ตอนที่ 1080 บังคับชิงศุภโชคไร้มรณะ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

มรรคพ้องดั่งใจ!

นี่ก็คือพลังวิเศษอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นหลังจากดวงใจฉิวหนิวเปลี่ยนแปลง

ในฐานะร่างที่เก้าของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ดวงใจฉิวหนิวไม่ใช่วิธีการต่อสู้ และไม่มีความเกี่ยวข้องกับการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย

ประโยชน์เดียวของมันคือช่วยผู้ฝึกปราณหยั่งรู้แก่นอัศจรรย์มหามรรค สามารถเพิ่มความเร็วในการหยั่งรู้มหามรรคให้กับผู้ฝึกปราณ

ส่วน ‘มรรคพ้องดั่งใจ’ ที่ว่า เป็นวิธีอัศจรรย์อย่างหนึ่งที่กระตุ้นพลังแห่งสภาวะจิตให้สอดคล้องกับมหามรรค หยั่งถึงมหามรรค

อย่างเช่นก่อนหน้านี้ยามหลินสวินหยั่งรู้พลังมหามรรคธาตุไฟ ต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีจึงสามารถบรรลุถึงระดับ ‘ท่วงทำนองแห่งมรรค’ ได้

แต่หากมีความช่วยเหลือของมรรคพ้องดั่งใจ อย่างมากใช้เวลาเพียงครึ่งเดียวก็สามารถทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว!

ความวิเศษอัศจรรย์เช่นนี้ทำให้หลินสวินเองก็อดหวั่นไหวไม่ได้

เขารู้ดีว่าวิธีการหยั่งมหามรรคอันวิเศษอัศจรรย์ระดับนี้ หากเผยแพร่ออกไป จะต้องเป็นเหตุให้ผู้ฝึกปราณทั่วหล้าแย่งชิงกันอย่างแน่นอน!

ถึงอย่างไรสำหรับผู้ฝึกปราณทุกคน การแจ้งมรรคก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นและลำบากแสนเข็ญที่สุด

เพียงแค่เวลาที่ใช้ หากไม่มีความสามารถในการหยั่งรู้ที่จุดประกายขึ้นมา ก็ไม่สามารถสัมผัสแก่นอัศจรรย์มหามรรคได้แน่

แต่ถ้ามีความช่วยเหลือจากมรรคพ้องดั่งใจ ย่อมสามารถทำให้การแจ้งมรรคง่ายขึ้นมากอย่างไม่ต้องสงสัย!

‘มรรคแห่งเจินหลงมหัศจรรย์มากจริงๆ หลังจากหลอมรวมเข้าไปในมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร จึงทำให้อานุภาพของวิชาลับนี้ปรากฏออกมาอย่างเต็มที่’

‘และในฐานะร่างที่เก้าอย่างดวงใจฉิวหนิว ย่อมมหัศจรรย์ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!’

เดิมทีหลินสวินยังกังวลว่าเวลาจะไม่พอ ไม่สามารถบรรลุมรรคดับดารากลืนกินให้ถึงระดับแก่นมรรคได้ในแดนลับไร้มรณะแห่งนี้

ตอนนี้ความกังวลเช่นนี้ก็ได้หายวับไปหลังจากครอบครองแก่นอัศจรรย์ของมรรคพ้องดั่งใจ

……

เวลาล่วงเลย ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนแล้ว

หลินสวินเข้าถึงนัยเร้นลับของกระบวนเฉือนเกิดดับอย่างสมบูรณ์แล้ว!

หากสำแดงออกมาอย่างเต็มกำลัง เขามั่นใจว่า แม้ในสถานการณ์ที่ไม่มีความช่วยเหลือจากพลังมรรคดับดารากลืนกิน ก็สามารถทลาย ‘ดุจภาพภูผาธารา’ ของเยี่ยเฉินและ ‘ไปไร้หวน’ ของเซี่ยวชางเทียนได้

เวลาล่วงเลยไป

เดือนที่หกในการปิดด่านฝึกปราณในแดนลับ

หลินสวินครอบครองนัยเร้นลับของ ‘กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้’ ในขั้นต้นแล้ว

ไม่เที่ยงแท้ คือไม่สามารถกำหนดตัวแปรได้!

เหมือนกับโชคชะตาที่ไม่อาจทำนาย ราวกับผลกรรมที่ลึกลับเกินคาดเดา

เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก การผันเปลี่ยนของฤดูกาลทั้งสี่ การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ล้วนก้าวไปตามลำดับระหว่างความเที่ยงและความไม่เที่ยง พาให้เกิดตัวแปรมากมายนับไม่ถ้วน

ดังคำกล่าวที่ว่า ‘สังขตธรรมทั้งปวง ดุจเงาฟองฝันมายา ดุจนิศาชลและอสนี ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้แล’ สิ่งที่บรรยายก็คือแก่นแห่ง ‘ความไม่เที่ยง’

อริยะในอดีตถึงขั้นกล่าวว่า ‘ความไม่เที่ยงมาเยือน หมื่นวิชาล้วนถูกทำลาย!’

กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้ก็เช่นกัน เมื่อโจมตีออกไป ว่างเปล่าเลือนราง เปลี่ยนแปลงได้ดั่งใจ ราวกับตัวแปรมาเยือน มีไอสังหารที่เทพผียังไม่อาจคาดเดา!

สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ นัยเร้นลับของกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้ มีความเกี่ยวข้องอย่างแนบแน่นกับนัยเร้นลับของกระบวนเฉือนเกิดดับ

มีเพียงผ่านการ ‘เกิดดับชั่วพริบตา’ จึงจะรู้ถึงแก่นแท้แห่ง ‘ความไม่เที่ยง’!

แก่นมหัศจรรย์ที่สั่งสมอยู่ในกระบวนเฉือนนี้ ไม่สามารถเปรียบเทียบด้วยคำว่ายากลำบากตามความหมายทางโลกได้อีกต่อไปแล้ว แต่เกี่ยวโยงไปถึงโอกาสแห่งตัวแปรมหามรรค เรียกได้ว่าพลิกฟ้า

แม้ด้วยความสามารถในการหยั่งถึงของหลินสวิน ใช้เวลาหนึ่งเดือน ยังหยั่งรู้ได้เพียงแก่นอัศจรรย์เสี้ยวหนึ่งของกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้เท่านั้น

แต่แค่แก่นอัศจรรย์เสี้ยวนี้ก็ทำให้หลินสวินใจสั่นแล้ว

ไม่มีเหตุผลอื่น นอกจากแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

กระบวนเฉือนนี้ เหมือนกับตัวแปรที่เลือนรางลวงตา ปรากฏในชั่วพริบตา ราวกับหลบไม่พ้น สกัดกั้นไม่อยู่ ถูกกำหนดให้ถูกสังหาร!

‘เสียดายที่ไม่สามารถใช้เวลาทั้งหมดในการหยั่งรู้กระบวนเฉือนนี้…’

หลินสวินถอนหายใจในใจ นัยเร้นลับของกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้คลุมเครือเกินไป เขามีลางสังหรณ์ว่า แม้ใช้เวลาหนึ่งปีก็อาจไม่สามารถครอบครองแก่นอัศจรรย์หนึ่งในสิบส่วนได้!

หากลงแรงและเวลากับมัน จะเป็นการเสียเวลาในการปิดด่านครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

‘ทว่าเพียงท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์เพียงเสี้ยวเดียว อานุภาพของมันก็เพียงพอจะเป็นอาวุธสังหารแล้ว จากนี้ค่อยๆ ฝึกไป อานุภาพนี้จะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน’

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง พยายามข่มกลั้นความวู่วามที่จะหยั่งรู้กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้ต่อ เพ่งสมาธิไปที่การหยั่งรู้มรรคดับดารากลืนกินแทน

วู้ม

นัยเร้นลับแห่งมรรคพ้องดั่งใจของดวงใจฉิวหนิวถูกหลินสวินขับเคลื่อน ทำให้เขาปรับเข้ากับพลังมรรคดับดารากลืนกินในตัวได้ทันที จมอยู่ภายใน อนุมานและหยั่งรู้นัยเร้นลับในนั้น

เวลากำลังล่วงเลยไป หลินสวินที่กำลังหยั่งรู้มหามรรคไม่สังเกตเลยว่า เงาร่างที่คลุมเครือและเลือนรางสายหนึ่งเคลื่อนออกจากห้วงนิมิตของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง

ร่างกายของนางเพรียวยาวและสง่า ราวกับโซ่เทพกฎระเบียบที่ชัดเจนบริสุทธิ์และพร่างพราวสายแล้วสายเล่าพันอยู่ ละอองแสงเซียนสวรรค์โปรยปราย บรรยากาศเทพไท้ลุกโชน ลำแสงต่างๆ แผ่ประกายออกจากรอบตัว

เพราะการปรากฏตัวของนาง ในแดนลับไร้มรณะที่ราวกับราตรีนิรันดร์นี้ จู่ๆ ก็มีสีสันที่หลากหลายและงดงามเพิ่มเข้ามา

นางยืนอยู่ตรงนั้นตามสบาย แต่กลับมีอานุภาพพลังที่เย่อหยิ่งเหนือเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ทำให้กาลเวลายังทำได้เพียงก้มหัวให้

“แดนลับไร้มรณะ เวลาผ่านไปรวดเร็ว… ร่องรอยการต่อสู้แห่งใต้หล้าในตอนนั้นกลับหลงเหลือมาถึงวันนี้… เพียงแต่คนพวกนั้นกลับ… ตายไปนานแล้ว”

ก็ไม่รู้ว่านางคิดถึงอะไร จึงถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง

จากนั้นสายตาของนางก็ไปหยุดที่หลินสวิน ไม่ได้มีอานุภาพใดๆ จึงไม่ได้รบกวนหลินสวินที่กำลังแจ้งมรรค

นางมองเงียบๆ อยู่นานถึงค่อยผละสายตาออก ราวกับจมสู่ภวังค์ความคิด

“เข้าภูเขาสมบัติจะกลับมือเปล่าได้อย่างไร… ช่างเถอะ เสียผลกรรมบางส่วน ให้วาสนาเจ้าสักหน่อย มหายุคกำลังจะมาเยือน หากเจ้าร่วงหล่น ข้าก็ไม่มีเวลารออีกต่อไปแล้ว…”

สุดท้ายนางราวกับตัดสินใจได้ ยื่นมืองดงามข้างหนึ่งออกมา

ทันใดนั้นหญิงสาวราวกับเปลี่ยนเป็นนายเหนือหัว กลิ่นอายสยบสิบทิศ

ฮูม

แดนลับไร้มรณะที่กว้างใหญ่และไม่มีขอบเขตนี้ ตอนนี้กลับสั่นไหวขึ้นมากะทันหัน ห้วงอากาศพลุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำ ความเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่มาก

ฉึก!

หญิงสาวยื่นมือไปคว้า พลังกฎระเบียบที่มหัศจรรย์และคลุมเครือก็ถูกทะลวง จากนั้นแปรเป็นสัญลักษณ์ที่บิดเบี้ยวแปลกประหลาดทันควัน แผ่กลิ่นอายไร้มรณะ

นี่ก็คือพลังของกฎระเบียบไร้มรณะ สิ่งที่สั่งสมอยู่ภายใน คือมรรคไร้มรณะที่บริสุทธิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้!

จากนั้นนางดีดนิ้ว สัญลักษณ์ตัวหนึ่งพลันโฉบเข้าหว่างคิ้วของหลินสวิน

“ใคร!”

และตอนนี้เอง เสียงที่เรียบเฉยอย่างที่สุดดังขึ้น เงาร่างของข้ารับใช้วิญญาณปรากฏขึ้นกะทันหัน รอบตัวเต็มไปด้วยแสงประกายที่ศักดิ์สิทธิ์ราวกับไม่อาจดับสูญ

แต่ตอนที่ข้ารับใช้วิญญาณมาถึง แดนลับไร้มรณะก็กลับคืนสู่ความสงบดังเดิมแล้ว แม้แต่ความผิดแผกเสี้ยวหนึ่งก็ไม่มี

มีเพียงหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ยังคงแจ้งมรรคโดยไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงรอบตัว

ข้ารับใช้วิญญาณนิ่งเงียบเนิ่นนาน

สุดท้ายเขามองหลินสวินแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นก็หมุนตัวจากไป

เพียงแต่ชั่วขณะที่เขาหมุนตัว แผ่นหลังกลับปรากฏหลุมหลุมหนึ่ง ราวกับถูกใครคว้าจับไว้ รอยนิ้วยังคงอยู่

หากภาพนี้ถูกใครเห็นเข้าจะต้องตกใจจนอ้าปากค้างแน่ ข้ารับใช้วิญญาณเป็นถึงร่างจำแลงของเจตจำนงกฎระเบียบแห่งภูเขาเทพไร้มรณะนี้เชียว!

ใครสามารถคว้าเนื้อชิ้นหนึ่งบนร่างกายของเขาได้

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เลือดเนื้อที่แท้จริง เป็นกฎระเบียบอย่างหนึ่ง แต่น่ากลัวกว่าและชวนผวาจนถึงขีดสุดอย่างไม่ต้องสงสัย

……

เดือนที่สิบในการปิดด่านอยู่ในแดนลับไร้มรณะ รอบตัวหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ห้วงอากาศทรุดทลายกะทันหัน เสียงระเบิดดังสะเทือนหู ราวกับถูกกลืนกินอย่างไรอย่างนั้น

ทั่วร่างของหลินสวินในตอนนี้ราวกับหุบเหว พลังยิ่งใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดและลึกล้ำไม่อาจคาดเดา น่ากลัวไร้ขอบเขต

และเหนือศีรษะของเขา เกิดปรากฏการณ์ประหลาดที่ธารดารามอดไหม้ ท้องฟ้าทลายจ่อมจม คลุมเครือไม่ชัดเจน แม้จะเงียบเชียบแต่กลับระทึกใจคน

ครู่ใหญ่ปรากฏการณ์ประหลาดทุกอย่างจึงหายไป

หลินสวินลืมตาขึ้น สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังมหามรรครอบตัว มุมปากของเขาอดเผยความดีใจไม่ได้

สำเร็จแล้ว!

มรรคดับดารากลืนกินบรรลุสู่ระดับแก่นมรรคแล้ว!

จนถึงตอนนี้ รวมกับพลังมหามรรคธาตุน้ำธาตุไฟสองแบบที่เขาครอบครอง ล้วนบรรลุสู่ระดับแก่นมรรคแล้ว

วู้ม!

หลินสวินยื่นมือขวาไป ฝ่ามือชูขึ้นฟ้า ทันใดนั้นฝ่ามือของเขาราวกับแปรเปลี่ยนเป็นหุบเหว อากาศรอบๆ ทรุดทลายทุกส่วน สีรัตติกาลนิรันดร์ถูกกลืนกินเข้าไป

จากนั้นธารดาราจมลง กลายเป็นหลุมดำคลื่นดาราปรากฏบนฝ่ามือ ในฝ่ามือราวกับสามารถกลืนกินธารดาราความว่างเปล่าโดยรอบ!

‘อวิ๋นชิ่งไป๋… จะครอบครองพลังระดับนี้เช่นกันหรือไม่’ ดวงตาดำของหลินสวินลึกล้ำราวกับคิดอะไรอยู่

ครู่ใหญ่เขาจึงส่ายหน้า

อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่มีทางครอบครองมรรคนี้ได้แน่!

หลินสวินมั่นใจจุดนี้มาก ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดอาจจะเหมือนกัน แต่มรรคดับดารากลืนกิน เป็นมรรคที่เขาหยั่งรู้มาจากป้ายหินในเทศกาลโคมกถามรรค

พูดได้เพียงว่า ไม่มีพลังแห่งชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดก็ไม่สามารถหยั่งรู้มรรคนี้ได้ แต่ถ้าไม่มีป้ายศิลาหลักนั้น ไม่ว่าจะเป็นเขาหรืออวิ๋นชิ่งไป๋ล้วนไม่สามารถครอบครองมรรคนี้!

‘คนในโลกล้วนรู้ว่า มรรคดับดารากลืนกินของข้าคล้ายคลึงกับพลังมหามรรคที่อวิ๋นชิ่งไป๋ครอบครอง จากเรื่องนี้อนุมานได้ว่า พลังมหามรรคที่เขาครอบครอง จะต้องเกี่ยวข้องกับการกลืนกิน แต่กลับไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับมรรคดับดารากลืนกินแล้ว อันไหนจะแข็งแกร่งอ่อนแอกว่ากัน…’

หลินสวินพึมพำในใจ

สองเดือนหลังจากนั้น หลินสวินไม่ได้ยกระดับด้านพลังปราณและวิชายุทธ์อีก แต่เคี่ยวกรำและทำพลังให้มั่นคง

ไม่ว่าเรื่องใดหากทำเลยเถิดเท่ากับไปไม่ถึงไหน การฝึกปราณก็เช่นกัน

ปิดด่านครั้งนี้ทำให้เขาบรรลุในทุกๆ ด้าน เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือสร้างความมั่นคงให้กับพลังที่เปลี่ยนแปลงนี้

มีเพียงเช่นนี้จึงจะสามารถควบคุมพลังได้อย่างคล่องมือ ถึงขั้นสั่งการด้วยปลายนิ้ว เก็บปล่อยได้ดั่งใจ

อันที่จริงหลินสวินในตอนนี้ ก็แทบจะฝึกฝนถึงขั้นสุดแล้ว

ในการฝึกยุทธ์ ขาดเพียงกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้ที่ยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์

ในการฝึกมหามรรค มีเพียงมหามรรคแห่งเจินหลงที่ยังไม่ถึงระดับแก่นมรรค แน่นอนว่าตอนนี้มหามรรคเจินหลงก็ถึงระดับ ‘ท่วงทำนองมรรค’ แล้ว มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

หืม?

ใกล้เวลาหนึ่งปีเข้ามาเรื่อยๆ วันนี้ตอนที่หลินสวินตัดสินใจจะฝึกพลังจิตวิญญาณ พลันพบว่าในห้วงนิมิตมีสัญลักษณ์สีดำแปลกประหลาดและบิดเบี้ยวหนึ่งเพิ่มเข้ามาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ทันทีที่สัมผัส ก็พรั่งพรูกลิ่นอายประหนึ่งไร้มรณะที่แทบจะไม่ดับสลาย ไม่เสื่อมคลาย!

นี่…

หลินสวินหรี่ตาลง หรือจะเป็นนัยเร้นลับไร้มรณะ

ในใจเขาสั่นไหว คาดไม่ถึงเลยจริงๆ

และตอนนี้เองเสียงของข้ารับใช้วิญญาณก็ดังมาจากในแดนลับไร้มรณะ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใครช่วยให้เจ้าได้รับพลังมหามรรคไร้มรณะ แต่ในเมื่อเจ้าได้ไปแล้ว ก็เป็นศุภโชคของเจ้า ข้าไม่อาจจะเก็บคืนได้”

หลินสวินลืมตาขึ้นมาทันควัน มองไปยังข้ารับใช้วิญญาณที่ปรากฏตัวในระยะไกล สีหน้าของอีกฝ่ายยังคงไร้อารมณ์

เป็นพลังมหามรรคไร้มรณะจริงๆ หรือนี่

ในใจหลินสวินยิ่งตะลึง อีกทั้งเขาเข้าใจความหมายในคำพูดของข้ารับใช้วิญญาณ มีคนแอบช่วยตนช่วงชิงพลังอันยอดเยี่ยมและเป็นหนึ่งเดียวในโลกระดับนี้มา!

หรือจะเป็นนาง

ในใจหลินสวินสะท้าน นึกถึงหญิงสาวลึกลับในห้องโถงมรรคาสวรรค์

เขาคิดไปคิดมา ก็มีแค่นางที่อาจจะครอบครองวิธีไร้เทียมทานเหลือเชื่อเช่นนี้!

“ได้เวลาแล้ว เจ้าควรไปแล้ว” ข้ารับใช้วิญญาณไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงบอกหลินสวินว่าการปิดด่านหนึ่งปีกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว!

——