บทที่ 1036 นางพูดจริงหรือไม่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,036 นางพูดจริงหรือไม่

“ถ้าอย่างนั้น บัดนี้เจ้าก็เป็นตัวแทนจักรวรรดิเป่ยไห่ และเป็นตัวแทนของวิหารเทพีกระบี่ มาประกาศสงครามต่อกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางแล้วกระมัง?”

ชาซานถงคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้…”

หลินเป่ยเฉินนั่งยิ้มอยู่บนหลังม้าขาวราวกับคนเสียสติ

“แต่ที่ข้ามาเป็นตัวแทนวิหารเทพีกระบี่ได้ ก็เป็นเพราะว่าข้าคือหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวงคนใหม่ แล้วเจ้าล่ะ? เจ้ามีความดีความชอบอะไรบ้าง? ขั้นเซียนชั้นต่ำเช่นเจ้าเคยสร้างคุณประโยชน์ให้แก่กลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางบ้างหรือไม่?”

ขั้นเซียนชั้นต่ำ?

เกาเฉิงฮั่นมองแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินอย่างปวดหัว แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกว่าเด็กหนุ่มพูดจารุนแรงมากเกินไป

แน่นอนว่าชาซานถงย่อมโกรธแค้นจนตัวสั่น

หลินเป่ยเฉินกล้าดีอย่างไรถึงมาเรียกเขาว่าเป็นขั้นเซียนชั้นต่ำ?

“เจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน”

ชาซานถงทิ้งคำพูดประโยคนี้เอาไว้ ก่อนจะเดินหายกลับเข้าไปหลังประตู

“ให้ตายสิ”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นดันแว่น “พอเห็นว่าตัวเองสู้ไม่ได้ก็วิ่งเข้าบ้านไปฟ้องพ่อฟ้องแม่… ช่างหน้าไม่อายสิ้นดี แล้วอย่างนี้ยังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือว่าตนเองไม่ใช่ขั้นเซียนชั้นต่ำ”

ไม่นานหลังจากนั้น ชาซานถงก็กลับออกมาพร้อมกับหัวหน้าคณะทูตและนั่นก็หมายถึงเทพสงครามเซียนมนุษย์จีหวูชวงกับง้าวพิฆาตสวรรค์ลู่ซิน รวมไปถึงบุคคลอื่น ๆ ที่หลินเป่ยเฉินไม่เคยพบเห็นมาก่อน

“กราบเรียนนายท่าน บุคคลผู้นี้คือหลินเป่ยเฉิน เขาพูดจาอวดดีมากเกินไป ไม่เคยเห็นพวกเราอยู่ในสายตา เมื่อสักครู่เขาเพิ่ง…”

ชาซานถงรีบรายงานพฤติกรรมของหลินเป่ยเฉินให้จีหวูชวงรับฟังอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้แต่ส่ายหน้า

ครั้งหนึ่ง เคยมีผู้คนกล่าวขานว่าสำหรับผู้ที่จะขึ้นสู่ขั้นเซียนได้สำเร็จนั้น จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจดีเลิศคนหนึ่ง

แต่การกระทำของชาซานถงในขณะนี้ บ่งบอกว่าผู้ที่จะขึ้นสู่ขั้นเซียนได้สำเร็จ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีเสมอไป

หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าชาซานถงสามารถเข้ามาเป็นสมาชิกของคณะทูตในครั้งนี้ได้อย่างไร?

และที่เขาไม่เข้าใจมากกว่านั้นก็คือ ตัวชั่วร้ายเช่นชาซานถงสามารถเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียนได้อย่างไร?

“หุบปากของเจ้าไปซะ”

เทพสงครามเซียนมนุษย์จีหวูชวงถลึงตาใส่ชาซานถงและคำรามตัดบท

ตอนแรกชาซานถงไม่ยินยอม เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของสมาชิกคณะทูตคนอื่น ๆ ชาซานถงก็ต้องปิดปากเงียบโดยทันที

หลังจากนั้น เขาก็เห็นจีหวูชวงรีบเดินไปประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินด้วยความนอบน้อมพร้อมกับกล่าวว่า “คุณชายหลิน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะขอรับ ข้าน้อยรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้แนะนำให้คุณชายหลินรู้จักกับใต้เท้าหลินเจิ้งสือ ผู้บัญชาการสูงสุดของพวกเรา…”

หลินเป่ยเฉินผู้นั่งอยู่บนหลังม้าขาวยกแว่นตาดำขึ้นเล็กน้อย

หลินเจิ้งสือผู้นั้นมีแซ่เดียวกับเขาอย่างนั้นหรือ?

คนผู้นั้นมีร่างสูง แต่ออกจะผอมบางเกินไปหน่อย

ถึงกระนั้น มวลพลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายก็ไม่ต่ำต้อย

คนผู้นั้นสวมใส่ชุดสีขาว

แม้จะเป็นชุดที่ดูราบเรียบ แต่ก็แฝงความหรูหรากรุยกรายเอาไว้อยู่พอสมควร เห็นได้ชัดว่าเป็นชุดที่ถูกสั่งตัดเย็บอย่างปราณีต บนชุดถึงกับมีลวดลายสีดำจาง ๆ ถูกถักทอเอาไว้ เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าอาภรณ์ที่บุคคลผู้นี้สวมใส่คงมีราคาไม่ใช่น้อย

หลินเจิ้งสือสวมใส่หน้ากากเงินปิดบังใบหน้า หลินเป่ยเฉินไม่รู้ว่าวัสดุที่นำมาใช้ทำหน้ากากนั้นคืออะไร แต่มันแนบติดกับผิวหน้าได้แนบสนิทดีเหลือเกิน สิ่งเดียวบนใบหน้าของหลินเจิ้งสือที่ผู้คนสามารถพบเห็นได้ ก็คือดวงตาที่มีประกายระยิบระยับราวกับดวงดาราคู่หนึ่งเท่านั้น

และเมื่อหน้ากากเงินกระทบถูกกับแสงตะวัน มันก็เกิดเป็นแสงสะท้อนระยิบระยับน่าพิศวง และด้วยความที่พื้นผิวของหน้ากากมีความเรียบเนียน หลินเป่ยเฉินจึงไม่รู้เลยว่าโครงหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากใบนี้เป็นอย่างไรกันแน่…

“หลินเจิ้งสือที่ว่านั่น คงเป็นท่านใช่หรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินยกแว่นดำขึ้นไปคาดไว้บนหน้าผาก พูดออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

“ย่อมเป็นข้าเอง”

บุคคลผู้สวมใส่หน้ากากเงินส่งเสียงตอบกลับมา

น้ำเสียงเย็นชาและชัดเจน

ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ

“หืม?” หลินเป่ยเฉินอดประหลาดใจไม่ได้ “ท่านเป็นสตรี?”

มิน่าเล่าถึงได้ดูดีมีเสน่ห์อย่างประหลาด

เด็กหนุ่มตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด

เพราะสิ่งที่เขาชำนาญมากที่สุดก็คือการรับมือกับสตรี

ไม่ว่าจะเป็นสตรีนางใดก็ตาม ในไม่ช้าก็เร็ว หลินเป่ยเฉินก็สามารถค้นพบวิธีที่ทำให้พวกนางหลงเสน่ห์เขาได้ทั้งสิ้น

“ข้าเป็นสตรีแล้วเจ้ามีปัญหาหรือไม่?”

หลินเจิ้งสือถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาดังเดิม

“ย่อมมีปัญหา”

หลินเป่ยเฉินดึงแว่นกันแดดออกจากหน้าผาก เปิดเผยให้เห็นถึงโฉมหน้าที่หล่อเหลาของเขาโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ใช้แว่นดำในมือชี้หน้าชาซานถง “เจ้าสุนัขชั้นต่ำตัวนี้พยายามก่อกวนข้ามานานแล้ว เขาร่วมมือกับตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกา สังหารมือกระบี่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ตกตายหลายพันชีวิต ไม่ทราบว่าแม่นางคนงามพอจะช่วยมอบคำอธิบายให้แก่ข้าได้บ้างหรือไม่”

“เจ้าต้องการคำอธิบายอันใด?”

น้ำเสียงของหลินเจิ้งสือยังคงเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง ยากที่จะมีผู้ใดคาดเดาอารมณ์ความรู้สึก

“คำอธิบายใดก็ได้ที่ท่านต้องการ”

หลินเป่ยเฉินยิ้มหวานตอบกลับไป

“แล้วเจ้าจะทราบได้อย่างไรว่าคำอธิบายที่ข้าต้องการ จะเป็นคำอธิบายที่เจ้าต้องการเช่นกัน?”

หลินเจิ้งสือถามกลับมาเสียงเรียบ

“ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าคำอธิบายที่ท่านต้องการ คือคำอธิบายที่ข้าต้องการอย่างนั้นหรือ… ฮื่อ พูดไปพูดมาก็ชักงงแล้วนะเนี่ย”

หลินเป่ยเฉินเลียริมฝีปากตนเองเล็กน้อยและกล่าวว่า “สรุปก็คือ วันนี้ข้าต้องการชีวิตของชาซานถง และหากท่านต้องการหลักฐานยืนยันความผิดของเขา ข้าก็ขอบอกเอาไว้เสียตรงนี้เลยว่าข้าไม่มีให้หรอก…”

“หากข้าไม่ให้ชีวิตของเขา แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”

หลินเจิ้งสือยกมือขึ้นกอดอก ลักษณะท่าทีดูมีความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย

เมื่อจีหวูชวง ลู่ซินและสมาชิกคณะทูตคนอื่น ๆ เห็นเช่นนี้ พวกเขาก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

เกิดอะไรขึ้น?

เหตุไฉนวันนี้นายท่านจึงได้มีความอดทนมากนัก?

แม้แต่เด็กหนุ่มสมองเสื่อมผู้นี้ก็ยังยั่วโมโหนางไม่ได้

หากเป็นก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เกรงว่าถ้ามีใครสักคนมาพูดจาเช่นเดียวกับหลินเป่ยเฉินต่อหน้านายท่าน บุคคลผู้นั้นคงได้มีอันลงไปนอนทอดกายอยู่ในหลุมศพเป็นแน่แท้

หลินเป่ยเฉินนำแว่นกันแดดในมือสวมใส่กลับเข้าไปบนใบหน้าอีกครั้ง ก่อนยิงฟันยิ้มกว้าง ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะอาละวาด”

“จริงหรือ?”

หลินเจิ้งสือหัวเราะในลำคอ “เจ้าไม่เบื่อวิธีการนี้บ้างหรืออย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินถึงกับงุนงงไปแล้ว

นี่มันอะไรกัน?

ทำไม… น้ำเสียงของหลินเจิ้งสือถึงไม่ได้ฟังดูต่อต้านเขาเลย?

หลินเป่ยเฉินถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

นี่นางพูดจริงหรือไม่?

“อะไรกัน? เจ้าคงคิดไม่ถึงเลยสินะ?”

หลินเจิ้งสือกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงขบขัน “เจ้าเองก็ชอบใช้วิธีการนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่หรือ?”

“หา?”

ในสมองของหลินเป่ยเฉินเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

นี่หมายความว่า… นางเคยรู้จักเขาใช่หรือไม่?

หรือว่าหลินเจิ้งสือผู้นี้จะเคยรู้จักกับหลินเป่ยเฉินคนเก่าตอนที่อาศัยอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง?

เป็นไปไม่ได้!!

หลินเป่ยเฉินเจ้าของร่างคนเก่าเป็นถึงบุคคลเสเพลและได้รับความเกลียดชังไปทั้งเมืองขนาดนั้น จะเอาอะไรไปรู้จักกับผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่งอย่างหลินเจิ้งสือผู้นี้ได้?

“คำอธิบายที่เจ้าต้องการ เจ้ามารับไปเองเถอะ”

หลินเจิ้งสือมองหน้าหลินเป่ยเฉินอย่างใช้ความคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ผายมือออกกว้าง น้ำเสียงผ่อนคลายขึ้นขณะกล่าวว่า “ข้าเป็นบุคคลที่มีเหตุผลเสมอ และข้าขอรับปากว่าจะไม่ขัดขวางเจ้า”

ชาซานถงผู้ยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ต้องอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “นายท่าน ข้า…”

“หุบปาก”

หลินเจิ้งสือตัดบทด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ข้าเคยสั่งห้ามเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้วไม่ให้เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของจักรวรรดิเป่ยไห่ แต่เจ้าก็ไม่เคยเชื่อฟังข้าเลยสักครั้ง บัดนี้ เมื่อผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนมาร้องเรียน เจ้าจะไม่รับผิดชอบการกระทำของตนเองสักหน่อยหรือ?”

ชาซานถงถึงกับยืนตะลึงลานอยู่ตรงนั้น

นางสั่งเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ให้เข้าไปวุ่นวายกับกิจการภายในของเป่ยไห่?

ก็ในเมื่อเขานี่แหละรับคำสั่งจากหลินเจิ้งสือมาตลอด

นี่เขาเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่?

“นายท่าน ข้า…”

ชาซานถงพยายามขอคำอธิบายอย่างยากลำบาก

หลินเจิ้งสือหัวเราะในลำคอด้วยความเย็นชาและกล่าวออกมาว่า “ข้าทนกับพฤติกรรมของเจ้ามานานแล้ว ชาซานถง เจ้าไม่ใช่ผู้ติดตามของข้าอีกต่อไป…”

ชาซานถงได้แต่ยืนกะพริบตาปริบ ๆ

นายท่านเป็นอะไรไป?

หลินเป่ยเฉินก็ได้แต่นั่งกะพริบตาปริบ ๆ อยู่บนหลังม้าขาวเช่นกัน

เอ่อ นี่มัน… ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เขาคิดเอาไว้เลยสักนิดเดียว

แต่ถึงกระนั้น ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ ก็คือหลินเป่ยเฉินเอง

บัดนี้ ไม่มีผู้ใดเข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

พฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของหลินเจิ้งสือหมายความว่าอย่างไร?

ทำไมพวกเขาถึงได้รู้สึกคุ้นเคยนัก

นางมีหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายกับหลินเป่ยเฉิน

หรือว่าคนแซ่หลินจะมีนิสัยเช่นนี้เหมือนกันทั้งหมด?