เวลาเที่ยงวัน ในห้องโถงใต้ดินแห่งหนึ่งของป้อมปราการไท่เทียน
ห้องโถงรูปวงกลมขนาดราวร้อยกว่าจั้งแลดูกว้างขวางยิ่งนัก รอบด้านวางเก้าอี้ศิลาราวร้อยกว่าตัวล้อมพื้นที่ว่างตรงกลางเอาไว้
เวลานี้เก้าอี้ศิลาเกือบครึ่งในนั้นมีผู้ฝึกฝนของกองทัพแสงทองที่สวมชุดเกราะสีน้ำเงินนั่งอยู่ หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่ก็อยู่ในนั้นด้วย
ส่วนใหญ่ทุกคนกำลังจับกลุ่มพูดคุยอะไรกันอยู่เสียงเบา แต่ก็มีบางคนที่สนใจแต่จะหลับตาทำสมาธิ
“ผู้ที่อยู่ที่นี่น่าจะล้วนเป็นสมาชิกที่เข้าร่วมหน่วยปฏิบัติการพิเศษครั้งนี้สินะ บางคนดูไม่คุ้นตาอยู่บ้าง” หลิ่วหมิงมองผู้คนรอบด้านเหมือนไม่ใส่ใจแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“จะว่าไป ศิษย์น้องหลิ่วก็เข้ามาในทางปีศาจร้ายได้ห้าปีแล้ว แต่ในกองทัพก็นับได้ว่าเป็นหน้าใหม่เท่านั้น ไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่แปลก คนเหล่านี้ที่นี่บางคนเป็นหัวหน้าหน่วยย่อยของกองทัพแสงทอง ที่เหลือขั้นต่ำก็เป็นยอดฝีมือระดับแก่นเสมือน ในหมู่พวกเขา คนที่อยู่ในทางปีศาจร้ายแห่งนี้มายาวนานที่สุดอยู่มาไม่น้อยกว่าร้อยปี ไม่เพียงมีความชอบในการรบโดดเด่นในกองทัพ บางคนยังเคยร่วมสงครามใหญ่กับกองทัพผีเมื่อร้อยปีก่อนด้วย” เสี่ยวอู่ได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ อธิบายกับหลิ่วหมิง
เวลานี้เองเสียงฝีเท้ากระทบพื้นก็ดังจากที่ไกลเคลื่อนเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มผมสีเงินดวงหน้างามหมดจดผู้หนึ่งเยื้องย่างเชื่องช้าเข้ามาในห้องโถงแล้วยืนนิ่งตรงพื้นที่ว่างกลางหมู่เก้าอี้ศิลา
“ข้าน้อยเฉาฉางเฮ่อเป็นหัวหน้าของหน่วยชั่วคราวครั้งนี้” ชายหนุ่มผมเงินใช้สายตากวาดมองผู้คนอย่างช้าๆ แล้วพยักหน้าให้ทุกคนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
“พี่เฉา คิดไม่ถึงว่าเบื้องบนจะส่งท่านมา ข้าคิดว่าท่านออกจากทางปีศาจร้ายไปแล้วเสียอีก” บุรุษวัยกลางคนผมหยิกผู้หนึ่งเห็นเช่นนี้ก็รีบลุกขึ้นยืน ประสานมือคำนับเขาอย่างนอบน้อม
ผู้คนที่เหลือก็พากันหยุดสิ่งที่ทำอยู่เช่นกัน คนส่วนใหญ่ลุกขึ้นคำนับ
เหมือนชายหนุ่มผมเงินผู้นี้จะมีชื่อเสียงไม่น้อยจริงๆ
“ยามนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ พวกเราไม่จำเป็นต้องพิธีรีตอง เข้าประเด็นหลักเลยแล้วกัน คิดว่าทุกคนคงได้ยินมาแล้ว กองทัพผีร้ายที่มาจู่โจมครั้งนี้ขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน หลายวันมานี้เมืองหลักทั้งสี่แห่งต่างถูกผลัดกันล้อมโจมตี สถานการณ์ตึงเครียดอย่างยิ่ง แม้ตอนนี้ป้อมปราการไท่เทียนจะยังไม่ถูกโจมตี แต่เมื่อคำนึงถึงความสำคัญของที่แห่งนี้ หากถูกตีแตก การติดต่อระหว่างเมืองหลักทั้งสี่ก็คงถูกตัดขาดไปด้วย ยามนั้นเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าแต่ลเมืองจะถูกตีแตก ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงจะชะล่าใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว”
เฉาฉางเฮ่อชายหนุ่มผมเงินพูดพลางโบกมือให้ทุกคน บอกเป็นนัยให้ทุกคนนั่งลง หลังจากหยุดครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยต่ออย่างเคร่งขรึม
“หลังจากผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์หลายท่านที่นี่หารือกัน กลยุทธ์ความร่วมมือครั้งนี้ของพวกเราได้แบ่งงานกันชัดเจนแล้ว เมื่อศึกใหญ่เริ่มขึ้น กองทัพแสงทองจะรับผิดชอบมหาค่ายกลชั้นจำกัดของป้อมปราการไท่เทียนหรือก็คือกำแพงรอบนอกสุดของป้อมปราการทั้งหมดเป็นหลัก และหน่วยของพวกเราจะไม่เพียงรับผิดชอบมหาค่ายกลชั้นจำกัดของที่แห่งนี่ แต่ยังรับผิดชอบเป็นกองกำลังพิเศษของป้อมปราการเตรียมพร้อมออกโจมตีตลอดเวลา เป้าหมายก็คือลอบจู่โจมแม่ทัพระดับสูงในกองทัพผีร้าย”
“ศิษย์พี่เฉา การจะใช้มหาค่ายกลแสงทองต้องใช้กำลังคนจำนวนมากเพื่อคงสภาพ จากที่ข้ารู้มากองทัพแสงทองรวมพวกเราแล้วก็มีผู้ฝึกฝนเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น หากใช้คนจำนวนมากฝืนใช้ค่ายกลนี้เกรงว่าจะคงสภาพไว้ไม่ได้นานสักเท่าไร?” หญิงสาวหน้าตางดงามอีกด้านหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าคลางแคลง
“เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกคนไม่จำเป็นต้องกังวลใจเกินไป จะมีสหายสำนักเฮ่าหรานส่วนหนึ่งรับผิดชอบเสริมความแข็งแกร่งให้มหาค่ายกลแสงทองทั้งหมดด้วย ไม่กี่วันก่อนมอบกระจกแสงทองให้ทุกท่าน คิดว่าทุกท่านคงผูกพันธะเสร็จเรียบร้อย ต่อจากนี้ข้าจะอธิบายสภาพคร่าวๆ ของมหาค่ายกลนี้ให้ทุกท่านฟังสักหน่อย” ผู้ฝึกฝนแซ่เฉาเอ่ยแล้วพลิกมือข้างหนึ่ง แสงสีทองดวงหนึ่งพุ่งออกมาหมุนกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วหยุดลง กลายเป็นกระจกแสงสีทองขนาดหนึ่งฉื่อกว่าบานหนึ่ง ระหว่างที่แสงสีทองเคลื่อนวนก็สาดส่องห้องโถงใต้ดินจนสว่างไสว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ในใจก็ฉุกคิด ฝ่ามือข้างหนึ่งพลิกหงาย ใจกลางฝ่ามือปรากฏกระจกสีทองขนาดเท่าฝ่ามือบานหนึ่งที่บนผิวมีแสงจิตวิญญาณไหลวนอยู่เลือนราง แลดูพลังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม
เขาเล่นกระจกในมืออยู่พักหนึ่ง ข้อมูลเกี่ยวกับค่ายกลแสงทองก็ผุดขึ้นมาในสมองอย่างรวดเร็ว
ค่ายกลแสงทองคือมหาค่ายกลชั้นจำกัดชนิดหนึ่งที่ผสานการโจมตีและการป้องกันให้เป็นหนึ่ง โดยมีบาตรแห่งการสร้างเป็นพื้นฐาน ใช้กระจกสีทองหักเหลำแสงที่พุ่งออกมาจากบาตรแห่งการสร้าง ทำให้แสงสีทองที่เดิมทีมีเพียงเส้นเดียวหักเหทับซ้อนจนกลายเป็นตาข่ายค่ายกลสีทองอันหนึ่งขับไล่ภูตผีในบริเวณกว้างได้
กระจกแสงทองนี่คืออาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่ค่อนข้างพิเศษชิ้นหนึ่ง บนกระจกสลักลวดลายค่ายกลชั้นจำกัดสำหรับหักเหและเพิ่มอิทธิ์ฤทธิ์ไว้มากมาย เมื่อประสานกับค่ายกลจำนวนหนึ่ง จะทำให้ลำแสงที่แผ่ออกมาจากบาตรแห่งการสร้างสำแดงฤทธิ์มากที่สุดได้
แต่ค่ายกลนี้ก็มีจุดอ่อนที่เด่นชัดประการหนึ่ง นั่นก็คือแต่ละครั้งที่ใช้จะไม่อาจคงไว้ได้นานนัก นี่จึงทำให้ระหว่างแสงสีทองที่ส่องออกมามีช่องว่าง
“ค่ายกลแสงทองเป็นค่ายกลลูกโซ่ชุดหนึ่ง หกคนจับกลุ่มเป็นดวงตาค่ายกลขนาดเล็ก สามสิบหกคนสร้างชั้นจำกัดเป็นห่วงโซ่ซ้อนกันทำให้พลังของค่ายกลสำแดงถึงขีดสุด ใจกลางของค่ายกลทั้งชุดหรือก็คือจุดที่ดวงตาค่ายกลขนาดใหญ่กับเล็กซ้อนทับกันซึ่งเป็นจุดสำคัญของค่ายกลชั้นจำกัดทั้งหมด ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบ นี่คือวิธีวางค่ายกลนี้ ต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ” บุรุษผมเงินอธิบายกับทุกคนด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบพลางยกแขนเสื้อ แสงสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าแยกย้ายไปรอบด้านแล้วทยอยร่วงลงในมือของผู้ที่นั่งอยู่อย่างแม่นยำ กลายเป็นคัมภีร์หยกที่ทอแสงสีขาวขมุกขมัวชิ้นแล้วชิ้นเล่า
“ค่ายกลแสงทองนี่ค่อนข้างลี้ลับ เมื่อทำงานอย่างสมบูรณ์ พลังจะไร้ที่สิ้นสุด ข้าเสนอให้อาศัยจังหวะก่อนสงครามใหญ่เริ่มต้นฝึกซ้อมสักหนเพื่อให้พลังของค่ายกลนี้บรรลุถึงจุดสูงสุด” จิตสัมผัสของหลิ่วหมิงกวาดคัมภีร์หยกสีขาวในมืออย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยปากเสนอขึ้นมา
“ผู้นี้คงจะเป็นศิษย์น้องหลิ่วจากนิกายสายในที่เพิ่งมาไม่นานสินะ เจ้าพูดไม่ผิด แต่ค่ายกลนี้ผลาญพลังเวทมากนัก วันนี้กองทัพผีคอยจ้องจะลงมืออยู่ด้านนอก อาจจู่โจมกะทันหันได้ตลอดเวลา ไม่มีเวลาให้พวกเราฝึกซ้อมอีกแล้ว พวกเจ้าจดจำเนื้อหาในคัมภีร์หยกไว้ก่อน ถึงเวลาใช้จริง ตำแหน่งที่ยืนอย่างละเอียดข้าจะจัดการเอง” บุรุษผมเงินได้ยินก็ยิ้มแล้วเอ่ยกับหลิ่วหมิง
“คำพูดนี้ของพี่เฉาพูดถูกที่สุด” บุรุษวัยกลางคนผมหยิกเอ่ยคล้อยตามเป็นคนแรก
ต่อจากนั้นคนที่เหลือก็แสดงออกว่าเห็นด้วยพร้อมกันด้วยไม่ได้นัด
ดังนั้นหลังจากทุกคนหารือกันพักหนึ่ง ตกลงแผนการที่เป็นรูปธรรมได้บ้างแล้ว จึงพากันขอตัวจากไป
หลิ่วหมิงก็ไม่ได้โต้แย้งมากนัก เขากับเสี่ยวอู่เตรียมตัวตามหลังทุกคนออกไป แต่ถูกชายหนุ่มผมเงินเรียกเอาไว้
“ศิษย์น้องหลิ่ว ผลงานของเจ้าที่นิกายสายในข้าได้ยินมาบ้าง แม้วันนี้ยังอยู่ในระดับแก่นเสมือน แต่พลังที่แท้จริงไม่ด้อยกว่าระดับแก่นแท้แน่นอน ทว่าสงครามใหญ่ครั้งนี้ไม่เหมือนภารกิจในอดีตของเจ้า เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพผีขนาดใหญ่ แม้พลังแข็งแกร่งอีกเท่าใดก็จำต้องระวัง ระหว่างภารกิจจู่โจมจำไว้ว่าอย่าสู้จนเพลิน” ชายหนุ่มผมเงินเอ่ยอย่างจริงใจ
“ขอบคุณศิษย์พี่เหยาที่เตือน!” หลังจากหลิ่วหมิงประสานมือให้เขาก็เดินไปนอกห้องโถง
“เด็กคนนี้ลมปราณมั่นคง พลังเวทที่แผ่ออกมา ผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนทั่วไปล้วนไม่อาจเทียบได้ ไม่ธรมดาจริงๆ ผู้อาวุโสเหยากล่าวไว้ไม่ผิด” ชายหนุ่มผมเงินส่งหลิ่วหมิงออกไปเสร็จก็พึมพำกับตนเอง
……
ในห้องลับแห่งหนึ่งบนยอดหอหลักของเมืองจินกวัง
บนพื้นห้องมีลวดลายจิตวิญญาณนับไม่ถ้วนวาดเป็นค่ายกลรูปวงกลมอันหนึ่ง บนค่ายกลมียันต์ที่ทอแสงเรืองๆ สีน้ำเงินอ่อนลอยเคลื่อนอยู่
ผู้เฒ่าแซ่เหยากับบุรุษเส้นผมสีเทาแซมขาวผู้หนึ่งยืนเคียงไหล่กันอยู่ที่มุมหนึ่งของค่ายกล แสงสีน้ำเงินอ่อนหุ้มอยู่รอบตัว
อีกสามตำแหน่งในค่ายกลต่างก็มีกำแพงแสงสีน้ำเงินเรืองๆ เหมือนกันโผล่ออกมา บนกำแพงแต่ละด้านล้วนมีเงาคนร่างหนึ่งหรือสองร่างปรากฏอยู่
“สงครามใหญ่ที่เพิ่งผ่าน ผู้อาวุโสทุกท่านคิดเห็นอย่างไร?” เสียงของผู้เฒ่าแซ่เหยาดังขึ้น ขณะที่สายตากวาดมองกำแพงแสงสามด้านอย่างเชื่องช้า
ผู้ที่ปรากฏตัวล้วนเป็นผู้ควบคุมสี่กองทัพใหญ่ในทางปีศาจร้าย พวกเขาล้วนเป็นยอดผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์
“แม้จะบอกว่าเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของพวกเรา แต่ชนะง่ายเกินไปอยู่บ้าง…คิดว่าทุกคนคงรู้สึกเช่นนี้เหมือนกันสินะ?” ผู้อาวุโสนิกายเทียนกงคนหนึ่งยืนอยู่ในกำแพงแสงด้านซ้ายสุด เขาเป็นบุรุษวัยกลางคนรูปร่างผอมสูง เส้นผมขาวทั้งศีรษะ
“อืม ข้าก็คิดเช่นนี้” ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ของสำนักเฮ่าหรานในกำแพงแสงด้านขวาเป็นบุรุษหล่อเหลาสวมชุดบัณฑิตที่ดูอายุเพียงสามสิบกว่าปีคนหนึ่ง ตรงกลางหว่างคิ้วของเขามีจุดสีแดงจุดหนึ่งคล้ายไฝเสน่ห์ตามที่โบราณว่าไว้
“ทั้งสองท่านคิดมากเกินไปหรือไม่? สี่กองทัพใหญ่ของพวกเราเตรียมตัวอย่างเต็มที่มาหลายสิบปีเพื่อศึกครั้งนี้ แม้จะชนะง่ายไปบ้างแต่ความจริงก็เป็นเรื่องปกติ” บนกำแพงแสงตรงกลางมีเงาร่างของผู้ที่สวมชุดนิกายปีศาจลี้ลับสองคนยืนเคียงกันอยู่ ผู้ที่พูดคือชายหนุ่มคิ้วยาวชุดสีดำฝั่งซ้าย เขาดูเหมือนเป็นผู้อ่อนวัยที่สุดในหมู่ทุกคนที่นี่ ข้างกายเขามีหญิงสาววัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปีนางหนึ่งยืนอยู่ด้วย
“ทุกท่านล้วนอยู่ในทางปีศาจร้ายมานานปี พลังของกองทัพผีร้ายที่แท้เป็นอย่างไร ในใจล้วนรู้อยู่ แน่นอนว่าพวกมันไม่มีทางอ่อนแอเช่นนี้แน่” ผู้อาวุโสเหยาส่ายศีรษะเอ่ยขึ้นมา
“พี่เหยามองอะไรออกงั้นหรือ? เชิญสั่งสอนอย่าได้ถี่เหนียว” หญิงวัยกลางคนจากนิกายปีศาจลี้ลับเหล่มองชายหนุ่มคิ้วยาวข้างกายทีหนึ่งเหมือนไม่พอใจแล้วหันไปเอ่ยกับผู้เฒ่าแซ่เหยา
ชายหนุ่มคิ้วยาวขมวดคิ้วแต่เหมือนเขาจะค่อนข้างหวั่นเกรงหญิงวัยกลางคนจึงไม่ได้เอ่ยอันใด
“มิกล้า เพียงแต่ศึกแรกครั้งนี้ แม้จำนวนกองทัพผีร้ายที่โจมตีเมืองจินกวังจะมาก แต่ภูตผีระดับแม่ทัพเหมือนจะไม่มาก มิเช่นนั้นคงไม่พ่ายแพ้ถอยร่นไปง่ายดาย” ผู้เฒ่าแซ่เหยาเอ่ยเรียบๆ
“อ้อ? เรื่องเป้าหมายของกองทัพผีร้าย พี่เหยามีเงื่อนงำหรือ?” หญิงวัยกลางคนเลิกคิ้ว เอ่ยถามตามมาติดๆ
“ฮูหยินฉีมองข้าสูงเกินไปแล้ว ข้าก็ไม่มีเงื่อนงำเช่นกัน แค่คาดเดาในใจเท่านั้น” ผู้เฒ่าแซ่เหยาส่ายศีรษะพลางยิ้มบอก
“เหอะ!” ชายหนุ่มคิ้วยาวสีดำแค่นเสียงหยัน สีหน้าเหมือนดูแคลน
ดวงตาผู้เฒ่าแซ่เหยาทอประกายประหลาดวูบหนึ่ง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบบนใบหน้าก็ยังคงรักษารอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้คล้ายกับว่าไม่ได้ยินเสียงแค่นหยันของชายหนุ่มชุดดำ
หญิงวัยกลางคนเห็นเช่นนี้กลับสีหน้าบึ้งตึง กำแพงแสงสีน้ำเงินที่พวกเขาอยู่จู่ๆ ก็พร่ามัวไปวูบหนึ่ง เห็นไม่ชัดว่าด้านในที่แท้เกิดอะไรขึ้น
คนที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็เงียบไป
ครู่หนึ่งให้หลังกำแพงแสงสีน้ำเงินฝั่งนิกายปีศาจลี้ลับจึงฟื้นกลับคืนเป็นสภาพเดิม เผยเงาชายหนุ่มคิ้วยาวกับหญิงวัยกลางคนออกมาอีกครั้ง แต่สีหน้าของชายหนุ่มคิ้วยาวไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง เขาเพียงยืนตรงอยู่ด้านข้าง ไม่พูดไม่จา
“ศิษย์น้องคนนี้ของข้าเพิ่งเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ไม่นาน เลือดลมพลุ่งพล่านอยู่บ้าง ขอพี่เหยาอย่าได้ถือสา” หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างขออภัย