ตอนที่ 1038 บุตรสาวของข้าเพิ่งกลับมาที่วังหลวงพอดี
เดิมทีหลินเป่ยเฉินวางแผนจะกลับไปที่วิหารหลวง
แต่องค์จักรพรรดิก็ทรงเอ่ยปากเชิญว่า “ไม่ทราบว่าหัวหน้านักบวชหลินต้องการเข้าไปพักผ่อนในวังหลวงหรือไม่? ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาด้วยพอดี บัดนี้ก็ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว…”
“ไม่มีเวลาพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
ชนิดไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด
องค์จักรพรรดิยังคงยิ้มแย้ม กล่าวว่า “น่าเสียดายยิ่งนัก เพราะว่าบรรดาบุตรสาวของข้าเพิ่งกลับมาที่วังหลวงพอดี คืนนี้เห็นว่าพวกนางจะแต่งกายให้สวยงามทีเดียว…”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินหันขวับกลับมาโดยเร็ว “ช้าก่อน กระหม่อมเป็นหัวหน้านักบวช พระองค์ท่านเป็นองค์จักรพรรดิ ในเมื่อองค์จักรพรรดิทรงเชื้อเชิญทั้งที กระหม่อมไม่ไปก็คงถือเป็นการเสียมารยาทแย่ เอาละ งั้นพวกเรารีบไปดื่มกินกันดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ
ตอนที่พวกเขามาถึงวังหลวง นายทหารจำนวนมากก็มาตั้งแถวรอต้อนรับอยู่หน้าตำหนักในด้วยการจัดการของผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน นอกจากชายชราแล้ว ก็ยังมีหัวหน้าสกุลเสี่ยวคนปัจจุบัน เสี่ยวเย่และนายทหารคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองอีกหลายนาย
นี่คือการประชุมที่เคร่งเครียดมาก
หัวข้อการประชุมคือการวางกลยุทธ์ทวงคืนสองมณฑลใหญ่อย่างมณฑลหยางฉ่วนกับมณฑลเฟิงหมิง
สำหรับจักรวรรดิเป่ยไห่ การรักษาเก้ามณฑลใหญ่ให้อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์หลี่ คือสิ่งสำคัญมากต่อการประเมินลำดับจักรวรรดิในอีกสามเดือนข้างหน้า
หากพวกเขาไม่สามารถทวงคืนทั้งสองมณฑลนั้นกลับมาได้ คะแนนในการประเมินก็จะลดน้อยลงมากกว่าที่ควรจะเป็น
กลุ่มขุนนางแม่ทัพใหญ่ปรึกษาหารือกันอย่างดุเดือด
โต๊ะทรายขนาดใหญ่ถูกนำมาตั้งไว้กลางห้อง
บนผนังรอบด้านแปะติดด้วยแผนที่จำนวนมาก
มีการใช้ค่ายอาคมแสดงการจำลองกลยุทธ์ทั้งการตั้งรับและการจู่โจม
ตลอดเวลาระหว่างการประชุม หลินเป่ยเฉินนั่งนิ่งเสมือนเป็นตัวโง่งมผู้หนึ่ง
บรรยากาศแห่งการถกเถียงอันเคร่งเครียดทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่ในชั้นเรียนวิชาคณิตศาสตร์อีกครั้ง…
เขาถูกองค์จักรพรรดิหลอกเสียแล้ว
ไหนว่าจะให้มารับประทานอาหารค่ำกับบรรดาองค์หญิงสวย ๆ ไงล่ะ?!
ที่เห็นมีอยู่ตอนนี้ก็มีแต่นายทหารหุ่นล่ำบึ้กที่กำลังทุ่มเถียงกันเรื่องกลยุทธ์การรบอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินอยากจะพูดอะไรบ้างเช่นกัน แต่ในห้องประชุมขณะนี้มีทั้งผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน หลิงฉือ ตลอดไปจนถึงเสี่ยวเย่ แต่ละคนล้วนถือเป็นคนสนิทของเขาทั้งสิ้น
ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบเพื่อรักษาหน้าให้แก่ทุกคน
และสายตาที่นายทหารทุกคนจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินก็เต็มไปด้วยความเคารพบูชา ไม่ต่างไปจากสายตาที่ใช้จ้องมองเทพเจ้าผู้หนึ่ง และนั่นก็ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสั่งให้เฉียนเจินเข้ามานวดไหล่ระหว่างฟังการประชุมอย่างเบื่อหน่าย
เมื่อพูดถึงเฉียนเจิน หลินเป่ยเฉินก็นึกถึงเฉียนเหมย
เด็กสาวผู้นั้นไม่ได้กลับมาที่นครหลวงพร้อมองค์จักรพรรดิ แต่นางเลือกที่จะประจำการอยู่ในสนามรบร่วมกับองค์ชายเจ็ดต่อไป เมื่อนางได้ขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยทหารคนงานขุดเหมือง เฉียนเหมยก็เอาแต่บดขยี้ศัตรูด้วยความบ้าเลือดไม่หยุดยั้ง ทว่า หลินเป่ยเฉินก็หาได้ห้ามปรามไม่
เนื่องจากเขาไม่ทราบเลยว่าต้องรออีกนานเพียงใด กว่าที่เฉียนเหมยจะได้มีโอกาสสู้รบให้สะใจเช่นนี้อีก
บัดนี้ ทุกสายตาหันกลับมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
“ท่านหัวหน้านักบวช”
เสี่ยวเย่ประสานมือคำนับด้วยความเคารพ “ว่ากันตามข้อมูลที่พวกเราได้รับทราบมาครั้งสุดท้าย นายทหารฮันปู้ฟู่หายตัวไประหว่างปักหลักเฝ้ารักษาหุบเขาดาวตก และว่ากันว่าเขาเสียชีวิตด้วยฝีมือของขุนพลขั้นเซียนจากจักรวรรดิจี้กวง แม้แต่ซากศพก็ไม่มีเหลือให้พวกเรานำมากลบฝัง…”
เสี่ยวเย่อธิบายรายละเอียดแม้แต่เรื่องราวการต่อสู้ก่อนที่ฮันปู้ฟู่จะถูกสังหาร
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาในทันใด เขาลุกขึ้นนั่งหลังตรงและกล่าวว่า “พี่เสี่ยวไม่ต้องพูดจาอ้อมค้อม ท่านทราบแล้วใช่หรือไม่ว่าผู้ที่นำกองทัพบุกไปโจมตีท่านพี่ฮันของข้าคือผู้ใด?”
“ผู้นำกองทัพที่บุกทะลวงหุบเขาดาวตกในวันนั้นมีนามว่าฟูจี้ป่า เขาได้รับฉายานามว่าขุนพลพันธนูสังหาร เป็นยอดแม่ทัพรุ่นใหม่ที่เคลื่อนขบวนตามคำสั่งขององค์ชายอวี่ขอรับ”
เสี่ยวเย่ตอบกลับมาโดยทันที
ฟูจี้ป่า?
ชื่อนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทำงานให้องค์ชายอวี่อย่างนั้นหรือ?
ในเมื่อมีฝีมือสูงส่งแต่ปราศจากชื่อเสียงโด่งดัง บางทีอาจเป็นผู้เร้นกายก็เป็นได้
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินปรากฏจิตสังหารเข้มข้น
“ครั้งนี้ข้าจะเข้าร่วมกองทัพด้วย”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “นี่ก็ผ่านมานานมากแล้ว ข้ายังไม่มีโอกาสได้ไปคารวะศิษย์พี่ของข้าที่หุบเขาดาวตกเลย”
ความตายของฮันปู้ฟู่คือหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงจิตใจหลินเป่ยเฉิน
บัดนี้ มีการส่งข่าวกลับไปที่นครเจาฮุยเรียบร้อยแล้ว มารดาและน้องสาวของฮันปู้ฟู่คงจิตใจแหลกสลายมากทีเดียว หากชีวิตนี้หลินเป่ยเฉินไม่ได้แก้แค้นให้แก่ศิษย์พี่ฮัน เขาก็คงไม่มีหน้ากลับไปพบเจอพวกนางได้อีก
หลังได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉิน ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมไม่เว้นแม้แต่องค์จักรพรรดิก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เมื่อมีหลินเป่ยเฉินอยู่ร่วมในกองทัพ โอกาสที่พวกเขาจะได้รับชัยชนะก็เพิ่มขึ้น
และเมื่อการประชุมจบลง องค์จักรพรรดิก็ทำตามคำสัญญา
เขาพาเด็กหนุ่มไปรับประทานอาหารค่ำ
โฉมงามมากมายปรากฏกายขึ้นที่ห้องอาหารในพระราชวัง
พวกนางมาที่นี่เพื่อดึงดูดความสนใจของหลินเป่ยเฉิน
และไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุรุษผู้ที่ได้รับความสนใจจากพวกนางมากที่สุด ย่อมต้องเป็นหลินเป่ยเฉินเช่นกัน
เขาได้พบกับบุตรสาวขององค์จักรพรรดิหลายนาง
แล้วเด็กหนุ่มจะว่าอย่างไรได้?
เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ไม่ได้ทำให้หลินเป่ยเฉินผิดหวัง
องค์หญิงเหล่านั้นล้วนแต่มีความงดงามเฉิดฉาย อาจไม่ได้งดงามสมบูรณ์แบบเท่าเทพีกระบี่หรือบรรดาหญิงสาวที่หลินเป่ยเฉินรู้จัก แต่องค์หญิงทุกท่านก็มีความสวยสะคราญสมเป็นบุปผางามประจำเมือง
และน่าจะนำไปขายได้ราคาดีไม่ใช่น้อย
หลินเป่ยเฉินกลืนน้ำลายลงคออย่างมีความสุข
ก่อนที่งานเลี้ยงจะเลิกรา เขาได้เดินเข้าไปร่ำลาองค์จักรพรรดิ และขอโดยสารรถม้าหนึ่งคัน นำองค์หญิงทั้งแปดท่านออกมาจากวังหลวง มุ่งหน้าตรงไปที่วิหารประจำเมือง…
“เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง”
องค์จักรพรรดิเฝ้ามองบุตรสาวของตนเองขึ้นรถม้าหายไปพร้อมกับหลินเป่ยเฉินด้วยความประหลาดใจ
“ปกติแล้ว บุตรสาวของข้าไม่เคยเหลือบตามองผู้ใด แม้แต่ยอดคุณชายจากแว่นแคว้นต่าง ๆ พวกนางก็หาได้สนใจไม่ เหตุไฉนจึงยินยอมพร้อมใจไปกับหลินเป่ยเฉินด้วยกันทั้งหมดเช่นนี้?”
องค์จักรพรรดิหันมามองหน้าน้องสาวของตนเองที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ไม่ถูกต้องอย่างไร”
ใบหน้าที่แดงก่ำของพระขนิษฐา ยิ่งทำให้นางมีความงดงามเฉิดฉายมากขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ “หม่อมฉันเคยพบกับเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดสามารถเทียบรัศมีของท่านหัวหน้านักบวชหลินได้แม้แต่ผู้เดียว… หุหุ และเสด็จพี่ต้องไม่ลืมว่าเครื่องแบบนักบวชของหลินเป่ยเฉินนั้น สามารถเย้ายวนใจได้ไม่ต่างจากเครื่องแบบของนายทหาร อย่าว่าแต่หลานสาวของหม่อมฉันเลยที่ตกหลุมรักเขา แม้แต่ตัวหม่อมฉันเองก็ตกหลุมรักเขาเช่นกัน เฮ้อ น่าเสียดายที่อายุของพวกเราห่างกันมากเกินไป ดังนั้น หม่อมฉันจึงไม่มีหวังแล้ว”
องค์จักรพรรดิใบหน้ากระตุกขึ้นมาทันที
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เหล่าสตรีทุกนางที่อยู่ในวังหลวงพากันเสียสติไปหมดแล้วหรืออย่างไร?