ราชันเร้นลับ 1169 : แผนของไคลน์

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

แสงสีแดงระยิบระยับทำให้ไคลน์รู้สึกอบอุ่นหัวใจ มันพบว่าตนมิได้อยู่ตามลำพัง ยังมีอีกหลายคนที่ยังจดจำได้

เมื่อเสียงสวดวิงวอนมายาซ้อนทับกันจนทวีความคมชัด ไคลน์สัมผัสได้ว่าปราสาทต้นกำเนิดกำลังเรียกหาตน โดยเสียงของทั้งสองสิ่งสอดประสานกันจนกลายเป็นพลังงานที่เข้มแข็ง

หลังจากสมาชิกทุกคนของชุมนุมทาโรต์สวดวิงวอน ไคลน์เกิดความรู้สึกคลุมเครือว่าตนสามารถเข้าสู่ปราสาทต้นกำเนิดได้ทุกเมื่อพร้อมกับจิตใต้สำนึก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังติดอุปสรรคในขั้นตอนสุดท้าย

อุปสรรคดังกล่าวได้รับการแก้ไขหลังจากชายหนุ่มย่อยโอสถปราชญ์โบราณสมบูรณ์

ด้วยเหตุนี้ไคลน์จึงสามารถกลับเข้าปราสาทต้นกำเนิดได้ก่อนอามุนด์ซึ่งถูกกีดขวางไว้โดยฝ่ามือของเทพแห่งเกียรติยศ บลาเดล

ภายในระยะเวลาเพียงสองวัน สมาชิกชุมนุมทาโรต์กลับสวดวิงวอนกันครบทุกคน ตามปรกติแล้วไม่ควรจะบังเอิญขนาดนี้…บางคนวิงวอนด้วยสาเหตุที่เข้าใจได้ แต่บางคนได้รับอิทธิพลจากเทพธิดาและวิลล์…เรากำลังโชคดีก็เลยเกิด ‘เรื่องดี ๆ ติดต่อกัน…หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์พบว่าเหตุผลในการสวดวิงวอนของบางคงดูผิดหลักธรรมชาติ แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่รับได้ และไม่ต้องกังวลมากเกินไป

หลังจากเปลี่ยนท่านั่ง ดวงตาไคลน์กลายเป็นสีเข้ม

แม้ในตอนที่ได้เห็นรังไหมและบานประตูแห่งแสง ไคลน์จะทำใจยอมรับว่าตนคงกลับบ้านไม่ได้อีกแล้ว แต่หลังจากได้ทราบความจริงว่าดาวเคราะห์ดวงนี้คือโลกในอนาคต นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกฝันสลายโดยสมบูรณ์ แสงแห่งความหวังอันริบหรี่ถูกความมืดมิดกลืนกินจนดำมืด

ในตอนแรกที่เราเลือกใช้คำว่า เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย มาเป็นนามเต็มอันมีเกียรติ นั่นคงเกิดจากการดลใจทางวิญญาณ…ส่วนลึกของจิตใต้สำนึกเราอาจสัมผัสถึงบางสิ่งได้…จริงสิเราจำได้ว่าตอนเดินทางข้ามโลก เรากำลังนอนอยู่ แล้วทำไมตัวเราที่ห้อยอยู่ในรังไหมถึงสวมเสื้อยืดกับกางเกงสแล็ค? ไคลน์ขมวดคิ้ว ก่อนจะจ้องไปทางสายหมอกสีเทาด้านล่างปราสาทต้นกำเนิด

ขณะค้นหาข้อมูลจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ชายหนุ่มพยายามอย่างหนักเพื่อนึกทบทวนรายละเอียดในค่ำคืนดังกล่าว

จนกระทั่งไคลน์พบชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง

โจวหมิงรุ่ยที่สวมเสื้อยืดกางเกงสแล็ค กำลังประกอบพิธีกรรม ‘เปลี่ยนดวงชะตา’ ในช่วงก่อนอาหารค่ำ เดินถอยหลังสี่ก้าวและท่อง ‘เซียนราชันฟ้าดินประทานโชค’ พร้อมกับคาถาบทอื่น

ในความทรงจำของไคลน์ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ฉากในประวัติศาสตร์กลับไม่ใช่แบบนั้น

หลังจากโจวหมิงรุ่ยเดินถอยหลังสี่ก้าวและประกอบพิธีกรรมจนเสร็จ ใบหน้าของมันซีดเซียวทันที ดวงตากลายเป็นหม่นหมอง

ถัดมามันเดินไปกินอาหาร อ่านหนังสือ ดูละคร และเล่นโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าเหม่อลอย ราวกับหุ่นยนต์ที่ทำตามโปรแกรม

ท้ายที่สุดโจวหมิงรุ่ยเดินมายังอ่างล้างหน้า จ้องหน้าตัวเองในกระจก แปรงฟัน บ้วนปาก และเข้านอน

ตลอดทุกกิจกรรม มันไม่เคยถอดเสื้อยืดและกางเกงสแล็คที่สวมในตอนที่ออกนอกบ้าน เพียงห่มผ้าและหลับตาลงทั้งอย่างนั้น

ผ่านไปไม่นานฉากประวัติศาสตร์เริ่มสั่นสะเทือนและถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างอันเจิดจ้า

ไคลน์อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบหน้าผาก หัวเราะจิกกัดตัวเอง

กลับกลายเป็น…เราคิดไปเองว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากพิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตา ทุกอย่างยังคงปรกติ…แต่ในความเป็นจริง ชะตากรรมของเราถูกเปลี่ยนแปลงไปนับแต่นั้น…

หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ไคลน์คงหวาดผวากับความจริงข้อนี้มาก แต่ปัจจุบันเหตุการณ์ดังกล่าวได้ผ่านมานานแล้ว และตนมีโอกาสได้ลิ้มรสในสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า ได้ทราบความจริงอันน่าตกตะลึงยิ่งกว่า ‘เรื่องเล็ก ๆ เช่นนี้จึงแทบไม่สร้างแรงกระเพื่อมภายในจิตใจ

อย่างไรก็ตามหลังจากค้นพบความจริง ไคลน์เริ่มฉุกคิดในประเด็นใหม่ นั่นคือเรื่องที่จักรพรรดิโรซายล์ ‘เดินทางข้ามเวลา’ ด้วยถาดเงินลึกลับ และภายในรังไหมโปร่งใสเหนือประตูแสงก็ยังมีคนที่พก ‘โทรศัพท์มือถือ’ ติดตัวมาด้วย

คงเป็นฝีมือของเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดคนก่อน…บุคคลดังกล่าวสร้างอิทธิพลบางอย่างกับโลกความจริง ทำให้โทรศัพท์มือถือ ถาดเงิน และหนังสือพิธีกรรมโบราณของราชวงศ์ฉินและฮั่นมีความผิดปรกติ หากใครมีพฤติกรรมที่เข้าเงื่อนไขก็จะถูกดึงมาเก็บไว้ในรังไหมเหนือประตูแห่งแสงทันที…

นี่เป็นการคัดเลือกแบบสุ่ม ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ใครหรือวัตถุใดโดยเฉพาะ…ไม่รู้จะเรียกโชคดีหรือโชคร้ายดี…

แต่ทำไมหนังสือถึงชื่อว่า ‘พิธีกรรมโบราณของราชวงศ์ฉินและฮั่น’ ? เป็นการสุ่มเลือกที่อิงจากกลุ่มเหยื่อ หรือเพราะนั่นคือพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉินและฮั่นจริง?

ฟังดูเป็นไปได้…หากคำพยากรณ์เกี่ยวกับการเรียงตัวของดวงดาวเป็นเรื่องจริง และนั่นสอดคล้องกับพระผู้สร้างต้นกำเนิด หมายความว่าพระองค์หลับใหลอยู่ใต้โลกมาตลอดนับตั้งแต่อดีตกาล…หรืออาจจะเก่ากว่านั้น…กล่าวกันว่า หนึ่งในชิ้นส่วนร่างกายของพระองค์กลายมาเป็นปราสาทต้นกำเนิด…หมายความว่าที่นี่ไม่ใช่อาณาจักรทวยเทพหรือสถานที่สำหรับคืนชีพของพระองค์…

แต่น่าแปลกพระผู้สร้างต้นกำเนิดที่เตรียมลืมตาตื่นขึ้นมาทำลายโลก เหตุใดถึงต้องเสียเวลาแผ่อิทธิพลเล็กน้อยบนโลกอย่างการสุ่มดึงมนุษย์มาเก็บไว้ในรังไหม? ไม่ฟังดูขัดแย้งไปหน่อยหรือ?

คำพยากรณ์ดังกล่าวคงถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ที่ได้รับอิทธิพลจากพระองค์…

ไคลน์เหยียดมือขวาออกไปเคาะโต๊ะทองแดงยาว พบว่าคำถามดังกล่าวยังไม่มีคำตอบในเวลานี้

ในไม่ช้าชายหนุ่มฉุกคิดถึงบางประโยคและบางเหตุการณ์

ประโยคดังกล่าวก็คือ

“สิ่งใดที่แยกจาก ย่อมมีวันกลับมาบรรจบ และสิ่งใดที่บรรจบ ก็ย่อมมีวันแยกจาก”

และบางเหตุการณ์ที่ว่าก็คือ

เทพสุริยันบรรพกาล บิดาของอามุนด์และอาดัม จงใจแยกตะกอนพลังของตัวเองออกจากกัน

ผู้วิเศษที่อยู่ใกล้ใต้ดินหรือเผชิญการกัดกร่อนบางอย่าง จะค่อย ๆ สร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาในร่างกาย

หลังจากไปดวงจันทร์ อุปนิสัยของโรซายล์เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว

จากทั้งยี่สิบสอง มีบางเส้นทางที่ขัดแย้งกัน เช่นแม่มดกับนักล่า

บางทีพระผู้สร้างต้นกำเนิดอาจสั่งสมความขัดแย้งมากมายไว้ภายในร่าง และทางเดียวที่จะบรรเทาได้ก็คือการหลับใหล…ไคลน์ผุดสมมติฐาน แต่ก็ไม่มีวิธียืนยันให้แน่ใจ

มันยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคำพยากรณ์ของ ‘มหาต้นกำเนิด’ ที่จะลืมตาตื่นขึ้นเมื่อดวงดาวเรียงตัวในตำแหน่งที่เหมาะสม เป็นคนเดียวกับพระผู้สร้างต้นกำเนิดที่แบ่งแยกทุกสรรพสิ่งออกจากร่างกายตามตำนานของยุคสมัยปัจจุบัน

ข้อเท็จจริงนี้ต้องใช้หลักฐานในการพิสูจน์ ไม่สามารถสรุปและตกตะกอนได้ด้วยจินตนาการเพียงอย่างเดียว

“เราไม่ใช่นักสร้างฝันสักหน่อย…” ไคลน์พึมพำกับตัวเอง แหงนมองขึ้นด้านบนและพบเพียงความว่างเปล่าสีเทาที่มีมวลเมฆปะปนประปราย “ยังมีหลายสิ่งให้เราต้องตรวจสอบและยืนยัน เช่น สถานที่ที่ชื่อเชอร์โนบิล แท้จริงแล้วอาจเป็นจุดหลบภัยของมนุษย์หลังจาก ‘มหาต้นกำเนิด’ ลืมตาตื่น…และตะกอนพลังของทั้งยี่สิบสองเส้นทางถูกแบ่งออกจากร่าง ‘มหาต้นกำเนิด’ จริงหรือ…รวมถึงตำแหน่งของดวงดาว ในปัจจุบันคือตำแหน่งที่ผิดปรกติหรือถูกต้อง? ถ้าผิดปรกติหมายความว่าในวันสิ้นโลกปี หนึ่งพันสามร้อยหกสิบแปด พวกมันจะกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง? ต้นกำเนิดของศิลาเย้ยเทพคืออะไร และมีสิ่งใดอยู่บนดวงจันทร์…”

คิดถึงตรงนี้ นิ้วที่ไคลน์ใช้เคาะโต๊ะหยุดขยับ ตามด้วยส่งเสียงพึมพำ

…ทวีปตะวันตกในตำนานซึ่งเป็นบ้านเกิดของเอลฟ์…ปัจจุบันยังมีตัวตนอยู่หรือไม่ และเหตุใดถึงไม่มีใครเข้าไปได้…

คำตอบของไคลน์คือความเงียบงันเป็นเวลานาน จนกระทั่งชายหนุ่มเอนหลังพร้อมกับวางแขนลงบนที่พักแขน

หลายนาทีผ่านไป ไคลน์หลับตาลงพลางตัดสินใจบางสิ่ง

หลังจากคืนชีพสำเร็จ มันจะอยู่บนดินแดนเทพทอดทิ้งไปอีกสักพัก เพื่อค้นหาคำตอบของชุดคำถามเมื่อครู่

ดังคำของจักรพรรดิโรซายล์ คำตอบของเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้ง และผู้เย้ยเทพอามุนด์ก็เตร็ดเตร่อยู่ที่นี่มานานกว่าพันปีเพื่อสืบหาความจริงของประวัติศาสตร์เหนือยุคสมัยที่หนึ่ง…

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเดินไปทางทิศตะวันออกของดินแดนเทพทอดทิ้งเรื่อย ๆ มีโอกาสที่เราจะได้พบกับทวีปตะวันตกในตำนาน…ไคลน์มองออกไปนอกวังโบราณ จ้องมองเข้าไปในความมืดที่มองไม่เห็นระยะทาง

สำหรับชายหนุ่ม การหมกตัวอยู่ในดินแดนอันรกร้างแห่งนี้ยังถือเป็นกลยุทธ์สำหรับดึงดูดความสนใจทั้งหมดของอามุนด์ อีกฝ่ายจะไม่ได้ต้องส่งร่างโคลนแทรกซึมเข้าไปในเบ็คลันด์เพื่อตามหาเกอร์มันสแปร์โรว์และสร้างอันตรายกับคนใกล้ตัว

โชคดีที่ร่างโคลนอามุนด์ตัวที่รู้ว่าเราเป็นคนใจอ่อนถูกกำจัดไปแล้ว และข้อมูลไม่มีทางรั่วไหลออกไปเพราะถูกปกปิดด้วยโลกพิเศษ…หากไม่แล้ว อามุนด์คงใช้เบ็นสัน เมลิสซ่า เลียวนาร์ด และมิสจัสติสเป็นเครื่องมือในการต่อรอง และผลลัพธ์จะเลวร้ายชนิดที่ไม่มีทางจินตนาการได้…หึหึ ในที่สุดราชาเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภก็สำแดงฤทธิ์เดช…เฮ้อ…แต่ถึงเราอยากจะออกไปจากดินแดนเทพทอดทิ้ง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดูเหมือนว่าวิธีเดียวคือการบุกเข้าไปในสถานที่หลับใหลของเทวทูตมืด…ไคลน์ส่ายหน้าพลางยิ้มขื่นขม ตระหนักว่าแม้ตนจะคืนชีพสำเร็จ แต่ก็ยังอยู่ท่ามกลางวังวนแห่งอันตราย

ไม่ว่าจะขบคิดในมุมใด ปราชญ์โบราณที่ถูกราชาเทวทูตไล่ล่าก็ไม่น่าจะเอาตัวรอดได้นานนัก!

จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ เทพธิดารัตติกาลยังคงย่อยเอกลักษณ์ของเส้นทางยมทูตไม่เสร็จ พลังที่พระองค์สามารถส่งมายังดินแดนเทพทอดทิ้งได้นั้นมีจำกัด หากเทวทูตกาลเวลาอยู่ในสถานะเตรียมพร้อม ไม่มีทางเลยที่เหตุการณ์ในวันนี้จะเกิดขึ้นซ้ำรอย

หลังจากคืนชีพคงต้องหาทางขอความช่วยเหลือจากตัวจนลึกลับอื่น เช่นการท่องพระนามเต็มอันทรงเกียรติของวายุสลาตัน สุริยันเจิดจรัส และปัญญาความรู้ เพื่อตรวจสอบว่าพวกท่านส่งพลังเข้ามาในดินแดนเทพทอดทิ้งได้หรือไม่…พวกท่านที่เคยแบ่งกันกินร่างของเทพสุริยันเจิดจรัส คงไม่อยากเห็นอามุนด์ได้ครอบครองปราสาทต้นกำเนิดแน่…

ในทำนองเดียวกับ เนื่องจากโอสถปราชญ์โบราณถูกย่อยสมบูรณ์แล้ว ก็ต้องพิจารณาถึงการเลื่อนลำดับเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์…เมื่อใดที่เรากลายเป็นเทวทูตและมีร่างสัตว์ในตำนานที่สมบูรณ์ หลายสิ่งจะง่ายขึ้นมาก…อย่างน้อยในยามที่เผชิญหน้ากับร่างต้นของอามุนด์ เราจะไม่ถูกเล่นงานด้วยเสียงเพรียกในหัว…ไคลน์ตัดสินใจรอให้ร่างวิญญาณของตนฟื้นฟูกลับมา จากนั้นก็หาสื่อกลางมาทำนายถึงกลุ่มก้อนหนอนแมลงโปร่งใสบนยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส เพื่อ ‘รับความรู้’ ที่เกี่ยวกับผู้ชี้นำปาฏิหาริย์

มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่านั่นคือ ‘ฮาล์ฟฟูล’ แห่งตระกูลอันทีโกนัส!

หลังจากวางแผนอนาคต ไคลน์มองไปรอบตัวและเริ่มตอบสนองดาวแดง

“ชุมนุมทาโรต์จะถูกจัดขึ้นตามปรกติในวันนี้”

มันอยากได้ยินไอเดียจากเฮอร์มิท แฮงแมน และคนที่เหลือ สำหรับแนวคิดในการคืนชีพและเอาตัวรอดจากอามุนด์

แน่นอนว่าต้องมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผล และไคลน์ก็คิดเตรียมไว้แล้ว

หลังจากตอบสนองครบ ชายหนุ่มกลับมานั่งนิ่งบนมิติหมอกอีกครั้งโดยไม่มีที่ไป

ผ่านไปสักพักมันเอียงตัวเล็กน้อย ใช้มือขวายันศีรษะพลางเอียงคอมองตรงไปข้างหน้า

บนโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ จานอาหารรสเลิศจำนวนมากปรากฏขึ้นพร้อมกับเทียนไข เก้าอี้พนักสูงด้านนอกถูกเปลี่ยนให้มีรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับยุคสมัยปัจจุบันมากขึ้น

ร่างของมนุษย์ทยอยปรากฏขึ้นทีละหนึ่ง บ้างเป็นชายวัยกลางคนที่ชอบพูดเสียงดัง ผมสีดำมีหงอกสีเงินแซม บ้างเป็นสตรีที่มีใบหน้าแบบชาวตะวันออก ผมสั้นติ่งหู อายุเกือบครึ่งร้อย บ้างเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังเล่นโทรศัพท์อย่างสนุกนาน บ้างเป็นเด็กสาวร่างเล็กที่ชอบเล่าเรื่องตลก

ด้านหลังพวกมัน ร่างใหม่ถูกวาดเพิ่มเติม มีทั้งดันน์เจ้าของศีรษะเถิก ดวงตาสีเทาลุ่มลึก และดาลีย์ที่ทาปัดแก้มกับรอบดวงตาด้วยสีฟ้า

ท่ามกลางสายหมอกสีเทา ทุกคนหัวเราะและยิ้มแย้มอย่างมีความสุขใต้แสงเทียน รับประทานอาหารเป็นครั้งคราว

ไคลน์ยังคงค้างอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน เฝ้ามองฉากตรงหน้าโดยไม่ขยับเขยื้อน

…………………