ราชันเร้นลับ 1166 : ชื่อของมัน

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

เส้นสายฟ้าสว่างวาบอีกครั้งท่ามกลางทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยหมอกสีเทาอมเหลือง แสงฉาบลงในจุดที่การต่อสู้ระหว่างเทวทูตเพิ่งจบลงไป และฉาบลงบนรอยยิ้มที่สงบนิ่งของไคลน์

อามุนด์จ้องหน้านานหลายวินาที จากนั้นก็ขยับแว่นและพูดพลางยิ้ม

“พูดอย่างอื่นไม่เป็นแล้วหรือ? อา…ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้พบกับความหวังใหม่”

รอยยิ้มไคลน์ไม่แปรเปลี่ยน มันกำหมัดข้างหนึ่งมาวางไว้ที่ปลายจมูก ส่วนอีกข้างยัดใส่กระเป๋าเสื้อด้านใน

“ผมเพิ่งตระหนักถึงเรื่องที่สำคัญ…การเล่นเกมกับร่างต้นของคุณไม่ได้มอบความสิ้นหวังให้ผม ตรงกันข้าม มันแสดงให้เห็นว่าคุณไม่สามารถขโมยชะตากรรมของผมได้โดยตรง”

“โฮ่?” อามุนด์โพล่งด้วยรอยยิ้ม ท่าทีคล้ายกับคาดหวังในสิ่งที่ไคลน์จะพูดต่อ

ไคลน์หัวเราะและตอบโดยไม่ลังเล

“ไม่อย่างนั้น ทันทีที่เข้าสู่ดินแดนเทพทอดทิ้ง คุณคงขโมยชะตากรรมของผมและกลายเป็นเจ้าของคนใหม่ของปราสาทต้นกำเนิดไปแล้ว ต่อให้ต้องการจะเล่นเกมหนีและไล่จับเพื่อความบันเทิง ก็คงทำหลังจากบรรลุเป้าหมายหลัก ด้วยวิธีนี้คุณไม่จำเป็นต้องแบกรับความเสี่ยง และตัวผมที่เสียสิทธิ์ในการคืนชีพ สูญเสียชะตากรรมเดิม ย่อมต้องดิ้นรนมากขึ้นเพื่อเอาชีวิตให้รอด…จริงอยู่ เทพแห่งการกลั่นแกล้งอาจแสวงหาความตื่นเต้นโดยยอมแบกรับความเสี่ยง แต่ขณะเดียวกัน คุณก็เป็นเทพแห่งการหลอกลวง”

กล่าวถึงตรงนี้ไคลน์ชำเลืองสีหน้าที่ไม่แปรเปลี่ยนของอามุนด์ก่อนจะพูดต่อ

“ผมทราบดีว่าคุณมีพลังในการขโมยชะตากรรมของผู้คน แต่การที่สามารถทำได้ ไม่ได้แปลว่าต้องทำโดยไม่ยั้งคิด สิ่งนี้มีความเสี่ยง คุณต้องชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียและวิเคราะห์กำไรขาดทุน…ผมคิดว่าคุณยังไม่อยากขโมยชะตากรรมไปโดยตรง เพราะนั่นจะทำให้คุณต้องแบกรับอันตรายที่มาพร้อมกับปราสาทต้นกำเนิด…คุณไม่อยากเผชิญความเสี่ยงที่เจ้าของเดิมของปราสาทอาจคืนชีพภายในร่าง เรื่องนี้อันตรายมากจนแม้แต่ราชาเทวทูตก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่าม หากไม่ระวังตัวให้มากพอ แม้แต่คุณก็มีโอกาสร่วงหล่น…ดังนั้น คุณจึงพยายามมองหาช่องโหว่ มองหาวิธีครอบครองปราสาทต้นกำเนิดโดยไม่ต้องแบกรับความเสี่ยง และนั่นคือการให้ผมเป็นผู้ ‘มอบสิทธิ์’ ”

กล่าวถึงตรงนี้ไคลน์กำลังนึกถึงประสบการณ์การเผชิญหน้ากับไวรัสคอมพิวเตอร์จากโลกเก่า ไวรัสเหล่านั้นมักจะแสร้งทำตัวเป็นไฟล์ปรกติ และพยายามหลอกให้เจ้าของเครื่อง ‘มอบสิทธิ์’

เงื่อนไขเช่นนี้คล้ายคลึงกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ได้ยินคำพูดไคลน์ อามุนด์จ้องมองโดยไม่กล่าวคำใด เพียงขยับกรอบแว่นตาอย่างใจเย็น

ไคลน์ยิ้มและกล่าวต่อ

“ในตอนแรกที่ยึดร่าง คุณพยายามล่อลวงผมครั้งใหญ่ ในแง่หนึ่งคุณมอบโอกาสในการเป็นข้ารับใช้โดยบอกว่าร่างหลักของตัวเองสามารถขโมยชะตากรรมได้ง่ายดายเพราะแข็งแกร่งมากพอที่แบกรับความเสี่ยง และนั่นคือสิ่งที่คอยบั่นทอนจิตใจของผมมาตลอด…ระหว่างการเดินทางหลังจากนั้น คุณปล่อยให้ผมมีความหวังและทำลายมันเป็นครั้งคราว ขณะเดียวกันก็มอบโอกาสให้ได้พักหายใจ แต่จู่ ๆ ก็ย่นระยะเวลาการเดินทางให้สั้นลงกะทันหันเพื่อทำลายแผนการที่ผมวางไว้ และในท้ายที่สุด คุณเผยไต๋ว่าตัวเองคือร่างต้นเพื่อให้ผมจมอยู่กับความสิ้นหวัง พยายามทำลายพลังใจและบั่นทอนเกราะป้องกันทางจิตวิทยา พยายามทำให้จิตใจผมแตกสลายโดยสมบูรณ์ จะได้ตอบตกลงเป็นข้ารับใช้และฉวยโอกาสดังกล่าวแอบทำให้ผมยอม ‘มอบสิทธิ์’ ”

หลังจากยืนฟังอย่างเงียบงันสักพัก อามุนด์หัวเราะพร้อมกับปรบมือแผ่วเบา

“อนุมานได้สมบูรณ์แบบ…แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะมองข้ามปัญหาไปหนึ่งเรื่อง…ข้าเคยพูดว่าจะพาไปพบร่างหลักในสถานที่ปลอดภัย เมื่อถึงตอนนั้น การขโมยชะตากรรมของเจ้าจะเกิดความเสี่ยงน้อยลง…ตอนนี้เรายังไม่ถึงจุดหมาย แน่นอนว่าข้าจะไม่เสี่ยง”

สีหน้าไคลน์หม่นมองเล็กน้อยก่อนจะกลับมาผ่อนคลาย

“หวังว่าที่นั่นจะต่างออกไปนะ”

มันตอบสนองคำพูดอามุนด์ด้วยท่าทีของอามุนด์

ราชาเทวทูตตัวจริงขยับกรอบแว่น ยิ้มและชี้ไปทางด้านข้าง

“พวกเราจะไปถึงที่นั่นในอีกไม่เกินครึ่งวัน”

“ช่วยระบุให้แน่ชัดกว่านี้ได้ไหม” ไคลน์ซึ่งไม่เชื่อใจอามุนด์ไปโดยปริยาย ถามเน้นย้ำรายละเอียด

อามุนด์เกาคางพลางยิ้ม

“ครึ่งชั่วโมง”

ไคลน์หันหน้าไปยังทิศทางที่อามุนด์เพิ่งชี้ และพบว่าที่นั่นมีเพียงความมืดมิด

สายฟ้าแลบช่วยมอบแสงสว่างแก่ทุ่งกว้างอันรกร้าง แต่ยิ่งลึกเข้าไป สิ่งที่เห็นกลับมีเพียงหมอกสีเทาอมเหลืองที่เข้มข้นกว่าเดิม

กรุงเบ็คลันด์ เขตราชินี ภายในคฤหาสน์สุดหรูของเอิร์ลฮอลล์

หลังจากสองวันแห่งความยุ่งเหยิงผ่านไป ในที่สุดออเดรย์ก็ได้รับชีวิตประจำวันกลับคืนมา และนั่นยิ่งทำให้เธอทวีความฉงนเกี่ยวกับความจริงเบื้องหลังเหตุลอบสังหารกษัตริย์

พิจารณาว่ามิสเตอร์ฟูลน่าจะยกเลิกการชุมนุมในวันนี้ ออเดรย์ตัดสินใจสวดวิงวอนถึงตัวตนลึกลับผู้ยิ่งใหญ่ล่วงหน้า หวังติดต่อกับเดอะเวิร์ล เกอร์มันสแปร์โรว์เพื่อสอบถามสถานการณ์ปัจจุบัน

เมื่อหญิงสาวชำเลืองไปทางซูซี่ โกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่เดินออกจากห้องทันที ปิดประตูด้วยขาและนั่งเฝ้าด้านนอก

ออเดรย์นั่งลง สวดวิงวอนเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณด้วยความเคยชิน

“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”

กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันออก ภายในบ้านเช่าสองห้องนอน

“คิดว่าวันนี้จะมีการชุมนุมไหม? ตอนนี้ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการออกมา…” ฟอร์สหยิบนาฬิกาพกสุภาพสตรีออกมาเปิดฝา

ซิลส่ายหน้า

“ฉันไม่รู้”

ฟอร์สนั่งไม่ติด เธอลุกขึ้นและเดินวนเวียนไปมาด้วยความกระสับกระส่าย

“มิสเตอร์เวิร์ลไม่ตอบสนอง…มิสเตอร์ฟูลก็ไม่…”

ขณะกล่าวฟอร์สพลันหันไปมองเพื่อนสนิทที่กำลังกินแฮม จากนั้นก็โพล่ง

“ซิล เธอลองสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลเพื่อถามเกี่ยวกับชุมนุมในวันนี้ได้ไหม?”

ซิลขมวดคิ้วเล็กน้อย วางส้อมลงและพยักหน้ารับ

“ตกลง”

เธอเองก็คิดว่าสถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างประหลาด

หญิงสาวประสานมือไว้ใต้คาง จากนั้นก็สูดลมหายใจและกล่าวเสียงต่ำ

“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”

กรุงเบ็คลันด์ เขตเหนือ ชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล ภายในห้องด้านหลังประตูยานิส

เอ็มลินไวท์ลืมตาตื่นขึ้น ค่อนข้างสับสนกับความฝันเมื่อครู่

มันเพิ่งฝันถึงต้นตระกูลผีดูดเลือด ลิลิธ!

ภายในความฝัน มันถูกขังไว้ในปราสาทเก่าที่เต็มไปด้วยเถาองุ่นสีแดง และไม่มีทางหนีไม่ว่าจะดิ้นรนสักเพียงใด

ถัดมามันเห็นดวงจันทร์สีแดงเข้มนอกหน้าต่างแคบเหนือศีรษะ และเห็นปีกค้างคาวขนาดใหญ่คู่หนึ่งซึ่งปกคลุมดวงจันทร์ไปกว่าครึ่ง

จากตำนานของตระกูลผีดูดเลือด นี่คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของเทพบรรพกาล ลิลิธ

ภายในความฝัน เอ็มลินบินขึ้นด้านบนด้วยความตื่นเต้น ขณะพยายามแหวกหน้าต่างแคบออกไป มันพบไพ่ทาโรต์ถูกวางไว้ใต้กระจก

หน้าไพ่เป็นภาพของชายคนหนึ่งในชุดสง่างาม สวมเครื่องประดับศีรษะที่หรูหราและพาดท่อนไม้ไว้บนบ่า ด้านหลังมีลูกสุนัขเดินตาม

ไพ่เดอะฟูล

ฝันถึงตรงนี้เอ็มลินตื่นขึ้นตามธรรมชาติ และในฐานะไวเคาต์ผีดูดเลือด มันย่อมมีพื้นฐานด้านวิเคราะห์ความฝัน

ความฝันน่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากสภาพในปัจจุบันของเรา…เดอะสตาร์ไม่เคยส่งเลือดมนุษย์มาให้เราดื่มเลย…

เราเป็นคนโปรดของท่านบรรพบุรุษโดยแท้จริง…พระองค์กำลังบอกว่า หากต้องการหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทางออกเดียวคือการขอความช่วยเหลือจากเดอะฟูล?

วันนี้วันอะไร…ช่างมัน แค่สวดวิงวอนก็พอ มีเพียงวิธีนี้ที่จะได้ออกไปโดยเร็ว…เอ็มลินผุดความหวังพร้อมกับสวดวิงวอนเสียงขรึม

“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”

เหนือสายหมอก ดาวแดงสามดวงที่เป็นตัวแทนจัสติส จัดจ์เมนต์ และเดอะมูนเริ่มพองตัวและหดกลับ เปล่งแสงพร้อมกับสร้างระลอกคลื่น

พวกมันผสานเข้ากับกระแสน้ำสีแดงเข้มที่มีอยู่ก่อนแล้ว ส่งผลให้แรงสะเทือนภายในมิติลึกลับทรงพลังยิ่งกว่าเก่า

ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือน กระแสน้ำขึ้นลงกำลังท่วมท้นพระราชวังโบราณ และด้านหลังพนักพิงเก้าอี้ทั้งแปดข้างโต๊ะทองแดงยาว สัญลักษณ์ลึกลับทยอยสว่างขึ้นทีละหนึ่ง

สิ่งนี้ทำให้เกิดแสงสว่างใหม่ที่มาพร้อมกับเสียงอื้ออึง

แสงแบบเดียวกันยังสว่างขึ้นจากพนักเก้าอี้ของเดอะฟูล ส่งผลให้สัญลักษณ์ซับซ้อนที่ครึ่งหนึ่งเป็นเส้นเกลียวและอีกครึ่งเป็นดวงตาไร้รูม่านตา เริ่มขยายขนาดและซ้อนทับจนกลายเป็นภาพสามมิติ

กระแสน้ำขึ้นลงถูกดูดให้หลั่งไหลมารวมกันจนก่อตัวเป็น ‘ร่างคน’ บนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล

ร่างดังกล่าวยังขาดเสถียรภาพ มันบิดเบี้ยว กระจัดกระจาย และกลับมารวมตัว ยากจะรักษาความมั่นคง

บนทุ่งกว้างที่รกร้างซึ่งปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทาอมเหลือง ไคลน์ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แหงนมองขึ้นไปยังฟ้าแลบบนท้องฟ้า

จากนั้นก็ถอนสายตากลับทันที ถือตะเกียงหนังสัตว์เดินตามอามุนด์เข้าไปในดินแดนรกร้างที่มองไม่เห็นปลายทาง

ยิ่งหนึ่งมนุษย์หนึ่งราชาเทวทูตย่างกรายเข้าไปลึก รอยแยกและหุบเหวบนพื้นดินก็ยิ่งเพิ่มจำนวน และยิ่งทวีความลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ

ราวสิบนาทีถัดมา เมื่อสายฟ้าเส้นหนึ่งสว่างขึ้นจากด้านบน ไคลน์มองเห็นคนยักษ์ตาเดียวสีน้ำเงินเข้ม สูงหลายสิบเมตร อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

บนร่างกายมีร่องรอยเน่าเปื่อย ดวงตาจมลึกและขาดชีวิตชีวา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตายไปแล้ว

แต่มันยังคงเตร็ดเตร่ไปตามทุ่งกว้าง แก๊สสีเหลืองอมเทาปกคลุมร่างกายหนาแน่น บางส่วนลอยขึ้นไปด้านบนและก่อตัวเป็นเมฆใหญ่ สิ่งนี้คือต้นตอของหมอกสีเทาอมเหลืองในดินแดนอันรกร้าง

หมอกสีเทาเหลืองที่ดูราวกับจะไร้สิ้นสุด ทั้งหมดถูกสร้างจากคนยักษ์สีน้ำเงินเข้มตรงหน้า!

“บุตรชายคนสุดท้องของราชาคนยักษ์เออเมียร์ เทพแห่งเกียรติยศ บลาเดล เจ้านั่นสาปแช่งพระบิดาของข้าอย่างเปิดเผย จึงถูกลงโทษให้เตร็ดเตร่อยู่ที่นี่ตลอดกาล แน่นอนว่ามันตายไปแล้วในเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ได้รับอิสระ” อามุนด์จ้องไปทางคนยักษ์พลางแสยะยิ้ม “หากไม่ใช่เพราะข้าขโมยความเสียหายจากหมอก ทันทีที่เข้ามาในทุ่งกว้างแห่งนี้ เจ้าจะถูกหมอกที่บลาเดลสร้างจากแผ่นหลังกัดกิน จากนั้นก็ถูกสาปให้เตร็ดเตร่อยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”

ต้องการคำขอบคุณใช่ไหม? ขณะเดียวกันไคลน์รู้สึกเหมือนได้ฟังตำนานเพิ่มเติม

อามุนด์พาไคลน์เดินต่อไป เพียงไม่นานก็เข้าใกล้คนยักษ์ตาเดียวสีน้ำเงินเข้ม

ในจุดที่คนยักษ์กำลังเดิน ใกล้กันเป็นหุบเหวที่เงียบสงบ และหลังจากสายฟ้าสว่างขึ้น ด้านล่างหุบเหวเผยให้เห็นอาคารสีเทาขนาดใหญ่

เพียงชำเลืองเปลือกตาไคลน์กระตุกแผ่วเบา เนื่องจากนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นฉากนี้จากนิมิตความฝันของไม้กางเขนเจิดจรัส

หากจำไม่ผิดที่นี่ควรเป็นจุดที่เทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ บิดาของอามุนด์และอาดัม ย่างกรายออกมาเป็นครั้งแรก!

นี่คือจุดที่อามุนด์บอกว่าปลอดภัย? หัวใจไคลน์พลันดำดิ่ง

ทันใดนั้นอามุนด์ซึ่งแต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและแว่นตาขาเดียว เดินไปยังริมหุบเหวพร้อมกับหันหลังให้อาคารสีเทาอ่อน กางมือทั้งสองข้างออกและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ที่นี่คือดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่พระบิดาลืมตาตื่น ด้านในเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่ข้าต้องการสำรวจ…พระบิดากล่าวว่า ที่นี่เคยมีชื่อโบราณซึ่งถูกเรียกขานว่า…”

ท่ามกลางแสงสายฟ้าสีเงินที่มอบความสว่าง อามุนด์ในชุดคลุมสีดำทรงโบราณ เว้นวรรคพลางกางแขนออกจนสุด จากนั้นก็กล่าวเสียงขรึม

“เชอร์โนบิล!”

………………