“ก็เป็นอย่างนั้นแหละ และไม่ใช่แค่น่านฟ้ามังกรเมฆเท่านั้นนะที่ทำแบบนี้ ผมได้ยินว่านักรบทรงพลังคนหนึ่งที่ชื่อจ้าวหย่าจากน่านฟ้าทองคำแข็งกล้าเพิ่งได้รับตำแหน่งทรงเกียรติเมื่อไม่นานนี้เอง และสภาวะพิเศษที่เธอมีก็ทำให้เอาชนะคู่ต่อสู้คนไหนก็ตามได้อย่างง่ายดาย”
“ส่วนที่น่านฟ้าตะวันแผดเผา มีนักดาบผู้เก่งกาจคนหนึ่งชื่อเจิ้งหยาง ฝีมือการสำแดงศิลปะเพลงดาบของเขาเล่นงานคู่ต่อสู้ไปแล้วมากมาย”
“จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นก็ดูเหมือนจะรับศิษย์สายตรงไว้คนหนึ่ง ชื่อลู่ชง เขาเชี่ยวชาญเป็นเลิศในศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ เป็นรองเพียงแค่จอมราชันย์เท่านั้น”
“น่านฟ้าหลิงหลงรับนักรบไว้ 2 คน ชื่อเว่ยหรูเหยียนกับหวังหยิ่ง คนหนึ่งมีความสามารถอันน่าสะพรึงในการใช้ยาพิษ ขณะที่อีกคนขึ้นชื่อว่าสามารถมอบชีวิตจิตใจให้กับทุกสิ่งได้แม้สิ่งนั้นจะไม่มีชีวิตก็ตาม”
“สำหรับน่านฟ้านรกโลกันต์ จอมราชันย์นรกโลกันต์ได้ให้คำชี้แนะเป็นส่วนตัวกับนักรบสามคน ชื่อหยวนเทา ตั้นเฉี่ยวเทียน และไป๋เหรินชิง พวกเขากลายเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติเช่นกัน”
“แม้ทุกคนจะเพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่นาน แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสบประมาทได้ ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ ก็เหนือชั้นกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่คร่ำหวอดสนามรบอย่างผมเสียอีก!”
อ้าวเฟิงเล่าความเป็นไปในสรวงสวรรค์อย่างยืดยาวโดยไม่รู้สึกถึงสีหน้าพิลึกพิลั่นของจางเซวียน จากนั้นก็ตั้งคำถามอย่างเคร่งเครียด “คุณคิดว่านักรบพวกนั้นคือผู้คว้าของล้ำค่าตัดหน้าเราไปหรือเปล่า?”
“คือ…” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่
เท่าที่เห็น ก็น่าจะเป็นแบบนั้น
เขาไม่รู้ว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคนอื่นๆทรงพลังแค่ไหน แต่หากเป็นบรรดาศิษย์สายตรงของเขา ด้วยเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายที่ทุกคนได้ฝึกฝนและรากฐานวรยุทธอันแข็งแกร่งที่สั่งสม มานานปี ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกนั้นย่อมเป็นเลิศ
อาจเอาชนะได้แม้ศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงด้วยซ้ำ!
ไม่ใช่ว่าความสามารถในฐานะครูบาอาจารย์ของจางเซวียนเหนือชั้นกว่าปรมาจารย์ขง แต่เศษเสี้ยวสวรรค์ที่ตัวเขากับปรมาจารย์ขงครอบครองนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ลิขิตสวรรค์คืออำนาจที่ทำให้ผู้นั้นสามารถควบคุมโครงสร้างของโลกและมีเวลาฝึกฝนวรยุทธนานขึ้น ส่วนมลทินสวรรค์คือความสามารถที่ทำให้มองเห็นข้อบกพร่องต่างๆและแก้ไขมันได้
แน่นอนว่ามลทินสวรรค์ย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อเป็นเรื่องของการวางรากฐานวรยุทธ
“ทั้งสิบเอ็ดคนเก่งกาจมากจริงๆ ถ้ามีพวกเขาเพียงหนึ่งหรือสองคนล่ะก็ คุณคงเอาชนะได้ไม่ยาก แต่หากคนเหล่านั้นผนึกกำลังกัน ผมเกรงว่าแม้แต่คุณก็คงลำบากหากต้องฉกฉวยของล้ำค่ามาจากพวกเขา ผู้อาวุโส…ถึงคุณจะเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติแห่ง 9 น่านฟ้า แต่ผมก็ขอแนะนำว่าอย่าเผชิญหน้ากับพวกนั้นจะดีกว่า” อ้าวเฟิงพูดอย่างเป็นห่วง
เขาได้เห็นพละกำลังของชายหนุ่มแล้วตอนที่อีกฝ่ายต่อสู้กับหูเสี่ยว แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติทั้ง 11 คนนั้นก็ไม่ใช่นักรบที่ใครจะเล่นงานได้ง่ายๆ แถมทุกคนก็มีของล้ำค่าของจอมราชันย์อยู่กับตัว หากผนึกกำลังกันเมื่อไหร่ ก็จะกลายเป็นกองกำลังที่น่าสะพรึงที่สุด
นั่นคือเหตุผลที่เหล่าศิษย์สายตรงของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้ในการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งที่ผ่านมา เพราะไม่เพียงแต่ทุกคนจะมีความแข็งแกร่งเฉพาะตัว การทำงานเป็นทีมของพวกเขายังถือเป็นสุดยอด หากไม่มีจอมราชันย์เข้ามายุ่งเกี่ยว ก็ไม่มีนักรบคนไหนในโลกนี้จะเอาชนะพวกเขาได้
“เผชิญหน้ากับพวกนั้น?” ได้ฟังอ้าวเฟิง จางเซวียนหัวเราะหึๆก่อนจะตอบว่า “วางใจเถอะ เรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้นหรอก”
เขาโบกมือ จากนั้นก็มองอ้าวเฟิงและถามต่อ “นอกจากของล้ำค่าทั้งสามชิ้น ในทะเลท่วมท้นยังมีของล้ำค่าอื่นๆที่คุณรู้จักอีกไหม?”
ไม่ว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้นจะถูกนำออกไปโดยศิษย์สายตรงของเขาหรือคนอื่น จางเซวียนก็ไม่คิดจะไปฉกฉวยกลับมาอยู่แล้ว ดังนั้น คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์
ทะเลท่วมท้นกว้างใหญ่ไพศาลถึงขนาดที่ต้องใช้เวลาไม่น้อยหากจะสำรวจให้ทั่ว น่าจะดีกว่าหากเดินตามผู้ที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ในสายตาของเขา แม้วรยุทธของอ้าวเฟิงจะไม่เท่าไหร่ แต่ความรู้เรื่องทะเลท่วมท้นที่อีกฝ่ายมีถือว่าประเมินค่ามิได้
อ้าวเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างระมัดระวัง “มีของล้ำค่าชิ้นสุดท้ายที่ผมนึกออก มันคือทรัพย์สมบัติที่มีมูลค่ามากที่สุดเท่าที่ชั่วชีวิตของผมเคยเห็นมา หากจอมราชันย์คนไหนได้ไป ก็จะยกระดับวรยุทธให้สูงขึ้นอีกได้…แต่ก็ไม่เคยมีใครได้ครอบครอง มันอยู่ตรงนั้นมาหลายสิบปีแล้ว”
“ของล้ำค่าที่ยกระดับวรยุทธของจอมราชันย์ให้สูงขึ้นอีกได้? มันคืออะไร?” จางเซวียนซักไซ้
ถ้ามีของล้ำค่าแบบนั้นอยู่จริง ก็คงเป็นบางสิ่งที่ทําให้นักรบมากมายนับไม่ถ้วนกระเหี้ยนกระหือรืออยากได้มัน
อ้าวเฟิงตอบด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย “มันคือยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศ!”
“ยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศ?” จางเซวียนเลิกคิ้ว
เขาไม่เคยเห็นชื่อนี้ในหนังสือเล่มไหนก็ตามที่เคยอ่าน แต่มันไม่ใช่สมุนไพรแน่
“มันคือยาเม็ดระดับจอมราชันย์” อ้าวเฟิงตอบ
“ยาเม็ด? ทำไมยาเม็ดถึงมาอยู่ที่นี่?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
ทะเลท่วมท้นคือดินแดนที่สับสนปั่นป่วนจนไม่มีใครอาศัยอยู่ได้ แล้วทำไมถึงมียาเม็ดอยู่ที่นี่ แถมยังเป็นยาเม็ดระดับจอมราชันย์ด้วย?
“ว่ากันว่าก่อนที่จอมราชันย์พิชิตสวรรค์จะได้เป็นจอมราชันย์ เขาเข้าสู่ทะเลท่วมท้น และด้วยทักษะการหลอมยาอันเหนือชั้นของเขา เขาได้หลอมยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศขึ้นมา ในครั้งนั้น เขาหลอมได้ 2 เม็ด จากนั้นก็กินเข้าไปเม็ดหนึ่งและฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นจอมราชันย์ได้สำเร็จ การฝ่าด่านวรยุทธครั้งนั้นส่งผลให้การทดสอบวรยุทธถูกเรียกมา และทะเลสาบท่วมท้นซึ่งปราศจากความมั่นคงอยู่แล้วก็ยิ่งปั่นป่วนหนักขึ้นอีก ท่ามกลางความปั่นป่วนนั้น ยาเม็ดที่ 2 ได้อันตรธานไป…”
“ในภายหลัง จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ได้สั่งการให้เหล่าศิษย์สายตรงของเขาตามหายาเม็ดที่ 2 แต่ก็ไม่มีใครหาเจอจนถึงวันนี้ ดังนั้น มันจึงยังอยู่ที่นี่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้มีพละกำลังของจอมราชันย์ตัวจริง แต่ก็แน่นอนว่ามันเหนือชั้นกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติโดยทั่วไป” อ้าวเฟิงอธิบาย
“จอมราชันย์พิชิตสวรรค์เป็นผู้หลอมยานั้น?” จางเซวียนตาโต
ถ้าจะมีใครสักคนในโลกใบนี้ที่หลอมยาเม็ดระดับจอมราชันย์ได้ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นจอมราชันย์ ก็คงมีแต่ปรมาจารย์ขงผู้เก่งกาจเพียงคนเดียว
ในเมื่อยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศทำให้นักรบคนหนึ่งกลายเป็นจอมราชันย์ได้ หากเราได้มันมา ก็น่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จเหมือนกัน ใช่ไหม*?* จางเซวียนครุ่นคิดขณะกำหมัดแน่น
“แล้วยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศอยู่ที่ไหน?” จางเซวียนถาม
“บอกตามตรงนะ ผมเองก็ไม่แน่ใจ ผมเคยเห็นมันครั้งหนึ่งในการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณที่ผ่านมา และตอนนั้นก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้ง” อ้าวเฟิงตอบ
“แปลว่า…คุณไม่รู้?”
“ยานั้นมีชีวิตจิตใจและแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ มันมีทักษะชั้นยอดในการปกปิดตัวเอง แถมยังเล่นงานผู้ที่สะกดรอยตามมันได้ด้วย ทำให้เป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะรับมือ…ในการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งก่อน มันสังหารราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอ้าวเย่แห่งน่านฟ้ามังกรเมฆของเรา” อ้าวเฟิงส่ายหน้า
แม้ในดินแดนนี้จะเต็มไปด้วยอันตรายทุกรูปแบบ แต่สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดก็คือยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศ
มันกลายร่างกลับเป็นยาเม็ดได้ ซ่อนตัวอยู่ได้แม้ในมิติที่คับแคบที่สุดโดยไม่มีรังสีรั่วไหลออกมา มันเหมือนฆาตกรผู้สมบูรณ์เพียบพร้อมที่ปลิดชีวิตนักรบในทะเลท่วมท้นได้คนแล้วคนเล่า
แค่หวนนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในครั้งนั้น ก็ทำเอาเขาเย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง
ตอนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะบรรดาศิษย์สายตรงของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์บังเอิญผ่านมา เขาคงตายไปแล้ว!
“เมื่อคราวก่อน คุณพบมันที่ไหน?” จางเซวียนถามต่อ
“ผมมันที่ทะเลสาบดาวหาง!”
ทะเลสาบดาวหางคือดินแดนอันตรายอีกแห่งหนึ่งในทะเลท่วมท้น ที่นั่นมีดาวหางและอุกกาบาตพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง เกิดเป็นบางอย่างที่สอดประสานกันจนเหมือนกับค่ายกลขนาดใหญ่
ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเข้าไปเสาะหาสมบัติล้ำค่าในนั้น ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่อยากเฉียดกรายเข้าใกล้
“งั้นไปที่นั่นกันเถอะ” จางเซวียนพูด
หลังจากได้พิกัดจากอ้าวเฟิง จางเซวียนก็รีบเปิดเส้นทางของมิติ
สิ่งแรกที่ปรากฏให้เห็นเมื่อเดินออกจากเส้นทางของมิติก็คือทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ทอดยาวสูงขึ้นไปจนถึงกลางอากาศ มีดาวหางมากมายนับไม่ถ้วนพุ่งฉิวไปมา เปล่งแสงเจิดจ้า
ดาวหางเหล่านั้นปะทะกันเป็นระยะๆ เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น คลื่นความสั่นสะเทือนแผ่ออกมาเป็นชุด มิติที่อยู่โดยรอบแทบจะแหลกสลายกลายเป็นรอยแยกแห่งมิติสีดำ
“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในทะเลสาบดาวหางไม่ใช่ตัวดาวหางหรือการปะทะของพวกมัน แต่เป็นแรงโน้มถ่วงภายในนั้นที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” อ้าวเฟิงอธิบายอย่างเคร่งเครียด “ดาวหางพวกนี้มีน้ำหนักมากจนเหลือเชื่อแม้จะมีขนาดเล็ก และด้วยการเคลื่อนไหวที่จับทิศทางไม่ได้ สนามแรงโน้มถ่วงในบริเวณนี้จึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจนสับสนและสุดจะปั่นป่วน”
จางเซวียนขมวดคิ้ว
เขาเคยเจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างปุบปับของสนามแรงโน้มถ่วงมาแล้วเมื่อตอนอยู่ที่สะพานเบื้องบน ในครั้งนั้น ศูนย์กลางของแรงโน้มถ่วงเบี่ยงเบนไปเพียง 90 องศา แต่ก็ทำให้เขาปรับตัวไม่ได้ไปพักหนึ่ง
แต่ในทะเลสาบดาวหาง มีดาวหางทุกรูปแบบพุ่งฉิวไปมาจากทุกทิศทาง เหมือนลูกปิงปองที่ลอยว่อนไปมาในพื้นที่ปิด
หากสนามแรงโน้มถ่วงตรงนี้เปลี่ยนไปตลอดเวลาพร้อมกับการเคลื่อนไหวของดาวหาง เขาก็คงต้องใช้เวลานานกว่าจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้น การไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณอาจสิ้นสุดไปแล้ว
“ผมจะไปดู”
จางเซวียนสูดหายใจลึก จากนั้นก็ปล่อยการรับรู้จิตวิญญาณให้ครอบคลุมทั่วอาณาบริเวณของสนามแรงโน้มถ่วง แต่เพียงครู่เดียว สีหน้าของเขาก็ซีดเผือด
เขารู้สึกเหมือนถูกเหวี่ยงไปมาในเครื่องซักผ้าและกระเด็นกระดอนไปทั่วราวกับผ้าขี้ริ้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ แรงโน้มถ่วงไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่กับกายเนื้อ แต่ยังส่งผลต่อจิตวิญญาณด้วย ผู้นั้นจะต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาให้ได้เพื่อจะได้จัดการได้ครอบคลุมทั้งพื้นที่