป ไม่นานบนกำแพงก็เหลือเพียงชายหนุ่มชุดเกราะสีน้ำเงินคนหนึ่ง

หลิ่วหมิงนั่นเอง

สายตาของเขามองไปไกลๆ ในป้อมปราการไท่เทียน สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ทะยานร่างเหาะลงจากกำแพงเมืองเดินเข้าไปในตัวเมือง ไม่นานเขาก็หยุดอยู่หน้าบ้านศิลาทรงโค้งหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากกำแพงฝั่งเหนือ

เขาโบกมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งแล้วเดินเข้าไปในห้องศิลาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

ที่แห่งนี้คือที่พักชั่วคราวแบบหยาบๆ แห่งหนึ่ง แม้พื้นที่ไม่มาก แต่เก้าอี้และเตียงนอนพรักพร้อม แล้วยังวางชั้นจำกัดปิดกั้นไว้หลายชั้น นับว่าเป็นถ้ำที่พักขนาดเล็กที่ครบครันแห่งหนึ่ง

หลิ่วหมิงพรูลมหายใจออกมาแผ่วเบาแล้วเดินไปนั่งขัดสมาธิบนเตียง จมลงไปกับการครุ่นคิด

ในเวลาห้าปีนี้สงครามระหว่างกองทัพใหญ่ทั้งสี่กับกองทัพผีร้ายเรียกได้ว่ารุนแรงขึ้นทุกวัน เริ่มแรกยังเป็นเพียงศึกที่เกิดขึ้นในเขตรอบนอก กองทัพใหญ่ทั้งสี่อาศัยข้อได้เปรียบทางชัยภูมิของป้อมปราการที่ต่างๆ จึงป้องกันได้อย่างเหลือเฟือ

แต่เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป การโจมตีของกองทัพผีร้ายก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นทุกที พวกมันเริ่มโจมตีตัวเมืองของจริง อาณาเขตของกองทัพทั้งสี่จึงหดเล็กลงไม่หยุด ในวันนี้ป้อมปราการทั้งสิบเก้าแห่งของกองทัพแสงทองล่มไปเจ็ดถึงแปดแห่งแล้ว สามกองทัพที่เหลือก็สถานการณ์ใกล้เคียงกัน

เผชิญกับการโจมตีกดดันของกองทัพผีร้าย กองทัพแสงทองแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ส่งกองหนุนไปช่วยสองระลอกติดจึงขวางการโจมตีของกองทัพผีร้ายได้อย่างหวุดหวิด

สถานการณ์ศึกระยะนี้ยิ่งดำเนินไปยิ่งรุนแรง นอกจากกองทัพผีร้ายจะโจมตีป้อมปราการแต่ละแห่งต่อ ในเวลาเดียวกันยังรวบรวมกำลังทหารจำนวนมากมาไว้ใกล้ๆ เมืองจินกวัง เมืองเฮ่าชี่ เมืองฝูหมัวและเมืองขุ่ยเหล่ยทั้งสี่เมืองตั้งท่ากดดันอีกด้วย

แม้ตามที่เป็นมาในอดีต ทุกราวร้อยปีกองทัพผีร้ายจะรวมตัวโจมตีครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง วันนี้เวลาก็ใกล้เคียง แต่การโจมตีและขนาดของกองทัพผีเหนือกว่าครั้งหนึ่งครั้งใดก่อนหน้านี้มาก

จะว่าไปแล้วความเป็นมาของกองทัพผีร้ายเหล่านี้ก็เป็นปริศนาเรื่องหนึ่ง ประมือกันมานานปีเช่นนี้ แม้เผ่ามนุษย์จะรู้จักพลังที่พวกมันเผยออกมาภายนอกอยู่บ้าง แต่แท้จริงพวกมันมีไพ่ก้นหีบเท่าไร สี่ยอดนิกายใหญ่เผ่ามนุษย์ก็ไม่อาจบอกได้แน่ชัด

เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้กองทัพใหญ่ทั้งสี่จึงจนปัญญาได้แต่ร่วมมือกันอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวว่าจะรับมือการโจมตีขนาดใหญ่ที่กำลังจะมาของกองทัพผีร้ายอย่างไร

ป้อมปราการไท่เทียนแห่งนี้เป็นแกนกลางที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งระหว่างเมืองหลักของกองทัพทั้งสี่ของเผ่ามนุษย์จะเสียไปไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นแม้ที่นี่จะอยู่ในเขตที่ค่อนไปด้านหลัง แต่ระยะนี้กองทัพทั้งสี่ต่างก็ยังเลือกสมาชิกที่ฝีมือยอดเยี่ยมกลุ่มหนึ่งมาป้องกันการลอบโจมตีจากกองทัพผีร้ายร่วมกับกองกำลังป้องกันที่เดิมทีประจำอยู่ในเมือง

เนื่องจากหลิ่วหมิงแสดงฝีมือได้โดดเด่นในภารกิจหลายหนระหว่างหลายปีนี้ สิบกว่าวันก่อนจึงถูกส่งมาที่นี่

ระหว่างที่เขาครุ่นคิด นอกประตูก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

เขาเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู จึงเห็นสตรีผมสั้นสวมชุดเกราะสีน้ำเงินผู้หนึ่งยืนอยู่นอกประตู นางคือเสี่ยวอู่นั่นเอง

ร่างของสตรีนางนี้แผ่แรงกดดันจิตวิญญาณจางๆ ออกมา เห็นชัดว่าทะลวงขึ้นระดับแก่นแท้แล้ว

หลังจากห้าปีก่อนผ่านคราวเคราะห์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายครั้งนั้นมา ในที่สุดก็ทำให้นางคว้าโอกาสเลื่อนระดับได้ หลังจากเก็บตัวซุ่มฝึกฝนอยู่ระยะหนึ่งสุดท้ายก็ผนึกแก่นแท้สำเร็จเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้

เดิมทีหลังจากนางบรรลุเป้าหมายคิดจะกลับเทือกเขาหมื่นวิญญาณ แต่สถานการณ์ศึกในทางปีศาจร้ายเร่งด่วนต้องการกำลังคน อีกทั้งปราณหยินในทางปีศาจร้ายเข้มข้นมีประโยชน์ไม่น้อยในการทำให้แก่นแท้ของเสี่ยวอู่ที่เป็นผู้ฝึกฝนสายวิญญาณมั่นคง ดังนั้นสตรีผู้นี้ขบคิดไปมาจึงอยู่ต่อก่อน และกลายเป็นศิษย์หัวกะทิที่ถูกส่งมายังป้อมปราการไท่เทียน

“ศิษย์พี่เสี่ยวอู่” หลิ่วหมิงยิ้มทักทาย

“ศิษย์น้องหลิ่ว ข้าคิดอยู่ว่าหน่วยลาดตระเวนของพวกเจ้าน่าจะกลับมาแล้ว” เสี่ยวอู่ยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น

ทั้งสองเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมอาจารย์ ยิ่งมีเรื่องที่เนินหลิงจิ้วก็ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนใกล้ชิดกันกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย ถึงขั้นที่ยามปกติมักจะสนทนาเคล็ดลับในการฝึกฝนกันบ่อยครั้ง

“หน่วยย่อยที่ศิษย์พี่สังกัดรับผิดชอบเขตทางตะวันตกเฉียงเหนือของป้อมปราการใช่หรือไม่?” หลิ่วหมิงเชิญเสี่ยวอู่เข้ามาในบ้านแล้วลุกขึ้นไปชงชา

“อืม ข้าก็เพิ่งกลับเมืองมาเมื่อวาน ยังดีที่สถานที่แห่งนี้นับว่าสงบสุข จนวันนี้ก็ยังไม่มีวี่แววการปรากฏตัวของกองทัพผี” เสี่ยวอู่มองหลิ่วหมิงที่กำลังชงชาอยู่แล้วเอ่ยขึ้นอย่างสบายๆ

แม้ใกล้กับป้อมปราการไท่เทียนยังไม่ปรากฏของเงากองทัพผีร้าย แต่ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์หลายคนที่บัญชาการที่นี่ก็ยังให้ผู้ฝึกฝนที่ถูกส่งมาทีหลังเหล่านี้อย่างพวกหลิ่วหมิงจัดหน่วยย่อยหลายหน่วยผลัดกันลาดตระเวนเขตใกล้ๆ ป้อมปราการไท่เทียนเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน

ท่ามกลางกลิ่นหอมอบอวลของใบชา ทั้งสองคนนั่งประจันหน้ากันบนเก้าอี้

“ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของเมืองหลักทั้งสี่แห่งเป็นอย่างไรบ้าง…คิดไม่ถึงเลยว่าเพิ่งเข้ามาในทางปีศาจร้ายก็พบสงครามขนาดใหญ่เช่นนี้” หลิ่วหมิงถอนหายใจอย่างจนปัญหาอยู่บ้าง

แม้เขามายังทางปีศาจร้ายแห่งนี้เพราะหวังจะอาศัยการต่อสู้เข่นฆ่าในทางปีศาจร้ายแห่งนี้เพื่อฝึกปรือตนเองทะลวงขีดจำกัด ค้นหาโอกาสน้อยนิดนั่นในการเลื่อนระดับพลัง แต่ไม่คิดเข้าร่วมสงครามขนาดใหญ่เช่นนี้

อย่างไรในสงครรามระหว่างกองทัพขนาดใหญ่เช่นนี้ ผู้ฝึกฝนคนเดียวต่อให้พลังสูงเท่าใด พลังแข็งแกร่งปานใด หากไม่ระวังสักครั้งก็สิ้นชีวิตอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้

“ศิษย์น้องหลิ่วไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไป ป้อมปราการไท่เทียนแห่งนี้ค่อนข้างปลอดภัย กองทัพทั้งสี่ต่างก็ส่งผู้อาวุโสสูงสุดระดับดาราพยากรณ์คนหนึ่งมาอยู่ยาวบัญชาการที่นี่ แล้วยังมีผู้อาวุโสจากหอดำเนินการระดับแก่นแท้อีกหลายสิบคนช่วยเสริม เมื่อรวมกับค่ายกลขนาดใหญ่ของนิกายอีกหลายค่ายกลและชั้นจำกัดป้องกันนับไม่ถ้วน เมื่อใช้งานเต็มกำลัง ข้าคิดว่าต่อให้ภูตอนธการมาเอง ในเวลาสั้นๆ ก็ยากจะตีแตก เพียงพอซื้อเวลาให้กองหนุนมาถึงแล้ว” เสี่ยวอู่เหมือนจะมองความกังวลของหลิ่วหมิงออก จึงเอ่ยอย่างมั่นใจ

“อืม หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” สิ่งที่เสี่ยวอู่พูดเมื่อครู่ ไยหลิ่วหมิงจะไม่รู้ แต่เมื่อสงครามเริ่มขึ้นแล้วสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น ใครก็บอกไม่ได้

“จะว่าไป กองทัพรวบรวมพวกเราผู้ฝึกฝนเหล่านี้มาที่นี่ ด้านหนึ่งเพื่อเพิ่มการป้องกันป้อมปราการไท่เทียนแห่งนี้ให้แข็งแกร่ง อีกด้านหนึ่งคิดว่าคงอยากจะเก็บพวกเราไว้ที่นี่ซึ่งเป็นเขตปลอดภัยค่อนมาทางด้านหลังเพื่อเป็นกำลังสำรองกองสำคัญไว้ใช้เป็นทัพพิเศษ” เสี่ยวอู่ดวงตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยต่อ

“หากเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยพวกเราก็น่าจะปลอดภัยไม่มีปัญหาอะไรชั่วคราว” หลิ่วหมิงยิ้มตอบ

ในสงครามผู้ฝึกฝนขนาดใหญ่เช่นนี้ การต่อสู้สองสามระลอกแรกโหดร้ายที่สุด ผู้ฝึกฝนจบชีวิตมากที่สุด เมื่อผ่านหลายระลอกแรกมาได้ ทั้งสองฝ่ายก็จะอยู่ในช่วงรบยืดเยื้อ ผู้ฝึกฝนที่ล้มตายไม่มากเช่นนั้นเมื่อตอนเพิ่งเริ่ม ด้วยเหตุนี้สิบกว่าวันก่อนตอนได้ยินว่าผู้ที่ถูกส่งไปป้องกันป้อมปราการไท่เทียนไม่ใช่กลุ่มที่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอันน่ากลัวของกองทัพผีร้ายตั้งแต่ตอนเริ่มแรก แม้แต่ตัวหลิ่วหมิงเองก็โล่งอกอยู่นิดหน่อย

ระหว่างที่หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่ดื่มชาสนทนากันอยู่นั่นเอง เสียงระฆังดังเหง่งหง่างก็ดังก้องกังวานทั่วทุกสารทิศไม่หยุด

“เสียงนี่มัน?”

หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่อดไม่ได้มองหน้ากัน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็หน้าถอดสี เดินออกจากบ้านไปพร้อมกันทันที

เสียงนี้ก็คือเสียง “ระฆังสะกดวิญญาณ” ใจกลางป้อมปราการไท่เทียน มีแต่เวลาที่เกิดเรื่องใหญ่อย่างที่สุดเท่านั้น ระฆังใบนี้จึงจะส่งเสียงดัง

ด้านนอกมีคนไม่น้อยทยอยเดินออกมาจากที่พักหลังจากได้ยินเสียงระฆังเช่นเดียวกับพวกหลิ่วหมิง พวกเขามองไปทางที่เสียงระฆังดังด้วยสีหน้าประหลาดใจ

หลังจากเสียงระฆังสะกดวิญญาณดังขึ้นพักหนึ่งก็ค่อยๆ หยุดลง

“ศิษย์ทุกนิกาย รวมตัวที่ตำหนักประชุมลานกว้างกลางเมือง!” เสียงทรงพลังเสียงหนึ่งดังขึ้นตามมาติดๆ ส่งมาถึงในหูของทุกคนอย่างชัดเจนอย่างยิ่ง

หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่สบตากัน พวกเขาเหาะไปยังลานกว้างใจกลางป้อมปราการไท่เทียนอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดสักคำ

ตลอดทางมีผู้ฝึกฝนที่สวมชุดเกราะของกองทัพทั้งสี่ไม่น้อยกำลังเหาะไปทางเดียวกัน ทุกคนล้วนสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งนัก

ไม่นานพวกหลิ่วหมิงก็ร่อนลงบนลานกว้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่งใจกลางเมือง ตำหนักศิลาสีน้ำเงินหลังมหึมาตั้งอยู่ที่นี่

ตอนหลิ่วหมิงเพิ่งมาถึง เขาเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง เขากับเสี่ยวอู่สองคนเดินเคียงกันเข้าไปในตำหนักใหญ่อย่างรวดเร็ว ด้านในมีผู้ฝึกฝนเกือบพันคนรวมตัวกันอยู่แล้ว

เขากวาดสายตามองรอบด้านแวบหนึ่งก็พบว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่ล้วนเป็นศิษย์ที่ประจำการอยู่ที่นี่ พลังไม่สูง ส่วนใหญ่พลังระดับของเหลวจิตวิญญาณ ระดับผลึกมีไม่กี่คน แต่ละคนสายตาดูหวาดผวาเล็กน้อยกำลังกระซิบกระซาบคุยอะไรกันอยู่

ทันทีที่สงครามเปิดฉาก พวกเขาเหล่านี้เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะถูกใช้เป็นทหารพลีชีพในแนวหน้า

นี่เป็นสิ่งที่ศิษย์สายนอกและศิษย์ที่ได้รับโทษเหล่านี้กังวลที่สุด แล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจเลือกเองได้ที่สุดด้วย