มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1004

“ตึ้ง……”

โซนสีขาวสะอาดรอบตัวค่อยๆ หายไป ภาพเบื้องหน้าเริ่มแปรเปลี่ยน หลัวซิวพบว่าตนเองกลับไปภายในตำหนักที่กว้างใหญ่แห่งนั้นอีก

“ครืด!”

บริเวณด้านหน้าอกซ้ายของเทพสงคราม กระดูกซีกหนึ่งแตกหัก แสงไฟลูกหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางอากาศแล้วลอยอยู่ตรงหน้าของหลัวซิว

เป็นแสงสีขาวสว่างจ้าบริสุทธิ์ก้อนหนึ่ง ตรงกลางของกลุ่มแสงขาวปรากฏร่างทองไร้รูปร่างขนาดเท่าเล็บมือ

หากยึดตามคำบอกเล่าของเทพสงครามเอกภพแล้ว ร่างทองนี้คือเศษเสี้ยวของใจแห่งศุภร ดังนั้นสิ่งที่เขาได้รับมาจึงไม่ใช่ใจแห่งศุภรที่สมบูรณ์

แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เศษเสี้ยวนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีมูลค่ายากที่จะประเมินได้ สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งราชาเทพผักใฝ่และไม่อาจลืมเลือนได้

ภายในนั้นความลึกลับของเวลาในผังกฎดั้งเดิม ใจแห่งศุภรที่สมบูรณ์ถือเป็นของล้ำค่าที่ผังกฎดั้งเดิมคลอดออกมา

ลูกแก้วความเป็นตายก็เป็นสมบัติประเภทเดียวกัน เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามูลค่าของใจแห่งศุภรจะต้องเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้อย่งแน่นอน

เทพสงครามเอกภพสูญสลายไปอย่างไม่เหลือร่องรอย สิ่งที่ยังฝังอยู่ในใจแห่งศุภรไม่ใช่ความทรงจำ แต่เป็นความคะนึงหา

เมื่อใจแห่งศุภรได้เจ้านายใหม่ ความคะนึงหานี้ย่อมต้องรางเลือนตามไปตามทางเดิมที่มันเคยมา

ลูกแก้วความเป็นตายทำให้หลัวซิวไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของเทพสงคราม เขาจึงรวบรวมเศษส่วนที่กระจัดกระจายของใจแห่งศุภรเข้าไว้ด้วยกันแล้วเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าของโครงกระดูกของเทพสงคราม

นี่คือกระดูกของเทพสงครามที่ไร้คู่ต่อสู้ ถือเป็นตัวเซียนระดับสูงที่ทหารเทพใช้ในการฝึกฝนให้แข็งแกร่ง แต่กลับถูกพิษกัดกร่อนจนไม่เหลือความเป็นเทพ และเหลือเพียงออร่าที่ยังคงไม่ดับสูญของเทพสงครามที่ไร้คู่ต่อสู้

“ผู้อาวุโสเทพสงคราม ขอให้เดินทางไปอย่างปลอดภัย”

หลัวซิวค้อมตัวลงทำความเคารพ เมื่อก้มตัวลงไปจนสุดแล้วก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนโครงกระดูกนี้

ก่อนที่ความคะนึงหาจะสลายไป เทพสงครามเอกภพคิดเพียงแต่จะตามหาราชาเทพแห่งมหาโลกายอดอัมพรให้เจอเพื่อแก้แค้น แต่ไม่เคยพูดถึงลูกหลานที่วางยาพิษเขาจนตาย

นี่คือหัวอกของคนที่เป็นเทพสงครามเอกภพ……

ณ สถานที่แห่งนี้คือที่พักผ่อนตลอดกาลของเทพสงครามเอกภพ นอกจากความเคารพที่มีต่อเทพสงครามแล้ว เขาก็ไม่ได้มีความทรงจำอื่นใดกับสถานที่แห่งนี้

หลังจากที่เขาถูกวางยาพิษและรู้ว่าตัวเองต้องตาย เมื่อโลกเดิมเผาไหม้จนทะลุสู่โลกล่องหน สมบัติมากมายที่พกติดตัวเหลือเพียงเกราะนักยุทธ์เอกภพที่ยังถูกเก็บรักษาเอาไว้ได้ พลังของแหวนเก็บของที่เก็บระหว่างสองโลกอนัตตาถูกบดละเอียดจนกลายเป็นแป้ง

“ครืด! ครืด! ครืด! ……”

เกราะนักยุทธ์เอกภพสีทองสั่นระริกอย่างต่อเนื่อง ความคะนึงหาของเทพสงครามได้สลายไปแล้ว ดูคล้ายว่าตัวมันเองก็รับรู้ได้จึงเศร้าสลดมากเช่นนี้

เทพสงครามไร้ศัตรู ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธใดๆ เพราะร่างกายของเขาก็คือทหารเทพที่แข็งแกร่งที่สุด เขาเกิดมาก็เพียงแค่ขึ้นรูปเกราะนักยุทธ์ชิ้นนี้ และถ่ายทอดจิตภัณฑ์ที่มีความเป็น๓ูต

“เทพสงครามได้จากไปแล้ว หากเจ้ายินยอมติดตามข้า วันหน้าหากข้าหาหนทางได้ ข้าจะต้องจัดการราชาเทพซือถูแทนเทพสงครามเพื่อตัดเวรกรรมนี้ให้ได้” หลัวซิวมองไปยังเกราะนักยุทธ์เอกภพแล้วกล่าวขึ้น

เกราะนักยุทธ์เอกภพยังคงสั่นระริกไม่หยุด ราวกับคนที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น และไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อคำพูดของหลัวซิว

หลัวซิวเองก็ไม่ได้บังคับ เกราะนักยุทธ์นี้ได้ถ่ายทอดเป็นจิตภัณฑ์แล้ว เว้นเสียแต่ว่าจิตภัณฑ์จะยอมรับเจ้าของ มิเช่นนั้นหากเอากลับไปโดยจิตภัณฑ์ยังไม่ยอมรับเจ้าของ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เกราะนักยุทธ์นี้ก็จะสูญเสียอานุภาพที่มันควรมีไป

เขาถอนหายใจแล้วหันตัวไปอย่างรวดเร็วตั้งท่าจะออกจากที่นี่ไป

ในตอนที่เขาเดินไปถึงด้านนอกประตูสำนัก เกราะนักยุทธ์เอกภพก็เปลี่ยนเป็นแสงสีทองแล้วซึมเข้ามาในร่างของเขาจากแผ่นหลัง

เท้าของหลัวซิวที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงักลง ใบหน้าบูดเบี้ยวของเขาปรากฏความยินดีขึ้นมา เกราะนักยุทธ์เอกภพยินดีติดตามเขาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่นอกเหนือความคาดหมายของเขา การมีเกราะนักยุทธ์คอยช่วยเหลือ พลังของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นมาอย่างแน่นอน