แอ๊ด**!**
ประตูเก่าครำเปิดออก ภายในปกคลุมด้วยความมืดซึ่งให้ความรู้สึกถึงความอ้างว้างและความเก่าแก่
ทุกคนต่างตื่นเต้นขณะมองไปที่ประตูที่กำลังเปิดออกพร้อมกับความกระหายและความโลภในดวงตา หากพวกเขาไม่รู้ว่ามีเพียงคนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์เท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้ พวกเขาคงจะสูญเสียการควบคุมและพุ่งเข้าใส่แล้ว
เนื่องจากสิ่งล่อลวงจากร่างมหาเทพนิรันดร์ใหญ่หลวงจริงๆ
หมัวเฮอเทียนมองไปที่ประตูด้วยสีหน้าซับซ้อน ความโหยหาและความโลภริบหรี่ในดวงตา
ในบรรดาห้าเผ่าโบราณ อีกสี่เผ่าก็มีร่างมหาเทพปฐมกาล เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเขาได้ฝึกฝนสำเร็จ ดังนั้นจึงได้ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เพียงแต่ว่าปัจจุบันไม่มีใครในสี่เผ่าที่สามารถฝึกฝนได้สำเร็จ…
แต่กระนั้นทั้งสี่เผ่าก็ยังเป็นเจ้าของ ขณะที่เผ่าหมัวเฮอเป็นเพียง ‘ผู้พิทักษ์’
บรรพบุรุษเผ่าหมัวเฮอของพวกเขาพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับเทพจักรพรรดินิรันดร์เพื่อรับร่างมหาเทพนิรันดร์มา ชายคนนั้นได้รับชัยชนะและฝึกฝน ท้ายที่สุดก็กลายเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพ
แต่บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ที่เผ่าหมัวเฮอเพื่อพิทักษ์รักษาให้ปลอดภัย
อีกสี่เผ่ามีร่างมหาเทพปฐมกาลขณะที่พวกเขาเป็นเพียงผู้พิทักษ์ ดังนั้นประมุขทุกคนของเผ่าหมัวเฮอจึงได้แต่อิจฉาและไม่พอใจมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงดื้อรั้นกับเรื่องนี้นัก
“เทพจักรพรรดินิรันดร์ เผ่าหมัวเฮอปกป้องร่างมหาเทพนิรันดร์มาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ถึงเวลาที่ท่านควรส่งมอบให้พวกเราอย่างแท้จริงแล้วมั้ง?”
“ในตอนนั้นท่านแย่งชิงร่างมหาเทพนิรันดร์ไปจากบรรพบุรุษของข้า ท่านก็สมควรส่งคืนให้เราในตอนนี้แล้วไม่ใช่หรือ?”
หมัวเฮอเทียนหรี่ตาขณะที่กวาดสายตามองเงานับร้อยที่อยู่ใกล้ๆ คนเหล่านี้เป็นผู้ผ่านการคัดเลือกที่จะเข้าสู่เจดีย์วั้นกู่
“เจดีย์วั้นกู่เปิดแล้ว แต่ข้าต้องเตือนว่าการแข่งขันนี้ดุเดือด ทุกด่านจะกำจัดพวกเจ้าออกครึ่งหนึ่ง ดังนั้นหากต้องการไปให้ถึงปลายทางก็จงกำจัดคนอื่นๆ ออกไปซะ” เสียงของหมัวเฮอเทียนดังก้อง ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน ขณะใบหน้าพวกเขากลายเป็นเคร่งขรึม
“ครึ่งหนึ่งทุกด่าน…”
มู่เฉินขมวดคิ้ว อัตราการกำจัดนี้น่ากลัว นั่นหมายความว่าจะมีการแข่งขันที่โหดเหี้ยมรอพวกเขาอยู่ในเจดีย์วั้นกู่
นี่เป็นเหมือนห้องสำหรับเพาะเลี้ยงแมลงพิษ โดยคนสุดท้ายที่ยืนหยัดถึงจะได้เจอร่างมหาเทพนิรันดร์สินะ?
ฟิ้ว!
หลังจากเสียงของหมัวเฮอเทียนสิ้นสุด หมัวเฮอโยวก็ทะยานกลายเป็นริ้วแสงพุ่งเข้าไปในประตูโดยไม่มีอาการลังเลใดๆ
วาบ วาบ!
เยี่ยฉิง ซื่อหลัวและทั่วป๋าชางก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด…
เมื่อมีพวกเขาเป็นผู้นำ ทุกคนก็พุ่งเข้าประตูไปด้วย
“ข้าไปล่ะ”
มู่เฉินหันไปหาชิ้งเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียน
“ระวังด้วยนะลูก” ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ปล่อยมันไป แม้ว่าร่างมหาเทพปฐมกาลร่างนี้จะทรงพลัง แต่เจ้าก็สามารถทดลองฝึกร่างมหารัศมีอนันต์ของเผ่าฝูถูได้ นั่นก็เป็นหนึ่งในห้าร่างเทห์สวรรค์สุดยอดและไม่ได้อ่อนแอไปกว่าร่างมหาเทพนิรันดร์”
“แค่กๆ!”
ฝูถูเฉวียนกระแอมไอขณะที่แสดงความคิดเห็น “นังหนู แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ แต่เจ้าก็ไม่สามารถอนุญาตให้คนอื่นมาทดลองฝึกร่างมหารัศมีอนันต์ได้ง่ายๆ นี่ต้องขอความเห็นจากเจดีย์บรรพบุรุษฝูถูก่อน!”
ทว่าชิงเหยี่ยนจิ้งลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของฝูถูเฉวียนตอบว่า “ข้าเป็นผู้อาวุโสใหญ่ สามารถชี้นำได้ แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าเจดีย์บรรพบุรุษฝูถูจะไม่เห็นด้วย”
“เจ้า!”
เมื่อเห็นทั้งสองตั้งท่าเถียงกัน มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะส่ายหัวกลายเป็นริ้วแสงพุ่งเข้าประตูไป
เพียงหนึ่งนาที ร่างเงากว่าร้อยร่างก็ทะยานเข้าไปในเจดีย์ เมื่อพวกเขาเข้าไป หมัวเฮอเทียนก็โบกมือคลื่นหลิงรวมตัวกันกลายเป็นกระจกนับร้อยชิ้น แต่ละบานก็ฉายภาพเงาแต่ละคน…
เข้ามาในประตู
มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนเชิงพื้นที่ที่รุนแรง ทว่าเขาไม่ได้ต่อต้านปล่อยให้ความผันผวนห่อหุ้มตัวเอาไว้ ไม่กี่ลมหายใจความมืดเบื้องหน้าก็ถดถอย ดินแดนรกร้างปรากฏขึ้น
มู่เฉินยืนอยู่บนเนินเขารกร้าง สายตามองไปที่สถานที่แห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความรกร้างว่างเปล่า
เมื่อกระจายประสาทสัมผัสออกไป เขาสังเกตเห็นว่าสภาพของพื้นที่ตรงนี้บิดเบี้ยวราวกับว่าถูกแบ่งออกเป็นพื้นที่เล็กๆ
ทว่าเขายังสามารถสัมผัสได้คลุมเครือถึงคลื่นหลิงรุนแรงที่แพร่กระจายออกไป
“การต่อสู้เริ่มแล้วรึ…?” มู่เฉินพึมพำ
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นความผันผวนของคลื่นหลิงก็พุ่งมาจากบริเวณใกล้เคียงมีร่างแสงทะยานเข้ามา
แต่เมื่อจอมยุทธ์คนนั้นเห็นมู่เฉิน ใบหน้าก็เปลี่ยนไปจากนั้นก็หันขวับโดยไม่ลังเล
นี่เป็นชายวัยกลางคนที่มีขมุพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง แต่ชัดว่าเขาจำมู่เฉินได้และรู้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินน่ากลัวเพียงใดแม้จะมีขุมพลังขั้นหลิงเท่านั้น
“ในเมื่อมาแล้ว ทำไมต้องวิ่งหนีล่ะ?” แต่ทันทีที่เขาหันกลับไป พื้นที่ก็แปรปรวนเบื้องหน้า มู่เฉินก้าวย่างออกมาด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนที่นี่เป็นคู่แข่งที่มีจุดยืนแตกต่างกัน
“ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานแล้ว งั้นขอทดสอบความแข็งแกร่งของเจ้าวันนี้ซะหน่อย!”
เมื่อเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนี ชายวัยกลางคนก็กระทืบเท้าร่างแวทสวรรค์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นข้างหลังเขาพร้อมกับความผันผวนลึกลับ
นี่ก็คือร่างเทห์สวรรค์ที่คุ้นเคย—ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
เมื่อมองไปที่ร่างนั่นมู่เฉินก็ถอนหายใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนอื่นใช้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
“รหัสเทพอมตะ!”
ชายวัยกลางคำราม อักขระเปล่งรัศมีก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งมีจำนวนถึงสามร้อยลายเลยทีเดียว
“รวม!”
รหัสเทพอมตะรวมตัวกันเป็นกระบี่ที่เอิบอาบด้วยรัศมีคมชัด แม้แต่มิติก็ฉีกออกจากกัน ขณะที่เฉือนใส่มู่เฉิน
มีรอยลากยาวบนพื้นจากกระบี่
มู่เฉินเงยหน้าขึ้น เจดีย์ผลึกแก้วใสก็วาบในดวงตา ขณะที่คลื่นหลิงในร่างกายคำรามลั่นแล้วเปลี่ยนเป็นผลึกพลังงาน กระทั่งเสื้อผ้าของเขายังก็สั่นกระพือ
ตราประทับวาดขึ้นในฝ่ามือ ลอนผลึกคลื่นหลิงก็กวาดออกปะทะกับกระบี่สีม่วงทอง
เคร้ง!
เมื่อพลังงานสองสายชนกัน พายุคลื่นหลิงรุนแรงก็พัดออกมากลายเป็นเกลียวแสงนับล้านห่อหุ้มกระบี่สีม่วงทองไว้
คลื่นหลิงบนกระบี่ดิ่งลงทันทีก่อนที่จะแตกสลาย
“ไป”
มู่เฉินสะบัดนิ้วเกลียวผลึกเปล่งประกายก็ทะลุผ่านมิติซัดใส่ร่างสีม่วงทอง
“พลังปิดผนึก?”
ใบหน้าของชายวัยกลางเปลี่ยนไปเมื่อสัมผัสถึงพลังผลึกคลื่นหลิง ทันใดนั้นเขาก็ควบคุมร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพื่อสร้างแนวป้องกันมั่นคง
ทว่าเกลียวผลึกห่อหุ้มก็ก่อร่างเป็นรังไหมครอบคลุมร่างเทพสุริยะนิรันดร์เอาไว้
เมื่อมู่เฉินมองไปที่รังไหม แสงก็วาบผ่านดวงตา ด้วยขุมพลังในปัจจุบันของเขาที่ใกล้เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย ความแข็งแกร่งของผลึกคลื่นหลิงของเขาเทียบได้กับขอบเขตขั้นเซียนระยะต้นแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง แม้ว่าอีกฝ่ายจะฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ตาม…
ชั่วครู่มู่เฉินก็โบกมือรังไหมระเบิดเป็นประกายแสง
เมื่อรังไหมหายไปชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่บนร่างสีทองคำก็ได้แต่ยิ้มขมขื่น
แกร็ก!
รอยแตกพล่านไปบนร่างสีม่วงทองก่อนที่จะระเบิดออกในที่สุด…
มีประกายระยิบระยับบนร่างของชายวัยกลางคน ชัดว่าคลื่นหลิงในร่างกายเขาก็ถูกปิดผนึกชั่วคราว
“ชื่อเสียงของประมุขมู่สมฐานะแล้ว ข้ายอมรับความพ่ายแพ้” ชายวัยกลางคนยอมจำนนด้วยรอยยิ้มเหยเก
เมื่อสิ้นเสียงของเขา ลำแสงก็ส่องลงมาห่อหุ้มร่างไว้ จากนั้นก็ถูกส่งออกจากเจดีย์
“ขอบใจ”
มู่เฉินพยักหน้าเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
ขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังจะออกไป ก็มีลำแสงสีม่วงทองพุ่งออกมาจากกึ่งกลางหว่างคิ้วของเขา
มู่เฉินยื่นมือออกไปจับลำแสงนั้น ช่างเต็มไปด้วยความเป็นอมตะและรัศมีลึกลับ
“นี่คือ…รัศมีอมตะของร่างเทพสุริยะนิรันดร์…”
มู่เฉินคุ้นเคยกับรัศมีนี้ นี่เป็นรากฐานของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ยิ่งรัศมีอมตะที่หนาแน่น ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ยิ่งทรงพลัง
“ความล้มเหลวจะทำให้รัศมีอมตะของพวกเขาถูกสกัดโดยเจดีย์วั้นกู่…”
มู่เฉินฉายสีหน้าซับซ้อน รัศมีอมตะเป็นรากฐานของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เมื่อถูกสกัดพลังออกมาร่างก็จะอ่อนแอลง
นี่คือราคาของความพ่ายแพ้
เจดีย์วั้นกู่โหดร้ายอย่างแท้จริง
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ใช่คนใจอ่อน เส้นทางยอดยุทธ์เต็มไปด้วยการแข่งขัน หากเขาไม่มีความมุ่งมั่นที่เพียงพอนี่ก็เป็นผลลัพธ์ของเขาเช่นกัน
มู่เฉินกำมือแน่น ร่างแสงสีม่วงทองก็ปรากฏขึ้นข้างหลังพลางกลืนกินรัศมีอมตะนั้น ทันใดนั้นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ยิ่งลึกซึ้งและลึกลับมากขึ้น
มู่เฉินลืมตาขึ้นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็หายไป สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนั้น เขาก็ระงับความตื่นเต้นเอาไว้ จากนั้นก็หันกลับไปก้าวเข้าไปในมิติบิดเบี้ยว
แม้จะมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านเส้นทางนี้ คนอย่างมู่เฉินก็ต้องสู้เพื่อให้ได้มา!