“เชอร์โนบิล!”
ได้ยินคำพูดอามุนด์ ท่าทีตอบสนองแรกของไคลน์คือตกตะลึง
ในตอนที่เข้าใกล้คนยักษ์สีน้ำเงินเข้ม ชายหนุ่มคาดหวังไว้หลายสิ่ง แต่ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนี้
เป็นความรู้สึกคล้ายกับได้เห็นปืนกลในภาพวาดสีน้ำมันโบราณ หรือบทนิยายบนเอกสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ความตกตะลึงและยากจะทำใจยอมรับกำลังถาโถมหนักหน่วง
วินาทีถัดมาไคลน์นึกถึงประเด็นอันน่าขบขัน เป็นเรื่องที่เทพสุริยันบรรพกาลใช้กระดูกซี่โครงของตนสร้างเทวทูตมืด ซาสเรีย และยังตั้งชื่อลูกชายคนโตว่าอาดัม ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะมองว่าสถานการณ์ปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกัน และนึกอยากหัวเราะออกมา
เมื่อตระหนักว่าอามุนด์ซึ่งแข็งแกร่งเหนือจินตนาการชนิดที่ควรถูกนิยามว่า ‘บั๊ก’ ของโลก อามุนด์ที่มักแสยะยิ้มแฝงเลศนัยบนใบหน้า กำลังเปล่งชื่อ ‘เชอร์โนบิล’ ออกมาด้วยท่าทีขึงขังและเคร่งขรึม ไคลน์ยิ่งนึกอยากหัวเราะเสียงดัง และไม่คิดจะเก็บซ่อนพฤติกรรมดังกล่าว
ถ้าหมอนั่นอับอายและโกรธจนพลั้งมือฆ่าเรา นั่นคงจะดีไม่น้อย…การที่อามุนด์มีนิสัยเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าการอบรมสั่งสอนของเทพสุริยันบรรพกาลเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง! ไคลน์ยิ้มอย่างไม่ปิดบัง เตรียมระเบิดเสียงหัวเราะโดยไม่ยำเกรง
ทันใดนั้นสายฟ้าสีเงินสว่างพาดยาวไปบนท้องฟ้า ช่วยมอบความสว่างไปทั่วหุบเหวลึก ไคลน์จึงมองเห็นอาคารสีเทาอ่อนด้านล่างอีกครั้ง
สถาปัตยกรรมของอาคารแตกต่างจากยุคสมัยที่สี่ สาม และสองโดยสิ้นเชิง
ตึกตัก!
หัวใจไคลน์หดตัวและพองออกอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มที่เตรียมเบ่งบานพลันแข็งทื่อ
ตึกตัก! ตึกตัก!
ขณะได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง ไคลน์พลันฉุกคิดถึงสามัญสำนึกของโลกปัจจุบัน
หนึ่งปีมีสิบสองเดือน…สามร้อยหกสิบห้าวัน…และมีปีอธิกสุรทิน…
วันละยี่สิบสี่ชั่วโมง หกสิบนาทีต่อชั่วโมง หกสิบวินาทีต่อนาที…
ได้รับการยืนยันว่าเป็นดาวเคราะห์…
มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้า…
ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!
สัญชาตญาณของไคลน์คอยยับยั้งมิให้ตัวเองคิดลึกไปกว่านี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่ภายในใจจะมี ‘เสียง’
หรือว่าที่จริงแล้วเราไม่ได้เดินทาง ‘ข้ามโลก’ ? ยังคงอยู่บนโลกใบเดิมมาตลอด แต่ถูกแขวนไว้บนประตูแสงเหนือมิติหมอกเกินไป…นานจนไม่ใช่คนจากยุคสมัยปัจจุบัน…
เมื่อความคิดดังกล่าวเริ่มก่อตัว รายละเอียดจำนวนมากที่มันเคยมองข้าม พลันปะทุขึ้นในใจราวกับภูเขาไฟระเบิด
ทางฝั่งตะวันออกของทะเลโซเนีย ก่อนจะเข้าเขตซากสมรภูมิเทพ มีอาคารที่ทำจากเหล็กผุพังและบ่อน้ำใต้ทะเลลึก…คล้ายกับเหลือทิ้งไว้โดยฝีมือของมนุษย์…
ทวีปเหนือและใต้มีความคล้ายคลึงกับทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้…ยกเว้นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างทั้งสองทวีป ซึ่งนั่นดูคล้ายกับถูกพลังบางอย่างแยกออกจากกันจนเกิดเป็นทะเลคลั่งที่มีเส้นทางเดินเรือคดเคี้ยว…นอกจากนั้น เกาะโซเนียยังเหมือนกับเกาะขนาดใหญ่ทางเหนือที่ไหลลงมาทางใต้เล็กน้อย…แคว้นเลียบทะเลเปรียบดังทะเลสาป ‘เกรตเลค’ ของทวีปอเมริกาเหนือที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ราวกับถูกพุ่งชนโดยอุกกาบาตลูกยักษ์…
สำหรับทวีปเหนือ ภูเขา แนวสันเขา และแม่น้ำมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ยังหลงเหลือเค้าโครงพื้นฐานหากนำมาเทียบกัน…
ถ้าอย่างนั้น…ทวีปตะวันตก บ้านเกิดของเอลฟ์ และทวีปตะวันออกซึ่งเป็นสถานที่ตั้งดินแดนเทพทอดทิ้งกับเชอร์โนบิล…
จากตำนานขุมทรัพย์แห่งท้องทะเล มีอารยธรรมที่สาบสูญชื่อว่า ‘เนวินส์’ ซึ่งน่าจะจมอยู่ที่ใดสักแห่งในทะเลหมอก…
พ่อแม่ของราชาคนยักษ์เป็นมนุษย์…ต้นกำเนิดของผีดูดเลือดและเอลฟ์ก็ถูกสงสัยว่าจะมาจากมนุษย์เช่นกัน…
ข้อสงสัยก่อนหน้านี้ของเรา…เหตุใดปราสาทต้นกำเนิดถึงต้องจับมนุษย์จากโลกของเรา และทำไมพวกเขาถึงอาศัยในยุคสมัยเดียวกับเรา…เรื่องนี้สามารถอธิบายได้อย่างกระจ่าง…
ภายในเวลาเพียงสองถึงสามวินาที จิตไคลน์คล้ายถูกฟ้าผ่าเป็นระยะ ริมฝีปากของมันสั่นระริก ราวกับกำลังข่มใจมิให้โพล่งบางสิ่งออกมา
แต่ดวงจันทร์ของโลกใบนี้มีสีแดง…อวกาศก็แตกต่างจากโลกเล็กน้อย…เราไม่ใช่หนอนดาราศาสตร์ จึงไม่มั่นใจนัก แต่จักรพรรดิดื่มโอสถเส้นทางนักปราชญ์เข้าไป หากอวกาศมีดวงดาวเหมือนกับโลกเก่า เขาก็ต้องค้นพบนานแล้ว…ความคิดเชิงโต้แย้งผุดขึ้นในใจไคลน์
แต่วินาทีถัดมา มันหวนนึกถึงสองประโยค
ประโยคแรกเป็นคำพยากรณ์อันน่าสะพรึงที่เคยอ่านจากโลกออนไลน์ในชีวิตก่อนหน้า:
“เมื่อดวงดาวเรียงตัวกันในตำแหน่งเฉพาะเจาะจง ความโกลาหลจะบังเกิดขึ้นจากเบื้องล่าง และมหาต้นกำเนิดจะลืมตาตื่น”
อีกหนึ่งประโยคก็คือ
“ระวังดวงจันทร์ให้ดี!”
นี่มัน…คำพยากรณ์ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นอย่างส่งเดชหรอกหรือ? เมื่อดวงดาวเรียงตัวในตำแหน่งเฉพาะเจาะจง…ส่งผลให้ตำแหน่งปัจจุบันของดวงดาวในอวกาศ ไม่สอดคล้องกับโลกเก่า? ไคลน์แทบจะไม่สนใจอามุนด์ตรงหน้า เพียงยืนสั่นเทาอยู่จุดเดิม
มันรวบรวมเรี่ยวแรงอย่างมากเพื่อที่จะถอนหายใจ
บางทีเราอาจไม่เคยออกจากบ้านเกิด…แค่กลับไปไม่ได้อีกแล้ว…
ขณะความคิดกำลังกระจ่าง สายหมอกสีเทาปรากฏขึ้นอย่างเงียบงันเบื้องหน้า
คราวนี้มันกำลังยืนอยู่ในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับป่าเสื่อมโทรม เป็นช่วงเวลาสิ้นสุดยุคสมัยที่หนึ่งและจุดเริ่มต้นของยุคสมัยที่สอง
แตกต่างจากอดีต สายหมอกสีเทาในปัจจุบันมิได้ว่างเปล่าอีกต่อไป ในส่วนลึกของสายหมอกมีจุดแสงหลายดวงกำลังส่องสว่าง
พวกมันเป็นราวกับประภาคารที่คอยนำทาง ช่วยให้ไคลน์สำรวจประวัติศาสตร์ลึกเข้าไปจากเดิมอีกนับพันปีหรือมากกว่านั้น
ถัดมาชายหนุ่มพบบานประตูแห่งแสงที่มีสีน้ำเงินเจือดำ เห็นรังไหมโปร่งใสถูกแขวนเรียงรายด้านบนประตูแสง และเห็นตัวเองในเสื้อยืดกางเกงสแล็ค
สายลมที่มองไม่เห็นพัดผ่าน ช่วยแหวกหมอกสีเทาใต้ประตูทีละนิด จนกระทั่งเผยให้เห็นเมือง
ภายในเมืองเต็มไปด้วยตึกระฟ้า รถยนต์หลายคันที่กำลังจอดรอคนเดินถนนข้ามทางม้าลาย
เมืองดังกล่าวทยอยถูกทำลายไปทีละจุด ปกคลุมด้วยฝุ่นผงสีเทา อาคารหลายหลังพังถล่มจนเผยเหล็กเส้นยื่นยาว รถบางคันติดอยู่ในตึก บางคันถูกสะเก็ดถล่มจนพัง และบางคนถูกบดแบนเป็นแผ่นเหล็ก คนเดินถนนต่างยืนแข็งทื่อราวกับหุ่นขี้ผึ้งไร้ชีวิต
ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์หยุดเพ่งมองทันที
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า
ดาวเคราะห์ดวงนี้คือโลก!
ในวินาทีนี้โอสถปราชญ์โบราณของชายหนุ่มถูกย่อยอย่างสมบูรณ์
จิตใต้สำนึกไคลน์ถูกส่งกลับมายังโลกความจริงทันที มันตระหนักว่าสายสัมพันธ์ระหว่างตนกับปราสาทต้นกำเนิดแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
ท่ามกลางความอื้ออึง เสียงกังวานจากการสวดวิงวอนของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ทวีความดังและคมชัด
ก่อนหน้านี้อาศัยความช่วยเหลือจากเสียงสวดวิงวอนของทุกคน ไคลน์พอจะมองเห็นสถานการณ์ภายในปราสาทต้นกำเนิดเหนือสายหมอก และเห็นว่าในตำแหน่งเก้าอี้เดอะฟูล มีร่างที่บิดเบี้ยวพยายามก่อตัวให้คมชัดเพื่อสร้างการเชื่อมต่อบางอย่าง
ไคลน์ตระหนักได้ทันที ในวินาทีนี้ตนไม่จำเป็นต้องท่องคาถาหรือเดินถอยหลังสี่ก้าวอีกต่อไป เพียงแค่คิด ร่างวิญญาณก็สามารถเข้าสู่ปราสาทต้นกำเนิดและรวมเข้ากับ ‘ร่าง’ ดังกล่าวได้ทันที
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่คือโอกาสอันดีในการหลุดพ้นจากปัญหาตรงหน้า!
สลัดความคิดที่ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้คือโลกออกไปก่อน ไคลน์เชื่อว่าอามุนด์ไม่มีทางตระหนักถึงพัฒนาการเมื่อครู่ จึงรีบเพ่งจิตเพื่อส่งตัวเองขึ้นไปยังปราสาทต้นกำเนิด
ทันใดนั้นหางตาไคลน์ชำเลืองเห็นอามุนด์ที่แต่งกายในชุดคลุมสีดำ หมวกปลายแหลม และแว่นตาขาเดียว ยกมุมปากเล็กน้อยด้วยความยินดีปรีดาเหนือพรรณนา
จิตไคลน์ระเบิดในพริบตา ความคิดทั้งหมดถูกครอบงำด้วยเสียงเพรียกจำนวนมหาศาลจากอามุนด์
“เจ้าพูดถูก…ข้าไม่คิดจะขโมยชะตากรรมของเจ้าเพื่อแบกรับความเสี่ยงที่จะมาพร้อมการเป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด…”
“เจ้าพูดถูก ข้าหลอกลวงมาตั้งแต่ต้น…”
“แต่แก่นแท้ของการหลอกลวง…คือการทำให้เจ้า ‘คิดว่า’ ข้ากำลังสร้างความหวังและทำลาย เพื่อให้เจ้าตอบรับข้อเสนอที่จะเป็นข้ารับใช้…”
“หากข้าไม่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายในตอนที่เข้าสู่ดินแดนเทพทอดทิ้ง หากข้าไม่ ‘เผลอ’ ใช้พลังของ ‘ข้อผิดพลาด’ ออกมา เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าข้าคือร่างต้น?”
“เทพแห่งการหลอกลวงจะมองไม่ออกเชียวหรือ ว่าการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจะนำมาซึ่งปัญหามากมาย?”
“คิดจริงหรือว่าตัวข้าซึ่งอาศัยอยู่ในเชอร์โนบิลมานาน จะไม่เข้าใจที่มาของชื่อนี้?”
“ข้าอยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้งมานานกว่าพันปีเพื่อคอยขุดคุ้ยประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด…ช่วงเวลาก่อนที่จะเริ่มต้นยุคสมัยที่หนึ่ง”
“จุดประสงค์ที่แท้จริงของการเดินทางก็คือ…มอบความรู้ทางประวัติศาสตร์แก่เจ้า ช่วยให้เจ้าย่อยโอสถปราชญ์โบราณและผ่อนคลายเมื่อเดินทางมาถึงที่นี่…จนกระทั่งเจ้ามีสายสัมพันธ์กับปราสาทต้นกำเนิดอย่างแน่นแฟ้นและพยายามกระตุ้นการเชื่อมต่อ ข้าจะฉวยโอกาสนั้นใช้ช่องโหว่เพื่อขโมยปราสาทต้นกำเนิดมาเป็นของตัวเอง”
“ชะตากรรมยังคงเป็นของเจ้า…แต่ปราสาทต้นกำเนิดเป็นของข้า”
…
เสียงเพรียกเหล่านี้ไม่เพียงจะเจือเสียงหัวเราะเย้ยหยันของราชาเทวทูต แต่มันยังทำลายจิตใจไคลน์จนแหลกละเอียด ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเสียงเพรียกจากมิสเตอร์ประตู
บนผิวหนังไคลน์เผยร่องรอยของหนอนวิญญาณทันที ชายหนุ่มกำลังจะคลุ้มคลั่งคาที่
และภายในร่างกาย หนอนกาลเวลาสิบสองปล้องของอามุนด์ทยอยผุดออกมาทีละหนึ่ง จากนั้นก็ควบแน่นกลายเป็นภาพมายาของอามุนด์ที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมจอมเวทสีดำ หมวกปลายแหลมและแว่นตาขาเดียว
ที่ผ่านมาอามุนด์ทำการยึดร่างไคลน์ในระดับผิวเผินโดยที่เจ้าตัวไม่เอะใจมาตลอด แต่มันมิได้ทำไปเพื่ออ่านความคิด หรือเตรียมความพร้อมสำหรับ ‘ยึดในร่างเชิงลึก’ หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่เพื่อรอคอยโอกาสนี้!
ในตอนแรกที่พบกัน อามุนด์จงใจใช้การยึดร่างในเชิงลึกเพียงเพื่อหนึ่งจุดประสงค์ นั่นคือการแอบฝังหนอนกาลเวลาสำหรับ ‘ยึดร่างแบบผิวเผิน’ โดยไม่ให้ไคลน์รู้ตัวหรือตรวจสอบได้!
ภาพมายาของอามุนด์ชำเลืองมาทางไคลน์ที่กำลังถูกเสียงเพรียกถาโถมจิตใจจนไม่เหลือช่องว่างทางความคิด จากนั้นก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายที่เหมือนกับร่างต้นทุกประการ
มุมปากของมันบรรจงขดขึ้น เผยความปีติยินดีเป็นล้นพ้นอย่างมิอาจพรรณนา
มันหันหลังกลับ อาศัยความช่วยเหลือจากการเชื่อมต่อที่มองไม่เห็นเพื่อ ‘กระโดด’ ไปยังปราสาทต้นกำเนิดเหนือสายหมอกสีเทา
คล้ายกับเมื่อครั้งที่มันเคยยึดครองร่างเดอร์ริคเบเกอร์และพยายามแทรกซึมสายหมอกสีเทาผ่านดาวแดงตัวแทนเดอะซัน
แต่ในคราวนี้ ไม่มีใครอยู่บนปราสาทต้นกำเนิดเพื่อคอย ‘ปัดเป่า’ และ ‘ปิดประตู’ การเชื่อมต่อ
นี่คือกลอุบายและการแสดงที่แยบยล
นี่คือเทพแห่งการหลอกลวง
………………………..