มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1003

“ระดับการฝึกตนของเจ้าไม่ใช่ขั้นสูง แดนกฎก็ไม่สูง แต่กลับฝึกสองระดับความเป็นตายพร้อมกันได้ การได้รวมเป็นหนึ่งอาจได้รับพลังเทพสืบต่อมา มีอานุภาพอย่างล้นหลาม”

เทพสงครามเอกภพไม่ได้ลงมือต่อ จากวิสัยทัศน์และความรู้ของเขาทำให้มองเห็นตื้นลึกหนาบางของหลัวซิวได้

เป็นตามคำที่เทพสงครามเอกภพกล่าว การฝึกตนของหลัวซิวอยู่ระดับเจ้ายุทธจักรขั้นเก้าเท่านั้น แดนกฎของเขาก็ยังไม่พ้นแดนสำเร็จน้อย แต่เขากลับฝึกสองระดับความเป็นตาย เมื่อรวมเป็นหนึ่งแล้วก็ได้รับพลังเทพดั้งเดิมสืบต่อมาจนมีพลังเทียบเท่ากับเทพมาร

และเนื่องด้วยความเป็นตายสองระดับมาจากพลังเทพดั้งเดิมที่แข็งแกร่ง จึงแข็งแกร่งกว่าเทพมารธรรมดาที่ผนึกรวมกฎดั้งเดิมด้วยซ้ำ

“พลังชีวิตและความตายคือกฎขั้นสูงที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองระดับ เจ้าสามารถฝึกทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครทำได้ นับว่ามีโชคชะตาที่ดียิ่ง ศักยภาพที่จะเติบโตจะต้องมีมากกว่าตอนที่ข้าวัยรุ่นมากนัก”

พลังอันแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ของเทพสงครามเอกภพค่อยๆ หายไป สีหน้าของเขากลับสู่สภาวะปกติ จากนั้นจึงถอนใจ “ผู้ที่มีศักยภาพสูงกว่าข้า หากได้ใจแห่งศุภรมาช่วย ในอนาคตมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะไปถึงแดนราชาเทพ”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ สายตาของเทพสงครามเอกภพก็เริ่มหนักแน่น อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา แววตาของเขามองหลัวซิวอย่างลึกซึ้ง “พ่อหนุ่ม ข้าจะมอบใจแห่งศุภรให้เจ้า เจ้ารับปากเงื่อนไขของข้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่”

“ผู้อาวุโสเชิญกล่าว” หลัวซิวตอบ เขาเองก็รู้สึกนับถือเทพสงครามที่ไร้ศัตรูผู้นี้มาก ในเวลาเดียวกันก็เห็นใจในสิ่งที่เขาได้เผชิญมา

“ข้าอยากให้เจ้าช่วยสังหารคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้มีชื่อว่าซือถูเจิ้งเจี้ยน เป็นผู้แข็งแกร่งราชาเทพของมหาโลกายอดอัมพร”

แววตาของเทพสงครามเอกภพปรากฏความอาฆาต “เขาไล่เข่นฆ่าข้าเพราะใจแห่งศุภร ข้าไม่ได้มีความแค้นใจใดต่อเขา แต่เขากลับร้ายกาจกับข้ามาก ใช้อาคมทำให้ลูกหลานของข้าวางยาพิษข้า แค้นนี้หากไม่ชำระ ข้าคงนอนตายตาไม่หลับและไม่มีทางให้อภัยได้!”

การที่เทพสงครามเอกภพกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เขากลับไม่คิดว่าตนเองจะได้รับใจแห่งศุภร สมบัติมีค่าขนาดนั้นจะต้องเป็นของตนเองเท่านั้น เพราะโลกใบนี้ใช้พลังในการเจรจา หากคนอื่นมีพลังมากพอที่จะสามารถแย่งไปได้ แม้ว่าจะโดนแย่งไปแล้วและถึงขั้นตนเองถูกสังหาร เทพสงครามเอกภพก็ไม่สามารถต่อว่าอะไรได้

ทว่าอีกฝ่ายเป็นถึงผู้แข็งแกร่งจากแดนคิง กลับใช้วิธีการสกปรกเช่นนี้ แน่นอนว่าเทพสงครามเอกภพจึงไม่สามารถอดทนได้

และเป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง เขาจึงตายอย่างไม่หมดห่วง เทพสงครามที่ไร้ศัตรูไม่ได้ตายในสนามรบ แต่กลับถูกลูกหลานของตัวเองวางยาพิษ นับเป็นการตายอย่างน่าอนาถยิ่ง

แม้ว่าหลัวซิวจะเห็นใจชะตากรรมของเทพสงคราม แต่เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นถึงผู้แข็งแกร่งราชาเทพ เขาก็จำต้องกัดฟันยิ้ม “ผู้น้อยเป็นเพียงเจ้ายุทธจักรตัวเล็กๆ จะสามารถต่อกรกับราชาเทพได้อย่างไร”

แน่นอนว่าเทพเจ้าสงครามสังเกตเห็นสีหน้าของหลัวซิว จึงกล่าวออกไปว่า “หากได้ใจแห่งศุภรมาช่วย ภายภาคหน้าเจ้ามีโอกาสที่จะได้กลายเป็นราชาเทพ และอาจจะเกินระดับราชาเทพด้วยซ้ำ!”

หลัวซิวเงียบไป “ผู้น้อยสามารถรับปากผู้อาวุโสเรื่องนี้ได้ แต่ปัญหาตอนนี้คือข้าต้องมีพลังมากเพียงพอที่จะรับมือกับราชาเทพได้ ไม่เช่นนั้นแล้วผู้น้อยก็คงทำไม่ได้จริงๆ”

“เป็นธรรมดาอยู่แล้ว” เทพสงครามเอกภพพยักหน้า

ศึกครั้งนี้หลัวซิวไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ แต่เทพสงครามเอกภพคิดว่าตนเองพ่ายแพ้

เทพสงครามเอกภพเป็นคนเย่อหยิ่งขนาดไหน เขากลับยอมแพ้และไม่ยอมลงมือต่อ

เขาไม่ได้แพ้เพราะพลังในการต่อสู้ แต่ด้วยศักยภาพ เพราะทั้งสองอยู่ในช่วงอายุ 40 ปีเท่ากัน แต่อีกฝ่ายกลับใช้สถานะเจ้ายุทธจักรขั้นเก้าและมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายของตัวเองในการต่อสู้ นี่เองที่ทำให้เทพสงครามเอกภพรู้สึกว่าพรสวรรค์และความสามารถของตัวเองสู้หลัวซิวไม่ได้