ตึง**!**
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ระเบิดออก กลายเป็นประกายสีทองกระจายไปทั่วท้องฟ้า
อ็อก
ภาพเงาหนึ่งพุ่งออกมาลากรอยลึกไปบนพื้น เขากระอักเลือดพร้อมกับรัศมีลดลง จากนั้นก็นอนพังพาบในหลุมลึกด้วยอาการบาดเจ็บปางตาย
เมื่อจอมยุทธ์สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปโดยสิ้นเชิง เจดีย์วั้นกู่ก็จะสัมผัสได้ มิติรอบๆ ตัวเขาบิดเบี้ยว จากนั้นก็ถูกส่งออกไปด้านนอก
เมื่อเขาถูกส่งออกไปก็มีลำแสงสีม่วงทองยิงออกมาจากกลางหว่างคิ้ว
ร่างหนึ่งพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า คว้าลำแสงนั้นก่อนที่ภาพเงาขนาดยักษ์ที่อยู่ข้างหลังจะกลืนกินลงไป
เมื่อได้กลืนกินรัศมีอมตะ รัศมีของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ยิ่งลึกซึ้งพร้อมกับรัศมีอมตะกลั่นตัวหนาแน่นมากขึ้น ซึ่งทำให้ร่างยักษ์แข็งแกร่งขึ้นไปอีก
“รัศมีอมตะดวงที่สี่…”
เงานี้ก็คือมู่เฉิน เขามองร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเองที่ลึกซึ้งมากขึ้นด้วยสายตาชื่นชม จนถึงตอนนี้เขาจัดการคู่แข่งไปได้สี่คนและได้รับแก่นอมตะจากพวกเขามา
ร่างเทพสุริยะนิรันดร์แข็งแกร่งขึ้นสองส่วนจากการกลืนกินแก่นอมตะทั้งสี่…
อย่าได้ประมาทสองส่วนที่ว่า เนื่องจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของมู่เฉินมาถึงขีดสุดแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะขัดเกลาให้ดีขึ้น โดยไม่ต้องพูดถึงการเพิ่มขึ้นสองส่วนในช่วงเวลาแค่หนึ่งก้านธูป
ทว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากเขาสามารถชิงแก่นอมตะมาจากจอมยุทธ์ทั้งหมดได้ ความแข็งแกร่งของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาจะเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นที่น่ากลัว
เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดวงตาของมู่เฉินก็ลุกโชนด้วยความตื่นเต้น
ฮึ่ม ฮึ่ม
ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงความผันผวนมิติรุนแรง ทิวทัศน์โดยรอบของเขาเริ่มเปลี่ยนไป
มู่เฉินไม่ตกใจกับภาพนี้ เขาหรี่ตาลงพึมพำ “ตกรอบไปแล้วครึ่งหนึ่งรึ? เร็วอะไรปานนี้…”
เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในเจดีย์ถูกกำจัดออกไป
หากการกำจัดยังคงดำเนินต่อไป เขาก็จะสามารถไปถึงชั้นที่สถิตของร่างมหาเทพนิรันดร์ได้
มิติโดยรอบบิดเบี้ยว จากนั้นค่อยๆ กลับมาชัดเจน ขณะนี้ภูมิประเทศได้เปลี่ยนเป็นแนวเทือกเขานับไม่ถ้วนแล้ว
มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขาหนึ่ง เมื่อทิวทัศน์โดยรอบเสถียรขึ้น เขามองไปข้างหน้าก็เห็นร่างเงาสองร่างตรงนั้น
คนหนึ่งมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย ไม่ได้น่าสนใจนัก ดังนั้นความสนใจของมู่เฉินจึงมุ่งไปที่อีกคน
เขาเป็นชายสวมชุดสีน้ำเงินพร้อมกับดวงตาแหลมคม เพียงแค่เหลือบมองมู่เฉินก็สามารถบอกได้ว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา เขามีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง โดยตัดสินได้จากความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัว
เมื่อมู่เฉินมองไปที่ชายชุดสีน้ำเงิน อีกฝ่ายก็มองมาเช่นกัน เมื่อเขาเห็นมู่เฉินก็อึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะคลี่ยิ้ม “ไม่คิดว่าจะได้พบผู้โด่งดังอย่างประมุขตำหนักมู่ที่นี่”
“เจ้าคือ?” มู่เฉินถามโดยไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า
“ข้าชื่อฉินตงไห่ ไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไร ก็แค่อยู่อันดับหกรองจากเจ้า” ฉินตงไห่จ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่เกรงกลัว สาดสายตาพิจารณาใส่ด้วยซ้ำ
“อ้อ”
มู่เฉินพยักหน้าด้วยสีหน้าสงบ
เมื่อจอมยุทธ์อีกคนเห็นทั้งสองประจันหน้ากัน เขาก็ถอยห่างออกไปเงียบๆ จากนั้นเผ่นแน่บไป
มู่เฉินเพียงแค่เหลือบ แต่ไม่ได้ไล่ตามเพราะเขารู้สึกได้ว่าฉินตงไห่เล็งเป้ามาที่เขาแล้ว
“เจ้าคิดจะต่อสู้กับข้ารึ?” มู่เฉินถาม
“ข้าต้องการทดสอบว่าเจ้ามีความสามารถแค่ไหนที่อยู่อันดับหน้าข้า” ฉินตงไห่ตอบกลับไม่ใส่ใจก่อนที่จะยิ้ม “ทำไม? หรือว่าเจ้ากลัว”
มู่เฉินยิ้มตอบ “ข้ากลัวว่าเจ้าจะวิ่งหนีหางจุกตูดเอาน่ะสิ การได้เจอปลาตัวใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
จากการรับรู้ของเขาแก่นอมตะของฉินตงไห่หนาแน่นกว่าคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็เอาชนะคู่แข่งมาหลายรายและชิงแก่นอมตะของพวกเขา
ดังนั้นแม้ว่าฉินตงไห่จะไม่เริ่มก่อน แต่มู่เฉินก็ไม่คิดปล่อยอีกฝ่ายไป เพราะการเอาชนะคนผู้นี้ได้ก็หมายความว่าเขาจะได้รับแก่นอมตะเทียบได้กับจอมยุทธ์หลายคน
ขณะที่มู่เฉินและฉินตงไห่ประจันหน้ากัน ผู้ชมที่อยู่นอกเจดีย์วั้นกู่ต่างก็เห็นภาพนี้ สายตาของพวกเขาถูกดึงดูดไปทันที
“อ้าว นั่นฉินตงไห่กับมู่เฉิน… ฉินตงไห่มีชื่อเสียงมานานแล้วและความสำเร็จของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามู่เฉินเลย…”
“ใช่ เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางบวกกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เขาก็สามารถเอาชนะผู้คนมากมายในขุมพลังเดียวกันในอดีต”
“ไม่รู้ว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย?”
การสนทนาเกิดขึ้นรอบๆ เจดีย์ ในที่สุดก็มีจอมยุทธ์ในทำเนียบสองคนเผชิญหน้ากัน
การปะทะของคู่นี้น่าสนใจกว่าคู่อื่นๆ อย่างแน่นอน
“ในที่สุดไอ้หนูก็ได้เจอคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อมั่ง ฉินตงไห่ไม่ใช่ธรรมดา” ฝูถูเฉวียนหรี่ตาลงขณะมองไปที่กระจก
ชิงเหยี่ยนจิ้งอมยิ้มตอบว่า “ก็แค่ฉินตงไห่ เขายังไม่มากพอที่จะคุกคามเฉินเอ๋อได้”
ฝูถูเฉวียนเอ่ยกระแทก “เจ้ากำลังยกหางลูกตัวเอง!”
“เพราะลูกชายข้ามีคุณสมบัตินะสิ” ชิงเหยี่ยนจิ้งเบ้ปาก ไม่ได้ใส่ใจอะไร
“งั้นข้าขอดูการประลองของพวกเขาหน่อย ครั้งนี้ไม่มีค่ายกลให้เขาใช้แล้ว” ฝูถูเฉวียนเค้นเสียงขึ้นจมูก เขายังคงรู้สึกขุ่นเคืองใจกับมู่เฉินที่แอบใช้ค่ายกลปราบปรามผู้อาวุโสสองตระกูลตอนอยู่ที่เผ่าฝูถู
ตู้ม**!**
คลื่นหลิงทรงพลังกวนตัวเป็นพายุ ขณะที่กวาดไปรอบตัวฉินตงไห่ ทำให้มิติบิดเบี้ยว รอยแตกกระจายออกไปบนภูเขาที่อยู่ใต้เท้าเขา
การระเบิดพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางสั่นสะเทือนโลกอย่างเป็นธรรมชาติ
เมื่อมู่เฉินมองไปที่ฉินตงไห่ก็เลิกคิ้ว การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตี้กุ่ยซึ่งเป็นจอมยุทธ์ระดับเดียวกัน
“แม้ว่าข้าอาจจะด้อยกว่าสี่อันดับแรก แต่ก็ไม่มีใครที่อยู่ใต้พวกเขาสามารถคุกคามข้าได้!” เสียงของฉินตงไห่ดังก้องราวกับฟ้าคำรนที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
มู่เฉินคลี่รอยยิ้มตอบว่า “ข้าไม่เหมือนเจ้า กระทั่งสี่คนนั่นก็ไม่สามารถหยุดข้าได้”
ฉินตงไห่หรี่ตาลงส่งเสียงเยาะเย้ยขึ้นจมูก คำพูดของมู่เฉินทำให้เขาดูขาดความมั่นใจไปเลย เพราะไม่กล้าสู้กับสี่อันดับแรก
“งั้นข้าจะดูว่าแกมีคุณสมบัติในการพูดคำเหล่านี้ไหม!”
แววตาของฉินตงไห่วาววับขณะสร้างตราประทับ เสื้อคลุมของเขาโบกสะบัด มหาสมุทรคลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ออกไป ทำให้มิติพังทลาย
“ทะเลปีกตะวันออก!”
ฉินตงไห่คำราม คลื่นหลิงสีน้ำเงินเติมเต็มไปทั่วบริเวณขณะที่กดไปยังมู่เฉิน
มหาสมุทรปิดผนึกทุกเส้นทางหลบหนีและอัดแน่นด้วยกระแสน้ำเชี่ยวกราก ซึ่งจะทำให้สูญเสียคลื่นหลิงอย่างรวดเร็วหากถูกขังไว้
มู่เฉินมีท่าทางสงบพลางหายใจเข้าลึก ก่อนจะเปิดปากขึ้น
เพลิงม่วงกลืนวิญญาณ!
ฟู่ ฟู่!
พริบตาเพลิงสีม่วงร้อนระอุก็พ่นออกมา ก่อตัวเป็นวงพุ่งออกไป บนทางผ่านของเพลิงมหาสมุทรขนาดใหญ่ก็ถูกแผดเผาอย่างรวดเร็ว
เมื่อฉินตงไห่เห็นภาพนี้ สายตาก็เย็นเยือกลงก่อนที่จะวาดกระบวนท่า
“ทักษะมังกรทะเล!”
โฮก!
มิติฉีกออกเป็นชิ้นๆ ราวกับแม่น้ำสวรรค์ไหลลงมา ก่อตัวเป็นมังกรแปดตัวขณะที่พวกมันคำราม
“มุกบาดาล!”
มหาสมุทรเชี่ยวกรากบรรจบกันระหว่างฝ่ามือของฉินตงไห่ จากนั้นก็ถูกบีบอัดจนกลายเป็นลูกกลมสีน้ำเงินเข้มแล้วพุ่งขึ้นอย่างดุเดือดราวกับว่าบรรจุไปด้วยมหาสมุทร
ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ ฉินตงไห่ได้ใช้ทักษะเทพสองกระบวนท่า การเคลื่อนไหวที่น่าตกใจนี้สามารถกวาดจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางออกไปได้เลยทีเดียว
“ไป!”
มังกรคำรามลั่นพร้อมกับลูกกลมสีน้ำเงินเข้มบินไปหาหว่างคิ้วมู่เฉิน
ทว่ามู่เฉินก็ไม่เคลื่อนไหวอะไร ที่ด้านหลังรังสียุ่งเหยิงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะกวาดลงมาเบื้องหน้า
ในเส้นทางของรังสี มังกรและลูกกลมก็หายไป…
เมื่อฉินตงไห่มองที่ฉากนี้ใบหน้าเขาก็เขียวคล้ำลง เขาเผยไพ่ตายทั้งหมดออกมา ทว่ามู่เฉินเพียงแค่ยืนนิ่งก็สามารถรับการโจมตีได้
ช่องว่างระหว่างพวกเขาสองคนคำว่ามหาศาลยังไม่เรียกว่าพอ
“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะทรงพลังขนาดนี้!”
ฉินตงไห่ปฏิเสธที่จะเชื่อในความจริง ดังนั้นเขาจึงคำรามและเรียกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา
เผชิญหน้ากับกระบวนท่าทรงพลังของมู่เฉิน เขาไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากใช้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์
“ในที่สุดก็ใช้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้วเรอะ?”
มู่เฉินยิ้มขณะที่ยื่นมือออกมาเคาะลงบนอากาศ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อปลายนิ้วของมู่เฉินแตะลง ฉินตงไห่ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจทันทีที่เห็นเจดีย์ผลึกแก้วกดลงมาพร้อมกับเงาขนาดใหญ่ห่อหุ้มทั้งตัวเขาและร่างเทพสุริยะนิรันดร์…
“แปะ!”
มู่เฉินดีดนิ้วส่งเสียงสะท้อนไปมาในอากาศ
“วิชาเจดีย์แปดองค์”
ตู้ม ตู้ม!
เจดีย์ผลึกแก้วสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงป่าเถื่อน ทำให้มิติโดยรอบพังทลายลง
แรงสั่นสะเทือนคงอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะค่อยๆ หยุดลง มู่เฉินฉายสีหน้าสงบพลางโบกมือเจดีย์ก็พุ่งกลับมา
ในมิติที่ยุบลง ร่างเงาของฉินตงไห่ก็หายไปเหลือเพียงรังสีสีม่วงทองแข็งแกร่ง
มู่เฉินยื่นมือออกมาพร้อมกับรอยยิ้มพอใจ เมื่อสัมผัสถึงความหนาแน่นของรังสี ก่อนที่เขาจะหันกลับจากไป…
เมื่อมู่เฉินเอาชนะฉินตงไห่เรียบร้อย ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์วั้นกู่ต่างก็ตกตะลึงกับฉากนี้ บรรยากาศเงียบกริบ
ไม่มีใครคิดว่าการต่อสู้ที่คาดว่าจะดุเดือดจะจบลงอย่างรวดเร็วปานนี้…