ราชันเร้นลับ 1170 : พิธีกรรม

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

กรุงเบ็คลันด์ เขตเหนือ

เลียวนาร์ดที่เพิ่งมอบหมายงานให้ทีม มองเห็นสายหมอกสีเทาไร้ก้นบึ้งพร้อมกับคำตอบจากเดอะฟูล

มันถอนหายใจโล่งอกพลางหรี่เสียงพูด

“ดูเหมือนว่าปัญหาจะจบลงแล้ว”

ในเมื่อมิสเตอร์ฟูลสามารถตอบสนอง แถมยังจัดการชุมนุมขึ้นตามเดิม หมายความว่าพระองค์เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะเหนืออามุนด์

ในทำนองเดียวกัน ไคลน์ก็น่าจะรอดพ้นจากภาวะวิกฤติแล้ว…

ภายในใจเลียวนาร์ด เสียงค่อนข้างชราของพาลีสพ่นลมหายใจ

“อย่าเพิ่งด่วนดีใจ หลังจากเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิด ให้สังเกตว่ามิสเตอร์ฟูลสวมแว่นขาเดียวไว้ที่ตาขวาหรือไม่”

“ก…กำลังจะบอกว่า อามุนด์อาจสวมรอยแทนมิสเตอร์ฟูล?” เลียวนาร์ดโพล่งขึ้นด้วยเปลือกตาสั่นกระตุก

พาลีสถอนหายใจ

“อย่ามองข้ามความเป็นไปได้นี้…อามุนด์มีพลังพอที่จะทำ”

“…ตกลง” เลียวนาร์ดที่เคยผ่อนคลาย กลับมาเครียดอีกครั้ง

ในทะเลโซเนีย บนอนาคตกาล

มิสเตอร์ฟูลตอบกลับมาแล้วหลังจากขาดการติดต่อไปนาน…หมายความว่า การหายตัวไปของเกอร์มันสแปร์โรว์มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการบางอย่างของท่าน? อย่าเพิ่งด่วนสรุป…บางทีการที่มิสเตอร์ฟูลหายไป อาจเป็นเพราะต้องการทุ่มสมาธิเพื่อช่วยเหลือเกอร์มันสแปร์โรว์ และปัจจุบันเพิ่งทำสำเร็จ…ท่านมิได้ลงลึกรายละเอียด…คงจะให้เกอร์มันสแปร์โรว์เล่าแทนในการชุมนุม…หลังจากได้ยินการตอบสนองจากมิสเตอร์ฟูล พลเรือเอกดวงดาว แคทลียาผุดความเป็นไปได้มากมาย

พิจารณาจากข้อมูลในจดหมายของราชินี เธอสงสัยว่าการสิ้นพระชนม์ของจอร์จที่สาม จะต้องเกี่ยวข้องกับมิสเตอร์ฟูลอย่างเลี่ยงไม่ได้ และการหายตัวไปของเกอร์มันสแปร์โรว์ก็เป็นผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์

ความคิดแรกของแคทลียาก็คือ เธอต้องการเขียนจดหมายแจ้งกับราชินีเงื่อนงำว่าพบตัวเกอร์มันสแปร์โรว์แล้ว แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก หญิงสาวระงับความคิดดังกล่าวและตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุมก่อน เมื่อวิเคราะห์สถานการณ์อย่างถี่ถ้วน เธอจะได้ทราบว่าข้อมูลใดเล่าได้และจุดใดที่เล่าไม่ได้

แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ดูเหมือนเรื่องราวจะคลี่คลายด้วยดี…แคทลียาถอนหายใจยาวริมหน้าต่าง แหงนมองท้องฟ้าสีครามด้านบน

เกาะโซเนีย ชายขอบป่าดิบชื้น

อัลเจอร์วิลสันกำลังยืนบนกิ่งไม้บาง เฝ้ามองท่าเรือและท้องฟ้าที่ครามที่ไม่ไกลออกไป

รอบตัวมีลมกระโชกพัดผ่าน แต่กลับไม่ส่งผลใดต่อต้นไม้โดยรอบ

เมื่อสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขตปรากฏขึ้นในการมองเห็น อัลเจอร์มีความสุขในตอนต้น จากนั้นก็เริ่มประหวั่น

มิสเตอร์ฟูลตอบสนองหลังจากหายไปนาน…หมายความว่าก่อนหน้านี้ ท่านเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก…

แต่ตอนนี้กลับมาเป็นปรกติแล้ว…

ท่านมิได้รับปากว่าจะยืมไม้กางเขนเจิดจรัสจากเดอะซันน้อยให้…อย่าบอกนะว่าท่านตระหนักถึงเจตนาของเราที่ต้องการทดสอบ? นอกจากนั้นยังค้นพบความคิดที่ซ่อนในส่วนลึกของจิตใจเรา?

ห้ามทำแบบนี้อีกในอนาคต! หนนี้มิสเตอร์ฟูลแค่ตักเตือน แต่ไม่มีครั้งหน้าแน่นอน!

อย่าทดสอบเทพ…อย่าทดสอบเทพ…

ขณะความคิดแล่นผ่าน อัลเจอร์รีบก้มหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ขอบคุณสำหรับความเมตตากรุณาของท่าน”

กรุงเบ็คลันด์ คฤหาสน์สุดหรูของเอิร์ลฮอลล์

“มิสเตอร์ฟูลมิได้ถ่ายทอดคำถามของเราไปถึงมิสเตอร์เวิร์ล…เป็นเพราะชุมนุมทาโรต์กำลังจะเริ่มขึ้นตามปรกติในช่วงบ่าย เมื่อถึงตอนนั้นก็จะมีเวลาให้แลกเปลี่ยนข้อมูลเอง?” ออเดรย์พบความผิดปรกติจากการตอบสนองของอีกฝ่าย จึงอดไม่ได้ที่จะผุดคำถาม “ตามปรกติแล้ว การตอบสนองของมิสเตอร์ฟูลจะมาเร็วเสมอ แต่คราวนี้กลับใช้เวลาเกินสิบห้านาที…ท่านกำลังสะสางเรื่องอื่นที่สำคัญมาก? เกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของจอร์จที่สาม?”

แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ความล่าช้าเพียงสิบห้านาทีมิใช่เรื่องร้ายแรง ออเดรย์กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง

อีกไม่นานเราก็จะได้ทราบความจริงจากปากมิสเตอร์เวิร์ล…

หวังว่านอกจากสงครามเต็มรูปแบบ หลังจากนี้จะไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอีก…สงครามที่สถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว…

กรุงเบ็คลันด์ เขตเหนือ ชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล

มิสเตอร์ฟูลมิได้รับปากว่าจะช่วยเรา…เอ็มลินไวท์ขมวดคิ้วขณะถือแก้วของเหลวสีแดง

มันถอดความหมายเชิงสัญลักษณ์ของวิวรณ์ในอีกแง่มุมหนึ่ง

มิสเตอร์ฟูลเน้นย้ำว่าชุมนุมทาโรต์จะถูกจัดขึ้นตามปรกติในช่วงบ่าย…หรือท่านกำลังบอกเป็นนัยว่า โอกาสรอดของเราขึ้นอยู่กับสมาชิกคนใดคนหนึ่งของชุมนุม? ยังคงเป็นมิสเตอร์สตาร์อยู่ไหม?

อึก…ไม่ว่าจะออกหน้าไหน เราคงออกไปจากที่นี่ได้ในสัปดาห์นี้…

เนื่องจากเอ็มลินถูกขังไว้หลังประตูยานิสของวิหารนักบุญแซมมวล ไม่ว่าข้างนอกจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อชายคนนี้ และใช่ว่าเอ็มลินจะแหกคุกและไปเตร็ดเตร่แถวโบราณสถานทูดอร์ได้ง่ายดาย ไคลน์จึงไม่ได้แจ้งเอ็มลินเกี่ยวกับข้อควรระวังเหมือนกับคนอื่น

เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์

หลังจากได้ยินคำตอบจากมิสเตอร์ฟูล เดอร์ริคลุกพรวดจากเตียงด้วยสีหน้าแววตาตื่นเต้นเหนือคำบรรยาย

มิสเตอร์ฟูลยังไม่หายไปไหน! พระองค์มิได้ทอดทิ้งเมืองเงินพิสุทธิ์เหมือนกับพระผู้สร้างแท้จริง!

เด็กหนุ่มเดินวนเวียนไปมาสักพัก ภายในใจอยากรีบวิ่งออกจากห้องและมุ่งหน้าไปยังหอคอยแฝดเพื่อแจ้งข่าวดีกับเจ้าเมือง

แต่การเติบโตตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาทำให้เด็กหนุ่มยั้งคิด มันรีบสงบจิตใจและเลือกที่จะเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์เพื่อถามความยินยอมจากมิสเตอร์ฟูลเสียก่อน ดูว่าอีกฝ่ายต้องการประทานพรให้เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์หรือไม่

บางทีการที่พระองค์ไม่ตอบสนองเป็นเวลานาน อาจเป็นบททดสอบเพื่อต้องการดูว่าหัวหน้าและเมืองเงินพิสุทธิ์จะหันไปฝักใฝ่พระผู้สร้างเสื่อมทรามในเวลาอันสั้นหรือไม่…ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เดอร์ริคมีชุดความคิดคล้ายคลึงกับแฮงแทน

แน่นอนว่ามันมิได้เกิดความคิดในแง่ลบ เพราะจากความเข้าใจที่สั่งสมมา เป็นเรื่องธรรมดาที่ทวยเทพจะทดสอบสาวกของตน แม้แต่พระผู้สร้างเองก็เคยทิ้งตำนานที่คล้ายคลึงกันไว้มากมาย

ไตร่ตรองเสร็จ เดอร์ริคยังคงนั่งไม่ติดเก้าอี้ เอาแต่เดินวนเวียนภายในห้อง

มันตั้งตารอชุมนุมทาโรต์ในช่วง ‘บ่าย’ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ในเมื่อเงินพิสุทธิ์ บนดินแดนเทพทอดทิ้ง ระยะเวลา ‘ยามบ่าย’ เป็นได้เพียงสัญลักษณ์ทางนามธรรม เนื่องจากไม่มีสิ่งใดสามารถระบุเวลาได้ชัดเจนกว่าปริมาณสายฟ้า และสายฟ้าก็แค่ช่วยแบ่งแยกกลางวันกลางคืน

กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันออก บ้านเช่าสองห้องนอน

“ฮะฮะ…” หลังจากได้รับคำตอบจากเดอะฟูล ฟอร์สอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะ

ในฐานะนักเขียนนิยายขายดี จินตนาการของเธอสุดบรรเจิดเสมอ และมักจะนึกถึงเรื่องแย่ ๆ มากมายในช่วยที่มิสเตอร์ฟูลหายไป

มิสเตอร์ฟูลยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อขัดขวางการเถลิงบัลลังก์ของจอร์จที่สาม

เหล่าทวยเทพล่วงรู้แผนการของพระองค์และทำการล้อมโจมตี

แผลเก่าของเดอะฟูลกำเริบจนต้องหลับใหลไปอีกครั้ง เมื่อเดอะเวิร์ลที่เป็นข้ารับใช้ปราศจากเทพคุ้มครอง ศัตรูจึงรวมตัวกันไล่ล่า

แม้บทนิยายเหล่านี้จะมีเส้นเรื่องแตกต่างกัน แต่จุดจบก็มีเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ฟอร์สวอลล์ได้ยินเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตูในคืนจันทร์เต็มดวงและกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด

ฟู่ว…ฟอร์สถอนหายใจยาว หันไปกล่าวกับซิลด้วยรอยยิ้มฉาบบนใบหน้า

“วันนี้ฉันเพิ่งได้ตระหนักว่า มิสเตอร์ฟูลคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน…ไม่สิ คือเทพ”

“เธอควรรีบกลายเป็นครึ่งเทพและขจัดคำสาปของพระจันทร์เต็มดวงให้ได้ด้วยตัวเอง…” ซิลตอบขึงขัง

หลังจากเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ เธอย่อมทราบถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของเพื่อนสนิท

“ใช่!” ฟอร์สพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “แต่ไม่ว่าจะยังไง นี่คือช่วงเวลาที่ต้องฉลองด้วยไวน์สักแก้ว!”

เหนือสายหมอกสีเทา ภายในปราสาทต้นกำเนิด

หลังจากสงบสติอารมณ์ ไคลน์เข้าฌานเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณ

ในตอนแรกที่เรียนการเข้าฌาน เราถูกตอนว่าหลักสำคัญคือการจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่มีจริงในโลก และนำสิ่งนั้นมาวาดเป็นภาพในใจ…ตอนนั้นเราพยายามวาดขีปนาวุธข้ามทวีปจากโลกเก่า แต่กลับทำไม่สำเร็จ…หึหึ ในตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ดูเหมือนว่านั่นจะมีประเด็นแอบแฝง…ขีปนาวุธไม่ใช่สิ่งของจากนอกโลก แต่ถูกฝังไว้ในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้…ไคลน์ลูบหน้าผากพลาดหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต

มันเพ่งสมาธิและเตรียม ‘ศึกษา’ สูตรโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ก่อนที่ชุมนุมทาโรต์จะเริ่มขึ้น

ในสถานการณ์ที่กำลังถูกอามุนด์เฝ้าศพ ไคลน์ไม่มีทางเลือกนอกจากหมกตัวอยู่ในปราสาทต้นกำเนิด

ไตร่ตรองสักพัก ชายหนุ่มคว้าแขนออกไปนอกโครงสร้างวังโบราณและหยิบวัตถุออกจากช่องว่างทางประวัติศาสตร์ของสายหมอก

เป็นสมุดบันทึกที่ปกทำจากกระดาษแข็งสีดำสนิท

บันทึกตระกูลอันทีโกนัส!

ชัดเจนแล้วว่า มันไม่ใช่เอกลักษณ์ของเส้นทาง เป็นแค่วัตถุที่แฝงเศษเสี้ยวพลังของฮาล์ฟฟูลแห่งตระกูลอันทีโกนัส…ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก โยนสมุดบันทึกลงบนโต๊ะทองแดงยาวด้านหน้า

เนื่องจากเนื้อหาของสมุดบันทึกอาจเป็นปัญหา ไคลน์จึงไม่อยากเสี่ยงเปิดอ่านโดยตรง แต่จะใช้เป็นสื่อกลางในการทำนายถึงอันทีโกนัส

ถัดมาไคลน์เสกกระดาษและปากกาพร้อมกับเขียนประโยคทำนาย

“เจ้าของเดิมของสมุดเล่มนี้”

วางปากกาลง ถือกระดาษทำนายไว้ในมือข้าง สมุดบันทึกในมืออีกข้าง ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้พลางพึมพำเสียงต่ำ

เมื่อครบเจ็ดครั้ง มันถูกส่งเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันสีเทา มองเห็นยอดเขาสูงตระหง่านท่ามกลางเมฆขาว เห็นพระราชวังโบราณทรุดโทรมที่ด้านบนสุดของยอดเขาหลัก มันถูกกีดกันออกจากความจริงด้วยขอบเขตที่มองไม่เห็น

ภายในวังเต็มไปด้วยวัชพืชและตะไคร่น้ำ สุดปลายห้องโถงมีบัลลังก์หินขนาดใหญ่ที่เลี่ยมด้วยอัญมณีและทองคำหม่น หนอนโปร่งใสจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเกาะกลุ่มดีดดิ้นยุบพองในจุดดังกล่าว แผ่กิ่งก้านหนวดรยางค์ล่องหนที่มันลื่นและปกคลุมไปด้วยลวดลาย

แต่ต่างจากสมัยก่อน ครั้งนี้ไคลน์มองเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

ทันใดนั้นพระราชวังเหนือสายหมอกสีเทาพลันสั่นสะเทือนรุนแรง จิตของไคลน์ลอยสูงขึ้นไปในอากาศ

วินาทีถัดมาร่างวิญญาณชายหนุ่มพังครืน กลายเป็นหนอนวิญญาณจำนวนมากที่นอนดีดดิ้นไปมาบนพื้น

ปราสาทต้นกำเนิดสั่นไหวหนึ่งครั้ง ส่งผลให้ทุกสิ่งกลับคืนสภาพเดิม ร่างวิญญาณของไคลน์กลับมารวมตัวเป็นรูปร่าง

บนเก้าอี้เดอะฟูล ชายหนุ่มลูบหน้าผากพลางยิ้มขื่นขม

นึกแล้วเชียว…ฮาล์ฟฟูลผู้ถือครองเอกลักษณ์…

กล่าวจบ ไคลน์นึกทบทวนสักพักก่อนจะเสกปากกาเขียนความรู้ที่ตนได้รับลงบนกระดาษ

“ลำดับสอง ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์”

“วัตถุดิบหลัก: หัวใจของหมาป่าอสูรทมิฬ (เทพแห่งความปรารถนา) หรือตะกอนพลังของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ตนอื่น”

“วัตถุดิบเสริม: เลือดของหมาป่าอสูรทมิฬสามร้อยมิลลิมิตร หนอนกาลเวลาหนึ่งตัว และหนอนดวงดาวหนึ่งตัว”

“พิธีกรรม: นำชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่หายไปกลับคืนมายังยุคสมัยปัจจุบัน”

…………………………