ตอนที่ 1040 ที่แท้ก็เป็นตระกูลอู่เหวิน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

สีหน้าของหลงอวี้เทียนเหยเกอย่างที่สุด หลงจิ้งเฉินกล่าวถูกต้องแล้วและตอนนี้เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของหลงยวี่เอ๋อร์มากกว่าสิ่งอื่นใด หากยังไม่มั่นใจว่าหลงยวี่เอ๋อร์อยู่ที่ใด เขาก็ไม่อาจแตะต้องอะไรหลงจิ้งเฉินได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ทราบอย่างแน่ชัดว่าหลงยวี่เอ๋อร์ถูกจับตัวไปที่ใด เขาก็จะไม่ทำอะไรรุนแรงต่อหลงจิ้งเฉิน สำหรับคนที่เขาชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนโตและให้ความรักดั่งบุตรในสายเลือด ไม่มีทางเลยที่เขาจะตัดความรู้สึกทั้งหมดนั้นได้ ในอดีตหลงอวี้เทียนให้ความสำคัญกับหลงจิ้งเฉินมาตลอด แม้ครานี้เขาจะกระทำความผิดครั้งใหญ่หลวง หลงอวี้เทียนก็ไม่อาจทำสิ่งใดที่โหดเหี้ยมเกินไป

“พี่ใหญ่ ยวี่เอ๋อร์เคารพนับถือท่านมาตลอด ข้าเชื่อว่าท่านคงจะถูกคนอื่นหลอกล่อชักจูงและไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนี้ เพราะฉะนั้นหากท่านบอกเราว่ายวี่เอ๋อร์อยู่ที่ใด เราและท่านพ่อก็จะให้อภัยท่านได้”

หลงเพ่ยเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ

“ใช่แล้ว พี่ใหญ่ การที่คนเสเพลกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าน่ายินดี เพียงท่านยอมรับความผิด ท่านก็สามารถปรับปรุงแก้ไขตนเองได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ท่านพ่อก็รักท่านมาก ตราบใดที่ท่านบอกว่าพี่รองอยู่ที่ใด พวกเราทุกคนจะไม่ถือโทษโกรธเคืองท่านเลย”

หลงเฟยเอ๋อร์พยักหน้าหงึกหงักและกล่าวโน้มน้าวใจหลงจิ้งเฉินด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมาก

“เหอะ คิดว่าข้าจะเชื่อพวกเจ้ารึ ?”

หลงจิ้งเฉินแค่นเสียงเย็นชาและไม่คิดที่จะบอกผู้ใดเกี่ยวกับตำแหน่งของหลงยวี่เอ๋อร์ ราวกับว่าเขายังคงใจแข็งและไม่คิดยอมแพ้ต่อสถานการณ์นี้

“ลืมมันไปเถอะ ถือว่าเราให้โอกาสเจ้าแล้ว หลงจิ้งเฉิน…คิดว่าถ้าเจ้าไม่บอกเราแล้ว เราจะตามหาหลงยวี่เอ๋อร์ไม่ได้งั้นรึ ?”

จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวแทรกออกไปก่อนที่หลงอวี้เทียนจะมีโอกาสกล่าวตอบ

“หมายความว่าอะไร ?”

หลงจิ้งเฉินชะงักไปเล็กน้อยและไม่เข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่

“ฮ่า ๆ ๆ กระดาษห่อไฟไม่ได้หรอก ไม่ว่าใครก็ตามที่ร่วมมือกับเจ้าอยู่ คิดว่าจะปิดบังไปจากพวกเราได้งั้นรึ ?”

* 纸包不住火 กระดาษห่อไฟไม่ได้ เปรียบเทียบว่าความจริงเป็นสิ่งที่ไม่อาจปิดบังได้

ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ และกล่าวต่อ “หากเดาไม่ผิด คนที่ร่วมมือกับเจ้าน่าจะเป็นตาเฒ่าอู่เหวินยงนั่น และตอนนี้องค์หญิงรองก็ถูกขังอยู่ในห้องมืดภายในคฤหาสน์ของตระกูลอู่เหวิน”

อันที่จริง ฉินอวี้โม่ได้เริ่มการสืบสวนหาเบาะแสนับตั้งแต่ที่เริ่มสงสัยในตัวหลงจิ้งเฉินก่อนหน้านี้แล้ว

เนตรปีศาจบนตัวของหานโม่ฉือคือผู้ช่วยที่ดีที่สุดในการสืบหาเบาะแส ภายในเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม มันก็พบเบาะแสของหลงยวี่เอ๋อร์และพบตัวนางในที่สุด ตอนนี้อสูรหลายตัวได้เดินทางไปที่คฤหาสน์ของตระกูลอู่เหวินแล้ว หากคำนวณจากเวลา คาดว่าตอนนี้พวกมันคงจะช่วยชีวิตหลงยวี่เอ๋อร์ได้สำเร็จแล้ว

“เจ้ารู้ได้อย่างไร ?!”

สีหน้าของหลงจิ้งเฉินถอดสีทันที ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะตามหาหลงยวี่เอ๋อร์จนพบ

ผู้ที่ร่วมมือกับเขาคืออู่เหวินยงและตระกูลอู่เหวินอย่างแท้จริง เมื่อมากกว่าครึ่งปีก่อน อู่เหวินยงมาพบเขาด้วยตัวเองและยื่นข้อเสนอในการร่วมมือกันโดยให้สัญญาว่าจะช่วยสนับสนุนให้หลงจิ้งเฉินได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองของตระกูลราชวงศ์

แม้เป็นองค์ชายใหญ่ของตระกูลราชวงศ์ หลงจิ้งเฉินก็ไม่เคยมั่นใจว่าตนจะได้ครองบัลลังก์ ถึงอย่างไรด้วยความแข็งแกร่งของหลงอวี้เทียน การที่จะมีอายุขัยยืนยาวนับหมื่นปีก็มิใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อย และเขาก็จะยังเป็นได้เพียงองค์ชายใหญ่ของตระกูลต่อไป ซึ่งแทนที่จะยอมรับโชคชะตาเช่นนั้น เขาจึงเลือกที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ตราบใดที่ทำสำเร็จ เขาก็จะได้ครองบัลลังก์โดยไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีกต่อไป

เพราะเหตุนั้น หลงจิ้งเฉินจึงตอบตกลงต่อข้อเสนอของอู่เหวินยง และภารกิจแรกในแผนการของพวกเขาคือการจับตัวหลงยวี่เอ๋อร์ผู้ซึ่งอยู่ในช่วงเก็บตัวบ่มเพาะพลังและกักขังไว้ในคฤหาสน์ตระกูลอู่เหวิน

เพียงจับตัวหลงยวี่เอ๋อร์ได้สำเร็จ ตราบใดที่เรื่องนี้ถูกค้นพบ ทั่วทั้งตระกูลราชวงศ์จะต้องตกอยู่ในความวุ่นวายโกลาหลอย่างแน่นอน แผนการของพวกเขาก็จะสำเร็จผลทีละขั้น ๆ และไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนทำสิ่งใดบุ่มบ่าม

อย่างไรก็ตาม ไม่คิดเลยว่าการปรากฏตัวของฉินอวี้โม่และคณะจะทำให้แผนการของพวกเขาติดขัดเช่นนี้

พวกเขายังไม่มีเวลาเตรียมความพร้อมได้อย่างเต็มที่ ทว่าการหายตัวไปของหลงยวี่เอ๋อร์กลับถูกค้นพบเสียก่อน เพราะเหตุนั้น หลงจิ้งเฉินจึงหารือกับอู่เหวินยงและตัดสินใจว่าจะใส่ร้ายป้ายสีทุกอย่างให้เป็นความผิดของฉินอวี้โม่และสหาย

ตราบใดที่ตระกูลราชวงศ์สงสัยในตัวพวกนาง สถานการณ์ก็จะตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างแน่นอน และตอนนั้นจะเป็นโอกาสทองของพวกเขา

น่าเสียดายที่คนของตระกูลราชวงศ์มิใช่คนเขลา ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน พวกนางค้นพบแผนการสมคบคิดของพวกเขาและใช้กลอุบายเชิญท่านลงโอ่งได้อย่างแนบเนียนซึ่งทำให้หลงจิ้งเฉินถวายตัวมาถึงหน้าประตู

* 请君入瓮 สำนวน เชิญท่านลงโอ่ง หมายถึงการใช้วิธีการที่คนผู้หนึ่งคิดค้นขึ้นเพื่อจัดการกับผู้อื่น มาใช้จัดการกับคนผู้นั้นเอง, ติดกับดักตัวเอง นอกจากนี้ยังแฝงความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “ดาบนั้นคืนสนอง”

ตอนนี้ในเมื่อความเป็นจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว คำอธิบายใด ๆ ของหลงจิ้งเฉินก็ไม่มีความหมาย

“เหอะ ก็แค่ตระกูลอู่เหวินที่พอจะมีอำนาจเล็กน้อยในเมืองราชวงศ์ คิดจริง ๆ หรือว่าตระกูลของตนเองจะเป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดน พวกเขาวางแผนที่จะโค่นล้มอำนาจของตระกูลราชวงศ์โดยทำให้สถานการณ์ในตระกูลวุ่นวายและปล่อยให้จอมยุทธ์ปีศาจฉวยโอกาสได้สำเร็จ !”

วาจาของฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์อย่างไม่ปิดบัง จริงอยู่ที่ว่าตระกูลอู่เหวินถือว่าไม่อ่อนแอหากเปรียบเทียบกับสามสำนักและเก้านิกาย ทว่าน่าเสียดายที่ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ปีศาจ พวกนางก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว ตระกูลอู่เหวินเพียงตระกูลเดียวมิใช่ขุมกำลังที่อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ

“ตาเฒ่าอู่เหวินนั่นบอกอะไรกับเจ้ากัน ?”

หลงอวี้เทียนจ้องหน้าหลงจิ้งเฉินและเอ่ยถาม ไม่คิดเลยว่าตระกูลอู่เหวินที่มักให้ความสำคัญกับความถูกต้องเที่ยงธรรมจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ด้วยลักษณะนิสัยของหลงจิ้งเฉิน หากมิใช่เพราะการยุแยงของตระกูลอู่เหวิน เขาก็คงจะไม่คิดทำเช่นนี้ ไม่อาจคาดเดาเลยว่าอู่เหวินยงเป่าหูด้วยสิ่งใดจึงทำให้หลงจิ้งเฉินตัดสินใจทำสิ่งที่ชั่วช้าเช่นนี้…

“ท่านลุงหลง ไม่จำเป็นต้องถามให้เสียเวลาหรอกเจ้าค่ะ ไม่ว่าคนของตระกูลอู่เหวินจะบอกสิ่งใด ตราบใดที่หลงจิ้งเฉินเห็นคุณค่าของบุญคุณที่ท่านดูแลชุบเลี้ยงมาตลอดหลายปี เขาก็ไม่มีทางเชื่อวาจาของคนพวกนั้นแน่ ต่อให้เขามีข้อสงสัยใด เขาก็จะถามหาความจริงจากท่านด้วยตัวเองแทนที่จะทำสิ่งชั่วร้ายลับหลังเช่นนี้ เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวและความโลภที่ทำให้เขาตัดสินใจเช่นนี้และไม่จำเป็นต้องถามหาเหตุผลอื่นใดทั้งสิ้น”

ฉินอวี้โม่มองเห็นความจริงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เรื่องนี้เป็นเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของหลงจิ้งเฉินเท่านั้น เขาต้องการกลายเป็นผู้ปกครองตระกูลราชวงศ์เป็นทุนเดิม นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขามีความคิดลึก ๆ ที่จะสังหารหลงอวี้เทียนและคนอื่น ๆ อยู่ในใจ เหตุผลอื่นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ต่อให้ไม่มีตระกูลอู่เหวินเข้ามาเกี่ยวข้อง หลงจิ้งเฉินก็สามารถใช้ตระกูลอื่นมาเป็นข้ออ้างของเขาได้

“สหายน้อยอวี้โม่พูดถูก ไม่จำเป็นต้องถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วล่ะ หลงจิ้งเฉิน…ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ในอนาคตข้างหน้าต่อไป เจ้าจะต้องนอนเฝ้าสุสานราชวงศ์และจงสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไปว่ามันคู่ควรต่อบิดามารดาของเจ้าที่ตายไปแล้วหรือไม่”

หลงอวี้เทียนดูแก่ลงหลายปีในพริบตา ตอนนี้เขาไม่เหลียวตามองหลงจิ้งเฉินอีกต่อไปขณะตัดสินโทษของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

หลงจิ้งเฉินอ้าปากค้างทว่าไม่กล่าวสิ่งใด แผนการของเขาถูกเปิดโปงโดยสมบูรณ์แล้วและไม่ว่าจะใช้คำอธิบายใดก็ไม่มีประโยชน์ การได้มีชีวิตรอดต่อไปถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว

“ความตายของบิดาของเจ้าเกี่ยวข้องกับข้าก็จริง อย่างไรก็ตาม ข้าไม่มีความผิดในเรื่องนั้นและไม่มีสิ่งใดที่ต้องขอโทษต่อเขา ข้าไม่นึกเสียดายที่อบรมสั่งสอนและเลี้ยงดูเจ้ามาตลอดหลายปี ข้าเชื่อว่าหากบิดาของเจ้าทราบถึงเรื่องนี้ เขาก็จะไม่กล่าวโทษข้าเช่นกัน”

หลงอวี้เทียนกล่าวก่อนโบกมือเบา ๆ และปล่อยพลังมายาตรงไปที่ร่างของหลงจิ้งเฉินเพื่อปิดผนึกพลังทั้งหมดไว้และทำให้เขากลายเป็นเพียงคนธรรมดาไร้พลัง

“พี่ใหญ่ ดูแลตัวเองให้ดีล่ะ สุสานราชวงศ์ถือเป็นอาณาเขตต้องห้ามของเรา โดยปกติจะไม่มีผู้ใดผ่านไปที่นั่น เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย ข้าจะสั่งให้คนคุ้มกันรอบ ๆ สุสาน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาจะแจ้งข้าทันที”

หลงเพ่ยเอ๋อร์กล่าวขึ้นเบา ๆ การที่ส่งคนไปที่นั่น นอกเหนือจากการที่ช่วยจับตาดูการเคลื่อนไหวของหลงจิ้งเฉิน จุดประสงค์อีกประการหนึ่งก็คือป้องกันมิให้คนของตระกูลอู่เหวินทำอะไรเขาได้ อีกทั้งยังมีจอมยุทธ์ปีศาจ หากคนเหล่านั้นทราบว่าหลงจิ้งเฉินถูกขังอยู่ในสุสานราชวงศ์ พวกเขาก็อาจคิดแผนการชั่วร้ายอะไรขึ้นมาได้ หลงเพ่ยเอ๋อร์ไม่ต้องการให้หลงจิ้งเฉินถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อทำร้ายจิตใจบิดาของตนอีก

หลงอวี้เทียนไม่กล่าวสิ่งใดและเพียงโบกมือเล็กน้อยเพื่อให้คนนำตัวหลงจิ้งเฉินออกไป

“ตระกูลอู่เหวินไม่ควรดำรงอยู่อีกต่อไป !”

ขณะมองแผ่นหลังของหลงจิ้งเฉินที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ หลงอวี้เทียนก็ลุกพรวดพร้อมตะโกนเสียงดังและจิตสังหารฉายชัดในแววตา