บทที่ 1035 วันนี้เจ้าก็ได้เห็นแล้วนี่ไง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,035 วันนี้เจ้าก็ได้เห็นแล้วนี่ไง

ในคฤหาสน์ทองคำ

พรึ่บ!

ดาวทองคำดวงหนึ่งที่ลอยอยู่ในอากาศอยู่ดี ๆ ก็ระเบิดกลายเป็นฝุ่นผง

เว่ยหมิงเฉินผู้นั่งหลับตาอยู่บนเบาะรองนั่งสีหยกพลันลืมตาขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

“ดาวแฝดระเบิดตัวเช่นนี้… หรือว่าจะตายแล้ว?”

เว่ยหมิงเฉินจ้องมองเศษดวงดาวที่โปรยปรายอยู่ในอากาศ หลังจากนั้น เขาก็ยื่นมือขึ้นไปใช้ปลายนิ้วทั้งห้าสัมผัสกับละอองดวงดาวเหล่านั้น…

ผ่านไปอึดใจใหญ่ ร่องรอยของความเข้าใจอะไรบางอย่างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเว่ยหมิงเฉิน

“นับเป็นการลงมือที่เด็ดขาดและแข็งแกร่งยิ่งนัก แม้สถานการณ์โดยรวมจะไม่เป็นใจ แต่แทนที่จะคิดหลบหนี เขากลับตัดสินใจที่จะต่อสู้และกวาดล้างพวกของเทพแห่งวิหารเฉียนเกาได้สำเร็จ แม้แต่บริวารสักคนก็ไม่มีเหลือรอด…”

เมื่อคำนวณถึงต้นสายปลายเหตุเรียบร้อย เว่ยหมิงเฉินก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

ความจริง ตอนที่สัมผัสได้ว่าเทพแห่งวิหารเฉียนเกาเสียชีวิตแล้วนั้น ชายหนุ่มเพียงแค่รู้สึกประหลาดใจ

เขาไม่ได้ผิดหวังหรือโกรธแค้น

เมื่อเทียบกับแผนการยิ่งใหญ่ที่เขากำลังจะทำให้สำเร็จ จักรวรรดิเป่ยไห่ก็นับเป็นเพียงเม็ดทรายในทะเลทรายเท่านั้น หาได้มีคุณค่าให้เอ่ยถึงไม่

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่บิดาแท้ ๆ ของเว่ยหมิงเฉินหรือเรื่องที่เทพแห่งวิหารเฉียนเกาต้องเสียชีวิตในนครหลวง มันก็เทียบไม่ได้เลยกับเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นห่างออกไปอีกหลายพันลี้

“ชายชราผู้นั้นหาได้มีความสำคัญต่อข้าไม่ เขาเป็นเพียงบุคคลร่วมสายเลือดที่จะคอยฉุดรั้งข้าเท่านั้น ตายไปได้เสียก็ดี แต่ตระกูลเว่ย… ต้องคงอยู่ต่อไป!”

เว่ยหมิงเฉินนิ่งคิดอะไรบางอย่างอีกเล็กน้อย ก็กล่าวออกมาว่า “ไป๋เซ่อ ถ่ายทอดคำสั่งให้คนของเราอพยพออกมาจากจักรวรรดิเป่ยไห่เดี๋ยวนี้”

“ข้าน้อยรับคำบัญชา”

ทันใดนั้น เงาร่างสีขาวสายหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาจากเงามืดด้านหลังเว่ยหมิงเฉิน แสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่ลำแสงนั้นจะพุ่งตัวออกไปจากคฤหาสน์ทองคำ ทะลวงผ่านกลุ่มก้อนเมฆบนท้องนภา มุ่งหน้าไปยังทิศทางของมณฑลเฉียนเกา

เว่ยหมิงเฉินหลับตาลงเพื่อโคจรพลังอีกครั้ง

หนึ่งชั่วยามต่อมา คิ้วของชายหนุ่มก็กระตุกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“หลันเซ่อ บัดนี้เราอยู่ที่ใดแล้ว?”

“กร๊าซซซ!”

นกยักษ์สีน้ำเงินเข้มที่บรรทุกคฤหาสน์ทองคำอยู่บนแผ่นหลังส่งเสียงกรีดร้องยาวนาน แล้วดวงตาที่ใหญ่โตของมันก็เป็นประกายสีทองคำเรืองรอง ปรากฏลำแสงทองคำพุ่งทะลุก้อนเมฆสาดส่องลงไปบนพื้นดินเบื้องล่าง

ขณะนี้ ไม่ต่างจากมีดวงตะวันเพิ่มขึ้นมาอีกสองดวงบนท้องฟ้า

“กราบเรียนนายท่าน เรากำลังอยู่ในเขตเมืองชาปา ซึ่งถือเป็นเมืองใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของจักรวรรดิหลิวชาเจ้าค่ะ”

น้ำเสียงที่อ่อนหวานของสตรีนางหนึ่งดังก้องกังวานในคฤหาสน์ทองคำ

“จักรวรรดิหลิวชาอย่างนั้นหรือ?”

เว่ยหมิงเฉินค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนจากเบาะรองนั่งสีหยกและกล่าวว่า “ประเสริฐ ที่นี่แหละเหมาะสมแล้ว ข้าเพิ่งสูญเสียดาวบริวารไป จำเป็นต้องฟื้นฟูพลังสักหน่อย”

หลังจากนั้น นกยักษ์ก็หยุดบินทันที

มันหุบปีกของตนเองอย่างนุ่มนวล แต่กลับยังสามารถลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างไม่มีปัญหา ในลักษณะที่สัตว์มีปีกทุกชนิดไม่สมควรลอยได้เช่นนี้เด็ดขาด

เว่ยหมิงเฉินเดินออกมาจากคฤหาสน์ทองคำ ทันใดนั้น เขาก็กระโดดลงไปจากแผ่นหลังของนกยักษ์

เจ้านกยักษ์สีน้ำเงินเข้มรอคอยอยู่ในความเงียบ

ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป เว่ยหมิงเฉินก็เหินตัวกลับขึ้นมา

เดิมทีเขามีบุคลิกงามสง่า หน้าตาหมดจดคมคาย ผิวพรรณขาวเนียนปราศจากคราบไคลสกปรก ตลอดร่างกายคล้ายกับห่อหุ้มด้วยม่านพลังบาง ๆ

แต่บัดนี้ บนผิวหนังของเขากลับปรากฏอักขระโบราณสีทองคำ ดูไปคล้ายกับเป็นรอยสักแปลกประหลาด และลวดลายอักขระนั้นก็ปกคลุมไปทั่วร่างของเขา ไม่ว่าจะเป็นสองแก้ม บนดั้งจมูก ใบหู หรือแม้แต่บนเส้นผม ก็มีลวดลายเหล่านี้ถูกแกะสลักอยู่เช่นกัน

แต่ที่น่าขนลุกมากที่สุดก็คือ ภายใต้รอยอักขระเหล่านี้กลับมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาราวกับเป็นฝูงอสรพิษร้ายที่กำลังเลื้อยอยู่ใต้ผิวหนังของเขาอย่างเชื่องช้า…

เว่ยหมิงเฉินก้าวเดินขึ้นไปบนขั้นบันไดของคฤหาสน์ทองคำ

ไม่ว่าเท้าของเขาสัมผัสลงตรงบริเวณใด พื้นที่ตรงนั้นก็จะแปดเปื้อนด้วยคราบโลหิตขนาดใหญ่

แต่เพียงพริบตาเดียว คราบเลือดเหล่านั้นก็จะถูกขั้นบันไดดูดซับหายไป

และเมื่อเว่ยหมิงเฉินเดินเข้าสู่ด้านในคฤหาสน์ อักขระสีทองคำและเส้นเลือดบนผิวหนังของเขาก็สลายหายวับไปโดยสมบูรณ์

มุมปากของเขาเปรอะเปื้อนคราบโลหิตอยู่เล็กน้อย

ชายหนุ่มแลบลิ้นออกมาเลียคราบเลือดนั้น

เมื่อลิ้นของเขาสัมผัสกับหยดโลหิต ดวงตาของเว่ยหมิงเฉินก็เป็นประกายวาวโรจน์อย่างชั่วร้าย

“ไปกันเถอะ”

เขาเดินกลับไปนั่งลงบนเบาะรองนั่งในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง

เจ้านกยักษ์กระพือปีก ก่อนที่มันจะมุ่งหน้าตรงไปยังใจกลางแผ่นดินตงเต้า

ด้านหลังของมันคือเมืองชาปาซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของจักรวรรดิหลิวชา ที่นี่มีประชากรอาศัยอยู่ 15 ล้านคน แต่บัดนี้ เมืองชาปากลับกลายเป็นดินแดนแห่งความตาย บนพื้นดินเกลื่อนกลาดด้วยซากศพผู้คนนับจำนวนไม่ถ้วน โลหิตไหลเนืองนองราวสายน้ำ ไม่ต่างจากทะเลทรายที่ถูกพายุฝนโหมกระหน่ำในชั่วพริบตา…

สามวัน

เพียงสามวันเท่านั้น

ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวรรดิเป่ยไห่ก็กลับเข้าที่เข้าทาง

อำนาจตามแว่นแคว้นต่าง ๆ กลับมาอยู่ในมือขององค์จักรพรรดิหลี่เซวียฉิน เว้นแต่เพียงสองมณฑลใหญ่อย่างมณฑลหยางฉ่วนและมณฑลเฟิงหมิงเท่านั้นที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิจี้กวงกับตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกา ส่วนอีกห้ามณฑลที่เหลืออยู่นั้น ได้กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของราชสำนักเรียบร้อยแล้ว

ทางด้านหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวงอย่างหลินเป่ยเฉินก็ได้ประกาศการสนับสนุนราชวงศ์หลี่ให้ขึ้นครองราชย์ต่อไปด้วยความจงรักภักดี

และในเวลาเดียวกันนี้ ข่าวเรื่องที่ว่าจักรวรรดิเป่ยไห่สามารถผ่านด่านทดสอบการทำสงครามชิงอาณาจักรในอาณาเขตสนธยาได้สำเร็จ ก็แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินตงเต้า

วันที่สี่

สายลมโชยพัด แสงแดดสาดส่อง

อากาศสดชื่นแจ่มใส

ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 เป็นศูนย์

แสงแดดสาดส่องลงบนต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกหอถิงเถา

หอถิงเถาคือที่พักของคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง อาณาบริเวณโดยรอบรายล้อมด้วยภูเขา แม่น้ำและลำธารร่มรื่นสบายตา อาคารบ้านเรือนถูกก่อสร้างด้วยความสวยงามและปราณีต ยิ่งอยู่ภายใต้แสงแดดสีทองคำด้วยแล้ว จึงเกิดเป็นภาพแห่งความงามที่ยากต่อการอธิบาย

ต่อให้ตกอยู่ในช่วงเวลาที่วุ่นวายโกลาหลที่สุดของนครหลวง แต่หอถิงเถาแห่งนี้ก็ยังร่มเย็นสงบสุขไม่ต่างไปจากแดนสวรรค์

ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังฝ่ายใดก็ตาม ไม่มีใครกล้าเข้ามาก่อกวนใกล้หอถิงเถามาก่อน

กุบกับ! กุบกับ! กุบกับ!

ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น

ในที่สุด ประตูของหอถิงเถาที่ครึ่งเปิดครึ่งปิดก็ได้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือนเสียที

หลินเป่ยเฉินสวมใส่แว่นตาดำขี่ม้าขาวเข้ามาด้วยท่าทางองอาจ

โครม!

เขาโบกสะบัดแขนเสื้อ แล้วประตูหน้าของหอถิงเถาก็พังทลายลงไปทันที

องค์จักรพรรดิและคณะผู้ติดตามซึ่งขี่ม้าตามมาทางด้านหลังอดแตกตื่นตกใจไม่ได้

ที่นี่เป็นสถานที่พำนักของคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง ถือเป็นตัวแทนจากหลายจักรวรรดิรวมกัน ดังนั้น การพังประตูบุกเข้าไปเช่นนี้ จึงเป็นพฤติกรรมที่ดูก้าวร้าวมากเกินไปไม่น้อย

ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ พวกเขาคุยกันแล้วว่าจะมาที่นี่เพียงเพื่อปรึกษาหารือเท่านั้น ไม่ใช่มาเพื่อทะเลาะวิวาท

“ผู้ใดบังอาจเข้ามาก่อความวุ่นวายในหอถิงเถา?”

เกิดเสียงคำรามดังออกมาจากด้านในหอถิงเถาด้วยความเดือดดาล

ก่อนที่เงาร่างของคนผู้หนึ่งจะปรากฏกายในลมหายใจต่อมา

ย่อมต้องเป็นร่างของเซียนทะเลทราย ชาซานถง

เมื่อชำเลืองมองเห็นโฉมหน้าขององค์จักรพรรดิและพรรคพวก สีหน้าของชาซานถงก็ไม่ปรากฏความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

จริงอยู่ที่เขาเคยเป็นผู้ช่วยเหลือตระกูลเว่ยในการก่อกบฏ แต่จะมีผู้ใดสามารถทำอะไรได้?

ชาซานถงมีสถานะเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะทูต ต่อให้องค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่แยกร่างมา 11 ล้านคน ก็รับประกันได้ว่าคงไม่มีสักคนกล้าขึ้นเสียงใส่เขาเด็ดขาด

แต่ทว่า เมื่อสายตาของชาซานถงสะดุดเข้ากับใบหน้าหลินเป่ยเฉินผู้นั่งอยู่บนหลังม้าขาวสวมใส่แว่นกันแดดสีดำ ชาซานถงก็อดตกตะลึงไม่ได้และถึงกับหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจแล้ว

เจ้าเด็กคนนี้…

เป็นบุคคลที่รับมือไม่ง่าย

ชาซานถงรู้ซึ้งดีทีเดียว

ไม่ใช่ว่าเขาหวาดกลัว

แต่เด็กคนนี้เป็นบุคคลน่าปวดหัวที่ไม่ควรข้องเกี่ยวด้วยเด็ดขาด

“องค์จักรพรรดิหลี่ หลินเป่ยเฉิน พวกท่านรู้หรือไม่ การพังประตูที่พักของคณะทูตออกจะเป็นเรื่องหยาบคายเกินไปหน่อยแล้ว…”

ชาซานถงหัวเราะเยาะก่อนปั้นเสียงขึงขัง “หรือว่าพวกท่านอยากมีปัญหากับกลุ่มพันธมิตร?”

“พูดมากน่ารำคาญ”

หลินเป่ยเฉินพ่นเศษผลไม้สีเขียวที่ตกค้างอยู่ในปากออกมาและกล่าวว่า “หากวันนี้ข้ามาอาละวาดที่นี่ แล้วพวกเจ้าจะทำอย่างไร? แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องนั้น พวกเจ้าจงส่งคนออกมาอธิบายก่อนเถอะว่า เพราะเหตุใด ระดับความยากในการทำสงครามชิงอาณาจักรจึงเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผลเช่นนั้น”

“เจ้าเติบโตมาเช่นไรกันแน่?”

ชาซานถงแผดเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด “นับตั้งแต่ที่ข้ามีชีวิตอยู่ยาวนานหลายสิบปี ข้ายังไม่เคยเห็นบุคคลผู้ใดมีความยโสโอหังเช่นเจ้ามาก่อน”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะฮ่า ๆ ด้วยความชอบใจ ก่อนตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นวันนี้เจ้าก็ได้เห็นแล้วนี่ไง”