ตอนที่ 1033 ซับซ้อนชวนสับสน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ผู้เฒ่าแซ่เหยามีชีวิตมาไม่รู้กี่ปีแล้วย่อมชาญฉลาด เขาฟังแล้วจึงแย้มยิ้มแต่ไม่พูดอันใด

“ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็แบกความไว้วางใจของนิกายทำหน้าที่คุ้มครองประตูทางเข้าของทางปีศาจร้ายแห่งนี้อยู่ ฉะนั้นทุกสิ่งระวังไว้เป็นดี” บุรุษผมขาวของนิกายเทียนกงเอ่ยปากอย่างนิ่งสงบ

คนอื่นก็พากันพยักหน้า มีเพียงชายหนุ่มคิ้วยาวของนิกายปีศาจลี้ลับเท่านั้นที่ไม่ค่อยเห็นด้วยอยู่บ้าง แต่มีสายตาเข้มงวดของหญิงวัยกลางคนข้างตัวจับจ้อง เขาจึงไม่พูดอะไรมาก

“จริงสิ พี่เหยา พี่เว่ย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสหั่วเยี่ยของนิกายท่านยามนี้อยู่ที่ใด ในเมื่อครั้งนี้กองทัพผีร้ายกล้ายกพลใหญ่โจมตีเมืองใหญ่ทั้งสี่ของพวกเรา เกรงว่าจะมีความมั่นใจบางอย่าง หากภูตอนธการลงมือเอง อาศัยเพียงพวกเราคงต้านทานไว้ไม่ได้แน่” บุรุษผมขาวของนิกายเทียนกงฉับพลันเลิกคิ้วเอ่ยต่อ

เมื่อคนที่เหลือได้ฟังก็เผยสีหน้าจริงจังออกมาด้วย

“ทุกท่านโปรดวางใจ ผู้อาวุโสหั่วเยี่ยของนิกายเราเวลานี้อยู่ใกล้กับหุบเขามืด หากผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ของอีกฝ่ายลงมือ ท่านผู้เฒ่าจะต้องไม่นิ่งดูดายแน่นอน” บุรุษวัยกลางคนผมสีเทาด้านข้างผู้เฒ่าแซ่เหยาที่เงียบมาตลอดจู่ๆ ก็เอ่ยปากพูด

“หากเป็นเช่นนี้ พวกเราก็วางใจแล้ว ยามนี้สถานการณ์ศึกตึงเครียด พวกเราไม่สะดวกสนทนามาก คงต้องขอตัวก่อน” บุรุษผมขาวพยักหน้าจากนั้นยกมือขึ้นเบาๆ กำแพงแสงสีน้ำเงินฝั่งซ้ายที่เขาอยู่พลันสลายกลายเป็นละอองแสงสีน้ำเงินหายไปกลางอากาศอย่างเงียบเชียบ

ต่อมาบุรุษหล่อเหลาผู้สวมชุดบัณฑิตจากสำนักเฮ่าหรานกับหญิงงามวัยกลางคนจากนิกายปีศาจลี้ลับบนกำแพงตรงกลางกับฝั่งขวาก็ทยอยเอ่ยปากขอตัวบ้าง พวกเขายกมือข้างหนึ่งขึ้นใช้เคล็ดวิชา กำแพงแสงสีน้ำเงินสองด้านก็สลายหายไปตามกัน

ผู้เฒ่าแซ่เหยาเห็นเช่นนี้ก็ถอยออกมาจากค่ายกลพร้อมกับบุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาแล้วท่องมนตร์แผ่วเบา ค่ายกลรูปวงกลมบนพื้นหม่นแสงลงในทันที

ห้องฟื้นกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

ผู้เฒ่าแซ่เหยาขมวดคิ้ว เขาหันกายมาหมายจะพูดอะไรกับบุรุษเส้นผมสีเทาด้านข้าง ทันใดนั้นเสียงฝีเท้ารีบร้อนก็ดังจากไกลเข้ามาใกล้ ฝีเท้าก้าวเร็วไวมาถึงประตูห้อง

“เรียนผู้อาวุโสทั้งสอง เมื่อครู่ได้รับข่าวว่าป้อมปราการนอกเมืองถูกกองทัพผีร้ายขนาดใหญ่จู่โจมกะทันหัน อีกทั้งการโจมตีรุนแรงอย่างยิ่ง มีป้อมปราการสองแห่งแตกไปแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นนอกประตู

ผู้เฒ่าแซ่เหยากับบุรุษวัยกลางคนผมเทาล้วนตกตะลึง พวกเขาเปิดประตูอย่างรวดเร็ว ผู้ที่อยู่ด้านนอกก็คือบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่ผู้อาวุโสฝ่ายดำเนินการของที่แห่งนี้ สีหน้าแลดูร้อนรนยิ่งนัก

“เล่าสถานการณ์อย่างละเอียดให้พวกข้าฟังก่อน” ผู้เฒ่าแซ่เหยาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

……

ในเวลาเดียวกันนี้ ห่างไปหลายพันลี้ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองจินกวัง บนไหล่เขาของภูเขาที่สูงชันแห่งหนึ่ง ป้อมปราการหมายเลขสิบแปดของกองทัพแสงทองตั้งอยู่ที่นี่

ยามนี้ด้านนอกป้อมปราการ ปราณดำกับไอหมอกเวียนวนปกคลุมผืนฟ้ากว่าครึ่งเอาไว้

ท่ามกลางปราณสีดำ ผีร้ายที่สวมชุดเกราะโบราณมากมายกำลังล้อมป้อมปราการไว้ในวงล้อม

ชั่วขณะหนึ่งเสียงคำรามและเสียงระเบิดดังประสานกันก้องกังวานไปทั่วทั้งขุนเขา

เมื่อผีรองแม่ทัพที่เป็นหัวหน้าสั่งการ การโจมตีก็โหมกระหน่ำพุ่งเร็วรี่มาจากทั่วทุกสารทิศดั่งเม็ดฝน แล้วร่วงใส่กำแพงแสงป้องกันที่ทอแสงสีน้ำเงินอยู่รอบนอกป้อมปราการทั้งหลัง

แม้กำแพงแสงป้องกันจะทอแสงสีน้ำเงินวูบวาบหลายครั้งแต่ก็ยังขวางการโจมตีทั้งหมดไว้ได้

ศิษย์ที่ประจำการอยู่ในป้อมปราการหลายสิบคนสีหน้าตึงเครียด พวกเขากุมธงค่ายกลในมือไว้แล้วพยายามถ่ายเทพลังเวทเข้าไปด้านในสุดชีวิต ลำแสงสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากธงค่ายกลผสานเข้ากับกำแพงป้องกันด้านนอกอย่างรวดเร็ว

บนแท่นสูงตรงกลางหมู่ศิษย์ที่เฝ้าป้อม บุรุษผู้สวมชุดหัวหน้าหน่วยย่อยของกองพลที่สองแห่งกองทัพแสงทองคนหนึ่งกำลังถือแผ่นค่ายกลส่งสารทรงสี่เหลี่ยมชิ้นหนึ่งอยู่ในมือและกำลังบอกเล่าบางสิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ตอนนี้กองทัพผีร้ายที่ล้อมป้อมปราการอยู่มีจำนวนเท่าไร” เสียงหนึ่งดังออกมาจากในแผ่นค่ายกล

“อย่างน้อยก็มีมากกว่าพันตน ผู้ที่นำทัพคือผีแม่ทัพระดับแก่นแท้สามตน…หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ค่ายกลป้องกันของป้อมปราการคงใกล้จะทานไม่ไหวแล้ว ขอความช่วยเหลือจากกองทัพอย่างเร่งด่วน” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยเสียงร้อนรน

“ทนอีกหน่อย หน่วยย่อยของกองกำลังหลักสองหน่วยกำลังอยู่ระหว่างทาง คาดว่าอีกหนึ่งก้านธูปก็จะไปถึงแล้ว…”

ปรากฏว่าเสียงในแผ่นค่ายกลยังไม่ทันเอ่ยจบ เสียงดังสนั่นก็ดังมาจากด้านนอก ป้อมปราการทั้งหลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จุดหนึ่งบนกำแพงแสงป้องกันเกิดรอยร้าวจำนวนหนึ่ง

ศิษย์หลายสิบคนในป้อมปราการเห็นภาพนี้พลันหน้าถอดสีในทันใด

นอกป้อมปราการ ผีแม่ทัพร่างกายมหึมาสามตนลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือหมู่ทหารผีของกองทัพผีร้ายที่ล้อมโจมตีป้อมปราการ

“พวกเจ้าสองตนไปช่วยอีกแรง ใกล้จะจัดการเผ่ามนุษย์เหล่านี้ได้แล้ว เบื้องบนสั่งว่าอย่าให้เหลือคนรอดแม้แต่คนเดียว!” ผีแม่ทัพที่เป็นหัวหน้ามีใบหน้าเหี้ยมเกรียมและมีเขางอกอยู่บนศีรษะเขาหนึ่งเขามองรอยร้าวบนกำแพงแสงป้องกันเบื้องล่างแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา

ผีแม่ทัพอีกสองตนขานรับ ผีแม่ทัพหน้าดำที่สะพายถุงลูกศรบนแผ่นหลังก้าวมาข้างหน้าแล้วถูฝ่ามือ บนฝ่ามือพลันมีแสงสีดำส่องสว่าง คันศรยาวสีดำสนิทคันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา

ทันใดนั้นตัวคันศรก็มีอสนีบาตสีดำสนิทหลายเส้นพุ่งออกมา เสียงอสนีบาตคำรนดังขึ้นไม่ขาด

มืออีกข้างหนึ่งของเขาเกี่ยวลูกศรสีแดงฉานยาวสองฉื่อกว่าดอกหนึ่งออกมาจากถุงลูกศรบนแผ่นหลังเบาๆ จากนั้นทาบลงบนคันศรอย่างชำนิชำนาญ เขาน้าวสายศรอย่างเชื่องช้าเล็งไปยังป้อมปราการด้านล่าง

อสนีบาตสีดำกับเปลวเพลิงสีแดงฉานเกี่ยวกระหวัดประสานกันบนลูกศร เสียงครืนดังสนั่น แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลสายหนึ่งปรากฏออกมากะทันหันแล้วแผ่ขยายไปรอบทิศดุจดั่งคลื่นลูกยักษ์

ผีแม่ทัพใบหน้าสีน้ำเงินเขี้ยวโง้งอีกตนหนึ่งก็พลิกมือเรียกดาบใหญ่หัวผีเก้าห่วงเหล็กที่มีปราณสีเทาวนเวียนเล่มหนึ่งออกมา เสียงภูตผีร่ำไห้โหยหวนดังเลือนรางออกมาจากห่วงเหล็กที่สั่นไหว ลมปราณเย็นยะเยือกสายหนึ่งแผ่ออกมาจากตัวดาบ

ในป้อมปราการ บุรุษวัยกลางคนระดับแก่นแท้สัมผัสได้ว่าด้านนอกมีแรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลสองสายปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ใบหน้าจึงเผยสีหน้าสิ้นหวัง

เปรี้ยง!

ลูกศรอสนีบาตอัคคีมหึมาดอกหนึ่งโจมตีลงบนเกราะแสงสีน้ำเงินรอบนอกป้อมปราการ เกราะแสงที่เดิมทีเต็มไปด้วยริ้วรอยกะพริบวูบวาบเพียงสองครั้ง ในที่สุดก็พังทลายลงดังครืน

ต่อจากนั้นแสงดาบสีเทายาวหลายสิบจั้งสายหนึ่งก็ส่องแสงแล้วฟันลงบนป้อมปราการอย่างหนักหน่วง

เมื่อไม่มีเกราะแสงป้องกัน ป้อมปราการจึงไม่อาจทนรับแสงดาบมหึมาเช่นนี้ได้สักนิด ป้อมปราการทั้งหลังถูกฟันขาดกลางกลายเป็นสองซีกในดาบเดียว

เพียงชั่วอึดใจป้อมปราการที่ตั้งอยู่บนไหล่เขาก็ส่ายโงนเงน เศษศิลาปลิวว่อน

ผีร้ายมากมายเห็นเช่นนี้พลันกรีดร้องอย่างตื่นเต้นยินดี พวกมันทะลักเข้ามาจากช่องโหว่เบื้องล่างดุจคลื่นน้ำ พริบตาท่วมทับทั้งป้อมปราการ

……

ทางใต้ของหุบเขามืดเป็นทิวเนินเขาสีเทาขขมุกขมัวแห่งหนึ่ง เกือบหมื่นลี้รอบด้านล้วนมีแต่เขารกร้างสูงต่ำทอดยาว

บนเนินเขาลูกหนึ่งมีป้อมปราการที่หลงเหลือเพียงซากปรักหักพังแห่งหนึ่งตั้งอยู่เดียวดาย คล้ายกับเพิ่งถูกทำลายไม่นาน

ด้านในและด้านนอกป้อมปราการมีเศษหินเศษอิฐร่วงเกลื่อนกลาด ท่ามกลางเศษซากเหล่านั้นมีศพของผู้ฝึกฝนที่สวมชุดเกราะสีน้ำตาลทองกระจายอยู่ทั่ว บางศพแหว่งวิ่นทนดูไม่ได้ แขนขาดขาขาด เลือดเจิ่งนองพื้น

นอกเหนือจากนี้ยังมีเศษซากหุ่นขนาดยักษ์อีกไม่น้อยกระจัดกระจายไปทั่ว

ภาพที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ นอกเมืองหลักของกองทัพใหญ่ทั้งสี่

ผ่านไปไม่นานผู้อาวุโสระดับสูงของกองทัพทั้งสี่ก็ได้รับรายงาน ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งวันป้อมปราการหลายแห่งของกองทัพทั้งสี่ก็ถูกกองทัพผีโจมตีสายฟ้าแลบอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ไม่เหลือคนรอดแม้แต่คนเดียว

……

ณ ห้องลับในเมืองจินกวัง ผู้เฒ่าแซ่เหยากับบุรุษวัยกลางคนผมสีเทายืนข้างกันอยู่หน้าค่ายกลรูปวงกลมที่ทอแสงสีน้ำเงินหม่นอีกครั้ง พวกเขาคิ้วขมวดเป็นปม ท่าทางหนักใจยิ่งนัก

“คิดไม่ถึง ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันพวกเราก็พบหน้ากันอีกแล้ว” บนกำแพงแสงผืนหนึ่งฝั่งซ้ายด้านหน้าทั้งสองคน บุรุษวัยกลางคนผมขาวแห่งนิกายเทียนกงหัวเราะฝืดๆ

“การเคลื่อนไหวของกองทัพผีร้ายจริงลวงปะปนยากคาดเดา ยากจะป้องกันอย่างจริงแท้ ดูท่าคงไม่ต้องพูดอันใดมาก ทุกท่านคงพบการโจมตีของกองทัพผีไม่ต่างกัน พี่เหยา ทางท่านมีข้อเสนอแนะดีๆ อันใดหรือไม่” บุรุษผู้หล่อเหลาแห่งสำนักเฮ่าหรานบนกำแพงแสงฝั่งขวาสีหน้าถมึงทึง

“จนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังสืบไม่กระจ่างว่าอีกฝ่ายมีกำลังทหารเท่าไรกันแน่ ยามนี้จึงได้แต่ป้องกันเป็นหลักไปก่อน รอหลังจากรู้สถานการณ์ชัดเจนขึ้นจึงค่อยคิดอ่านประการอื่น” ผู้เฒ่าแซ่เหยาส่ายศีรษะ

“จุดนี้ ข้าก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง พวกเราอาจพิจารณาทิ้งป้องปราการขนาดเล็กเหล่านั้นแล้วหดแนวป้องกัน รวมกำลังไว้ที่เมืองหลักกับป้อมปราการขนาดใหญ่ใกล้ๆ” หญิงงามวัยกลางคนจากนิกายปีศาจลี้ลับบนกำแพงแสงตรงกลางเอ่ยเช่นนี้ ชายหนุ่มคิ้วยาวคนนั้นข้างตัวนางไม่ทราบไปที่ใดแล้ว

“ข้อเสนอนี้ข้าเห็นด้วย อีกอย่างข้าเสนอให้พวกเราสี่เมืองหลักอย่าได้เคลื่อนพลไปช่วยเหลือง่ายๆ เว้นเสียแต่จะจำเป็นจริงๆ ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม ตลอดมากองทัพผีไม่ถนัดศึกยืดเยื้อ พวกเรานิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว นิ่งรอจังหวะที่ดีในการโต้กลับแล้วค่อยว่ากัน” บุรุษวัยกลางคนผมขาวแห่งนิกายเทียนกงครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยเช่นนี้

“ในเมื่อทุกท่านหารือกันเรียบร้อยแล้ว ข้าก็ไม่มีความเห็นอันใด ทำตามนี้เถิด” ผู้เฒ่าแซ่เหยาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า

บุรุษหล่อเหลาจากสำนักเฮ่าหรานย่อมไม่มีความเห็นประการใด

แสงสีน้ำเงินกะพริบอย่างเงียบเชียบพักหนึ่ง กำแพงแสงสีน้ำเงินสามด้านก็ทยอยสลายไปจากตรงหน้า

“พี่เหยา หากพวกเราเฝ้าอยู่กับฐานที่มั่นกันหมดจริงๆ ก็เท่ากับปล่อยป้อมปราการไท่เทียนเปิดโล่งอยู่ตรงหน้ากองทัพผี แม้ป้อมปราการแห่งนี้จะตั้งอยู่ระหว่างกลางเมืองหลักทั้งสี่ของพวกเรา อีกทั้งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีกองทัพผีขนาดใหญ่ปรากฏ แต่ในใจข้ารู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง อย่างไรหากที่แห่งนี้ล่ม พวกเราก็จะถูกแยกให้โดดเดี่ยวตกเป็นฝ่ายรับอย่างสิ้นเชิง ทันทีที่ถูกกองทัพผีวางชั้นจำกัดปิดกั้น เกรงว่ากระทั่งส่งข่าวสารระหว่างกันเช่นนี้ก็คงไม่อาจทำได้” ระหว่างที่ทั้งสองคนเดินออกมาจากในห้องลับ บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาก็พลันเอ่ยขึ้นมา

“เรื่องเหล่านี้ข้าย่อมรู้ แต่ยามนี้พวกเราอยู่ในที่แจ้ง กองทัพผีอยู่ในที่ลับ สถานการณ์เช่นนี้ยากหลีกเลี่ยง เทียบกับเรื่องนี้ อย่างไรความปลอดภัยของเมืองจินกวังที่เป็นเมืองหลักก็สำคัญที่สุด อีกประการพวกเราสี่กองทัพใหญ่ก็มีมาตรการป้องกันเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว ข้าโยกย้ายเฉาฉางเฮ่อไปชั่วคราวแล้ว นิกายอื่นต่างก็ส่งกองหนุนเข้าไปที่นั่น หากมีกองทัพผีบุกจู่โจมไท่เทียนกะทันหันจริงก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไป” ผู้เฒ่าแซ่เหยาพยักหน้าเอ่ยบอก

“ที่แท้พี่เหยาจัดการไว้ล่วงหน้าแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าก็วางใจ หากมีกองหนุน ด้วยความสามารถด้านการป้องกันของป้อมปราการไท่เทียน ขอเพียงไม่ใช่ภูตอนธการลงมือเอง จะต้านไว้ช่วงเวลาหนึ่งย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” บุรุษวัยกลางคนผมสีเทาฟังจบจึงเผยสีหน้าวางใจ