มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1005

หลังจากที่เดินออกมาจากพระราชวังทองคำแล้ว หลัวซิวจึงเริ่มขมวดคิ้วพลางคะเนเวลาในใจ เมื่อพบว่ามาถึงห้วงกาลแดน เวลาก็ผ่านไปห้าปีแล้ว

เทพมารขั้นสูงสามองค์ ไม่ว่าจะเป็นเทพปีศาจสยบนภา เทวมังกรเขาทองล้วนละสังขารไปหมดแล้ว สายตาของเขาจ้องเขม็งไปข้างหน้าจึงเห็นช่าจื่อเยียนยังคงติดอยู่ในแดนวิชาห้ามค่ายกลอย่างทุกข์ทรมาน เขาจึงได้แต่ถอนใจ

ในตอนนั้นเขาได้ใช้วิธีลดอานุภาพของวิชาห้ามค่ายกลนี้ มิเช่นนั้นแล้วพลังของช่าจื่อเยียนคงไม่สามารถต้านทานมาได้นานขนาดนี้

“ผู้อาวุโสจื่อเยียน ขออภัยด้วย”

หลัวซิวมองไปที่ช่าจื่อเยียนที่ยังคงถูกขังเอาไว้ในวิชาห้ามค่ายกล แม้ว่าด้วยพลังของเขาจะสามารถนำตัวช่าจื่อเยียนออกมาได้แล้ว แต่ความลับเรื่องที่เขาได้รับชิ้นส่วนใจแห่งศุภรมาจะไม่สามารถปิดบังต่อไปได้

ที่เขารับปากเทพสงครามเอกภพว่าหากวันหนึ่งเขาได้เป็นราชาเทพเมื่อไหร่ จะช่วยเขาสังหารซือถูเจิ้งเจี้ยนเป็นการแก้แค้น อันที่จริงแล้วสาเหตุที่แท้จริงส่วนหนึ่งคือหลัวซิวมั่นใจได้เลยว่าเรื่องที่เขาได้รับชิ้นส่วนใจแห่งศุภรมา หากซือถูเจิ้งเจี้ยนรู้เรื่องเข้าจะต้องสังหารเขาและถือเป็นศัตรูตัวฉกาจที่จะตัดสินความเป็นตายได้

แต่แม้ว่าหลัวซิวอาจไม่สามารถลงมือช่วยช่าจือเยียนออกมาได้ แต่เขากลับสามารถลดอานุภาพของวิชาห้ามค่ายกลนี้ได้ หากเป็นเช่นนี้แล้ว ผ่านไปหลายเดือนเข้า เทวทูตจื่อเยียนก็จะหลุดจากพันธนาการได้

แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างของเรื่องนี้จะได้ค่อยๆ หาวิธี หากทำให้ช่าจือเยียนหลุดพ้นออกมาได้แล้วนั้น แต่ก็จะต้องไม่ทำให้นางเข้าไปในสำนักและค้นพบความลับที่ว่าใจแห่งศุภรได้หายไปแล้วเช่นกัน

ทว่าหลัวซิวกลับไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เพราะการหายตัวไปของเขา ทำให้เจ้าศักดิ์สิทธิ์นิรันกาลปล่อยข่าวออกไปว่าเขาเสียชีวิต ทำให้สำนักไท่เสวียนในแดนตำหนักจื่อตกอยู่ในอันตรายอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

นอกเหนือจากวิชาห้ามค่ายกลแล้ว หลัวซิวยังแก้ไขลำดับของลายค่ายอีกหลายจุด

เขาเป็นเพียงแค่นักค่ายเทพระดับหนึ่งคิดที่จะแก้ไขลายค่ายของค่ายเทพขั้น 4 นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างเขาคงทำได้แค่ปรับแก้กฎเกณฑ์ของลายค่ายเอาไว้ได้เป็นเวลาไม่นานเท่านั้น

“ประมาณสองเดือนหลังจากนี้ เทวทูตจื่อเยียนจะหลุดจากพันธนาการ ถึงตอนนั้นลายค่ายก็คงจะปรับลำดับใหม่อีกครั้ง นางก็จะยังคงไม่สามารถเข้ามาในสำนักได้” หลัวซิวคิดในใจ

เมื่อปูทางทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลัวซิวก็กลับออกไป เส้นทางที่เขาเลือกยังคงไม่ใช่เส้นทางของเทพมาร แต่เป็นเส้นทางที่สองที่เขาเป็นคนบุกเบิกเอง

ตอนที่เขาอยู่ในพระราชวังทองคำได้ผลกระทบจากกฎเวลาของใจแห่งศุภร จนเวลาผ่านไปหลายปี ก่อนหน้านี้วิชาห้ามค่ายกลหลายอย่างที่ถูกทำลาย ก็ถูกซ่อมแซมอีกครั้ง จึงต้องลงมือทำลายอีกครั้ง

เมื่อได้ประสบการณ์จากครั้งที่แล้วมาแล้ว ทำให้การลงจากเขาของหลัวซิวครั้งนี้ ทำได้อย่างราบรื่น

หลังจากผ่านไปหลายวัน เขาก็มาถึงเส้นทางอนัตตาที่ไว้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกอีกครั้ง อารมณ์ความรู้สึกของเขาตอนนี้จึงหนักอึ้ง

เส้นทางอนัตตานี้ อันตรายเสียยิ่งกว่ายอดเขาที่เป็นที่ตั้งของพระราชวังทองคำเสียอีก เนื่องจากค่ายเทพมีอานุภาพในการสกัดกั้นค่อนข้างมาก ขอเพียงบรรลุเส้นทางค่ายกล จากนั้นระวังการใช้เวลาสักหน่อย จะต้องหาวิธีหลุดออกจากเส้นทางนั้นมาได้อย่างแน่นอน

แต่เส้นทางอนัตตานี้กลับมีอสูรดูดจิตโบราณคอยเฝ้าอยู่ อาหารของมันคือเทพมาร จึงนับว่ามีความน่าสยอสยองอย่างยิ่ง

“เกราะเทพเวหากาล?”

หลัวซิวใช้ตัวสำนึกติดต่อกับจิตภัณฑ์เกราะเทพเวหากาลที่อยู่ภายในจุดตันเถียน

เกราะเทพชิ้นนี้เป็นเกราะที่เทพสงครามเอกภพเป็นคนหล่อขึ้นรูปเอง จึงมีความเป็นจิตภัณฑ์ ทั้งยังเติบโตตามเส้นทางของเทพสงคราม บางทีอาจจะพอรู้เรื่องราวของอสูรดูดจิตโบราณด้วยซ้ำ

“ใช้เกราะในการเดินทาง อสูรดูดจิตโบราณจะไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้” จิตภัณฑ์เกราะเทพตอบอย่างง่ายดาย ราวกับว่ามันยังคงจมอบูาในความเศร้าของการสูญเสียเจ้านายเก่าไป

ทันใดนั้นร่างของหลัวซิวเกิดแสงหมุนวนรอบกายสว่างจ้า เกราะเทพที่ปกปิดทั่วร่างกายปรากฏขึ้น แม้แต่มือและเท้าทั้งสองข้างก็ยังถูกปกคลุมไปด้วย มีเพียงดวงตาคู่นี้เท่านั้นที่มองเห็นจากด้านนอก