“คนอย่างหลินสวินฆ่าไม่ตายหรอก พวกเจ้าทำเช่นนี้จะต้อชักนำภัยพิบัติมาสู่สำนักแน่!”
ทันใดนั้นจินมู่อวิ๋นพูดเสียงเย็น กวาดมองข่งหลิงและพวกหม่าหยวนชิง สายตานั่นน่ากลัวราวกับกระบี่คม
เผชิญกับสายตาเช่นนั้น คนอื่นๆ ต่างมีความรู้สึกไม่กล้าสบตา
“มู่อวิ๋น เจ้าพูดบ้าอะไร”
หม่าหยวนชิงขมวดคิ้ว ต่อว่าประโยคหนึ่ง “เจ้าควรรู้ว่ายามประลองก่อนหน้านี้ ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นตัดหัวเจ้าเชียวนะ!”
“ศิษย์พี่จิน ไม่ว่าเทพมารหลินนั่นแข็งแกร่งแค่ใด ก็เพียงแค่หัวเดียวกระเทียมลีบ ตอนนี้ยังมีสำนักโบราณมากมายขนาดนั้นเคลื่อนกำลังพร้อมกัน เขาต้องตายแน่”
ข่งหลิงสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง แย้งออกมาเช่นกัน
“ข้าแค่เตือนเท่านั้น พวกเจ้าจะฟังหรือไม่ก็แล้วแต่”
จินมู่อวิ๋นถอนหายใจในใจ จู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายอยู่บ้าง ส่ายหน้าแล้วหมุนตัวออกไป
เป็นสำนักโบราณก็สามารถวางอำนาจบาตใหญ่ได้หรือ
เมื่อมหายุคมาเยือน ทุกอย่างจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ด้วยความสามารถของหลินสวินในตอนนี้ อนาคตต้องกลายเป็นราชันเป็นอริยะได้อย่างแน่นอน!
แต่ตอนนี้คนเหล่านี้ยังมองเทพมารหลินเป็นของไร้ค่า คิดว่าสามารถกลั่นแกล้งได้ตามอำเภอใจ ช่างไม่รู้จักมองการณ์ไกล!
หากเทพมารหลินฆ่าง่ายขนาดนี้ คงตายตั้งแต่ตอนอยู่ในแดนฐิติประจิมแล้ว จะมีความสำเร็จในวันนี้ได้อย่างไร
ยิ่งคิด ในใจจินมู่อวิ๋นก็ยิ่งผิดหวัง
ดินแดนรกร้างโบราณยิ่งใหญ่เพียงนี้ หรือว่า…จะไม่มีที่ยืนสำหรับเทพมารหลินแค่คนเดียว
เหล่าสำนักที่เห็นเขาเป็นศัตรูเคยรู้หรือไม่ว่า หากปล่อยให้เทพมารหลินรอดชีวิตไปได้ จะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวแค่ไหน
เสียดายที่คำพูดเหล่านี้ถูกกำหนดให้ไม่มีใครได้ยิน
จินมู่อวิ๋นถอนหายใจอีกครั้ง หยุดคิดมากไปกว่านี้ เขาเพียงคิดว่าอยากรีบออกจากตรงนี้ ยิ่งไกลยิ่งดี จะได้ไม่ถูกเรื่องพวกนี้ทำเสียอารมณ์
“ศิษย์พี่จินเป็นอะไรไป หรือหลังจากถูกหลินสวินเอาชนะแล้วในใจจึงมีเงามืดเหลือทิ้งไว้”
“หึ ข้าว่าเขาคงกลัว!”
“อย่าพูดบ้าๆ ศิษย์พี่จินอาจจะ… อาจจะเป็นห่วงหลายเรื่อง”
มองตามจินมู่อวิ๋นจนลับตาไป พวกหม่าหยวนชิง ข่งหลิงต่างชะงักไปเล็กน้อย ทว่าล้วนไม่เห็นด้วย
หลินสวินยังไม่ได้บรรลุสู่ระดับราชัน ฆ่าเขาตาย ก็ไม่ต่างอะไรกับการบี้มดตรงตีนเขาตัวหนึ่งตาย!
……
สวบ~ สวบ~
ในแดนลับที่แทบจะว่างเปล่า ยิ่งใหญ่และไร้ขอบเขตนี้ ทุกที่ล้วนเป็นสีดำราวกับรัตติกาล เงียบสงบและกว้างโล่ง
ตอนนี้มีลำแสงสีสันงดงามราวกับมายาโบยบินอยู่กลางอากาศสีดำ ก่อนจะหายแวบไปในชั่วพริบตา
ลำแสงนั่นงดงามเกินไปแล้ว ว่องไวบางเบาเหมือนขนนก ปลดปล่อยแสงหลากสี แม้จะหายไปในชั่วพริบตา แต่กลับทำให้รู้สึกถึงความงดงาม
ตอนที่หลินสวินไปถึงที่แห่งนี้ จิตใจก็ถูกดึงดูดทันที
“เจ้าอย่าพยายามไปสัมผัสจะดีที่สุด พลังแห่ง ‘กาลเวลา’ พวกนั้นเป็นพลังกฎระเบียบสูงสุดที่แม้แต่อริยะยังไม่กล้าแตะต้องง่ายๆ”
ข้ารับใช้วิญญาณปรากฏตัวข้างๆ เอ่ยปากเตือน
ประโยคเดียวทำเอาหลินสวินเหงื่อตก สูดหายใจเข้าด้วยความตกใจไม่หยุด
ใครจะคิดได้ว่า แสงที่ราวกับไหวเคลื่อนเกิดดับราวกับขนนกนั่น ดันเป็นพลังของกาลเวลา
ที่อริยะเป็นอริยะได้ ก็เพราะครอบครองนัยเร้นลับแห่งห้วงอากาศว่างเปล่า สามารถตัดผ่านจักรวาล ท่องไปในความว่างเปล่า แทบจะไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้!
ปัจจุบันค่ายกลเคลื่อนย้ายที่กระจายอยู่ในแต่ละแคว้นใหญ่ๆ ของดินแดนรกร้างโบราณ ก็เป็นอริยะเปิดขึ้นมากับมือ มิฉะนั้นในระดับต่ำว่าอริยะ ก็ไม่มีใครสามารถเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศว่างเปล่าได้
แม้จะเป็นอริยะ ก็มีพลังที่ไม่สามารถแตะต้องได้ อย่างเช่นเวลา!
สมัยบรรพกาลก็เคยมีอริยะแสดงความหดหู่ว่า ‘กาลเวลาราวกับขนนก ไม่มีใครสามารถแบกรับความหนักของมันได้’
“ที่แห่งนี้คือแดนลับไร้มรณะ ถูกจำกัดด้วยกฎแห่งกาลเวลาที่แตกต่างกัน ฝึกปราณที่นี่หนึ่งปีเท่ากับหนึ่งวันในโลกภายนอก”
เสียงของข้ารับใช้วิญญาณเรียบเฉยมาตลอด ไม่มีคลื่นอารมณ์สักนิด “ทว่าทุกครั้งที่มีการเปิด จะเสียพลังแห่งกาลเวลาสายหนึ่ง หากพูดถึงมูลค่า เรียกได้ว่าเป็นศุภโชคพลิกฟ้า หวังว่าเจ้าจะรักษาโอกาสนี้ อย่าได้เอื่อยเฉื่อย”
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”
หลินสวินประสานหมัดคาราวะ
หนึ่งปี!
เพียงพอจะทำให้การฝึกมหามรรคของเขายกระดับขึ้นขั้นใหญ่!
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่นครหยกขาว เขาก็รู้แล้วว่า ไม่ว่าจะเทียบกับอวิ๋นชิ่งไป๋ในด้านใด เขาก็ไม่ด้อยกว่าแล้ว นอกจากด้านเวลา!
อวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีที่แล้ว ถูกตนก้าวข้ามไปแล้วจริงๆ
แต่อวิ๋นชิ่งไป๋ในสิบปีหลังจากนั้น จะแข็งแกร่งแค่ไหน
หลินสวินไม่รู้ แต่เขามั่นใจว่าด้วยพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและแก่นกระดูกของอวิ๋นชิ่งไป๋ การปิดด่านฝึกตนสิบปีเพียงพอจะทำให้พลังต่อสู้ของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงราวถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก
ทว่าปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ การฝึกปราณในระดับกระบวนแปรจุติถึงอย่างไรก็มีขีดจำกัด อวิ๋นชิ่งไป๋อยากทะลวง ก็ทำได้เพียงทะลวงตอนมหายุคมาเยือน!
นี่ก็หมายความว่า เขาปิดด่านมาสิบปี ต่อให้การเปลี่ยนแปลงของศักยภาพจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่สุดท้ายก็ยังจำกัดเพียงในระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้น
นี่เป็นการให้โอกาสหลินสวินได้ชดเชยข้อบกพร่องและไล่ตามให้ทัน!
โดยเฉพาะช่วงเวลาหนึ่งปีในแดนลับไร้มรณะ หากคว้าโอกาสไว้ให้ดี ก็จะสามารถย่นและชดเชยระยะห่างที่ใหญ่ที่สุดได้!
“เจ้า…” ข้ารับใช้วิญญาณเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไป
“ผู้อาวุโสมีเรื่องใดหรือ” หลินสวินถาม
“ตั้งใจฝึกปราณเถอะ” สุดท้ายข้ารับใช้วิญญาณก็ไม่ได้พูดอะไร หมุนตัวจากไป
หลินสวินชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ไม่ทันไรก็หยุดคิดมาก
เขามองห้วงอากาศสีดำไร้ขอบเขตที่ราวกับรัตติกาลนิรันดร์ และมองพลังแห่งกาลเวลาอันงดงามที่ลอยล่องราวกับขนนก จากนั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง สลัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไป
หลินสวินนั่งขัดสมาธิ ในใจบริสุทธิ์ว่างเปล่า นิ่งสงบไร้การเปลี่ยนแปลง
‘การฝึกปราณเป็นรากฐานของการฝึกยุทธ์ ตัดสินความแข็งแกร่งและอ่อนแอของพลังต่อสู้ ก้าวแรก ฝึกปราณให้ถึงขั้นสมบูรณ์ก่อน…’
ฮูม
รัศมีศักดิ์สีใสมากมายไหลออกจากร่างกายของหลินสวิน ขับเคลื่อนเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน ในร่างกายของเขา จักระเทพวงหนึ่งจรัสแสง ราวกับหินโม่ที่ขัดเกลาพลังปราณรอบตัวไม่หยุด
ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป หลินสวินเปล่งแสงไปทั้งตัว ในร่างกายราวกับมีภูเขาใหญ่มากมายพุ่งชนกัน ส่งคลื่นเสียงกึกก้องแปลกประหลาดแฝงจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์
ฝึกปราณห้าระดับใหญ่ หลินสวินเคยฝึกซ้ำอยู่สองครั้ง
ครั้งหนึ่งที่แดนลับอสูรมารอริยะในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ หมายจะบรรลุจุดสูงสุด จึงฝึกปราณเสียใหม่ แก้ไขข้อบกพร่องในอดีต
อีกครั้งตอนที่หลอมรวมจักระเทพในร่าง หมายจะเหยียบย่างในมกุฎมรรคาสูงสุดของระดับกระบวนแปรจุติ จึงเคี่ยวกรำพลังปราณอีกครั้ง และสุดท้ายก็บรรลุ
ประสบการณ์ที่หายากอย่างยิ่งเช่นนี้ทำให้รากฐานพลังปรากณของเขามั่นคง ในรุ่นเดียวกันแทบไม่มีใครเทียบได้!
และนี่คือก็กุญแจสำคัญที่ทำให้เขาสามารถสู้กับบุคคลขอบเขตมกุฎแห่งยุคอย่างพวกเยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียน จินมู่อวิ๋นได้ ทั้งยังได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด
แต่ไม่มีใครรู้ว่า พลังปราณระดับกระบวนแปรจุติของหลินสวินยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์อย่างแท้จริง!
หากไม่ใช่เช่นนี้ การต่อสู้ของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ของเขามีแต่จะแข็งแกร่งขึ้น!
กาลเวลาราวกับขนนก ไม่มีใครสามารถแบกรับความหนักเบาของมันได้ รู้ตัวอีกที ในแดนลับไร้มรณะได้ผ่านไปสามเดือนแล้ว
ตูม!
วันนี้รอบตัวหลินสวินราวกับเตาหลอม จู่ๆ ก็ส่งเสียงกึกก้องทะลวงฟ้า
แสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวอ่อนสดใสเรืองรองพรั่งพรูออกจากทุกอณูของเขา เผยท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์ ชัดเจนและบริสุทธิ์
ตัวเขาราวกับดวงอาทิตย์สีเขียวเจิดจ้า ส่องสว่างห้วงอากาศผืนนี้
พรึ่บ!
ชั่วขณะที่เขาลืมตาขึ้น ราวกับหุบเหวที่ลึกล้ำเกินคาดเดาสองแห่งปรากฏ ปลดปล่อยประกายศักดิ์สิทธิ์ที่เพียงพอจะทำให้สรรพสิ่งกลางฟ้าดินหัวใจสะท้าน
จากนั้นปรากฏการณ์ประหลาดทั้งหมดก็ถูกเก็บไป สั่งสมไว้ภายใน กลับคืนสู่สภาพบรรยากาศราบเรียบอีกครั้ง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมื่อแข็งแกร่งถึงที่สุดแล้วจึงลอกคาบ เก็บซ่อนพลังไว้ภายใน
หลินสวินในตอนนี้ก็เช่นกัน หลังจากพลังปราณบรรลุขั้นสมบูรณ์ ก็ราวกับการลอกคาบครั้งหนึ่ง มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุดคืนสู่สามัญ กลับสู่สภาพเดิม
ชำระล้างธุลีจนหมดสิ้น ก็แค่นั้น
ฮู่ว
หลินสวินพ่นลมหายใจคำหนึ่ง กระแสอากาศราวกับสายฟ้าพลุ่งพล่าน เกิดเสียงดังครืนโครมสะเทือนสี่ทิศ!
‘สามเดือน แกนวิญญาณขั้นสูงแปดหมื่นชิ้น ในที่สุดก็ทำให้ข้าบรรลุถึงระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์สุดยอดแล้ว นับจากนี้ในด้านฝึกปราณ ก็ไม่ต้องเกรงกลัวอวิ๋นชิ่งไป๋แล้ว!’
ดวงตาดำของหลินสวินนิ่งสงบ ไม่ได้ตื่นเต้นและไม่ได้ดีใจ
พัฒนาการเช่นนี้อยู่ในการคาดเดาของเขาแต่แรกแล้ว
‘ต่อจากนี้ก็ถือซะว่าฝึกพลังยุทธ์’
‘การฝึกยุทธ์เกี่ยวข้องกับวิชาลับการต่อสู้ พลังมหามรรค และจิตต่อสู้’
‘ยังไม่ได้หยั่งรู้ ‘กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้’ ในหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า หากสามารถควบคุมและหลอมรวมเข้าด้วยกัน มรดกวิชานี้จะต้องแสดงอานุภาพที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าแน่’
‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร มีการหนุนช่วยจากพลังมหามรรคเจินหลง และเกิดการเปลี่ยนแปลง จะต้องรีบทำความคุ้นเคยและควบคุมให้ชำนาญอย่างเร็วที่สุด’
‘และหากอยากยกระดับอานุภาพของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ มีเพียงเลื่อนระดับมรรคดับดารากลืนกินให้ถึงระดับแก่นมรรค…’
หลินสวินคิดเงียบๆ
ในระดับกระบวนแปรจุติ พลังปราณอาจจะใกล้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน อวิ๋นชิ่งไป๋ก็คงทำได้ถึงขั้นนี้ตั้งนานแล้ว
หากต่อสู้กับอวิ๋นชิ่งไป๋ จุดสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะ จะต้องอยู่ที่การฝึกยุทธ์ของแต่ละคน!
หลังจากหลินสวินใคร่ครวญแล้ว พบว่าตนยังมีหลายอย่างที่สามารถพัฒนาได้
ในการฝึกมหามรรค ต้องยกระดับมรรคดับดารากลืนกินให้ถึงระดับแก่นมรรค
ในการฝึกวิชายุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรหรือหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า ล้วนยังไม่เคยศึกษาจนเกิดความเข้าใจทะลุปรุโปร่งอย่างแท้จริง!
ยังมีช่องว่างในการพัฒนาที่ใหญ่มาก!
นี่ไม่ใช่จุดอ่อนหรือบกพร่อง ตรงกันข้าม การมีช่องว่างให้พัฒนาเช่นนี้ ก็คือความหวังที่ว่าสามารถเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกได้
ก็เหมือนกับการปีนเขา ตรงหน้าคนอื่นๆ มีบันไดมรรคเพียงเก้าสิบเก้าขั้น ส่วนที่อยู่ตรงหน้าหลินสวิน เป็นบันไดที่มากกว่าเก้าสิบเก้าขั้น
ยิ่งยืนอยู่สูงเท่าไหร่ก็ย่อมมองได้ไกลยิ่งขึ้น!
หลินสวินไม่ชักช้า จมสู่การฝึกฝนเคี่ยวกรำครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น
สิ่งที่บรรลุเป็นอันดับแรกกลับเป็นมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร หลังหลอมรวมนัยเร้นลับแห่งเจินหลงเข้าไป อานุภาพของทุกร่างล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์
อย่างเช่นก้าวย่างชือน้ำแข็ง ความเร็วเพิ่มขึ้น เร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อยสามเท่า!
หากต่อสู้กัน ฝ่ายที่ว่องไวย่อมเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเสมอ
หรืออย่างผนึกป้าเซี่ย เมื่อสำแดงออกมา ผู้กล้าขอบเขตมกุฎทั่วไปก็จะถูกกักขังจนขยับตัวไม่ได้ในทันที!
นอกจากนี้ร่างอื่นๆ อย่างประทับปี้อั้น ไอซวนหนี เสียงคำรามผูเหลา ก็ล้วนเพิ่มความมหัศจรรย์และอานุภาพมากมาย
ที่วิเศษที่สุดคือนัยน์ตาเฉาเฟิงกับดวงใจฉิวหนิว
สองร่างนี้ไม่ได้ใช้กับการต่อสู้
ร่างแรกสามารถมองทะลุเนื้อแท้แห่งภูผาธารา เสาะหาชีพจรปราณ สามารถค้นพบ ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ที่คนอื่นไม่สามารถเสาะหาพบได้
หลังจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ พอหลินสวินใช้นัยน์ตาเฉาเฟิงสังเกตพลังแห่งกาลเวลาที่ไหวกะพริบไม่นิ่งเหล่านั้น พลันพบว่าพลังแห่งกาลเวลาที่ราวกับขนนกนั่น กลับควบรวมจากกฎและระเบียบอันหนาแน่นสายแล้วสายเล่า!
เพียงแวบเดียวก็ทำให้หลินสวินขนลุกขึ้นมา ในใจสั่นไหว รู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต
ครั้งแรกที่เข้ามาในแดนลับไร้มรณะ เขาไม่สามารถมองทะลุธาตุแท้ของพลังกาลเวลาได้ ยังคิดอยู่เลยว่าเป็นลำแสงที่งดงามเต็มไปด้วยสีสัน…
ส่วนการเปลี่ยนแปลงของดวงใจฉิวหนิว กลับเหนือจินตนาการของหลินสวินอย่างสิ้นเชิง!
——