บทที่ 1039 สถานการณ์เข้าสู่จุดพลิกผัน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,039 สถานการณ์เข้าสู่จุดพลิกผัน

“ได้ข่าวว่าคนรักเก่าของเจ้ากลับมาแล้ว?”

องค์จักรพรรดิถามผู้เป็นน้องด้วยเสียงกระซิบ

“หม่อมฉันมีคนรักเก่ามากมายนัก”

พระขนิษฐาถามกลับมา “เสด็จพี่หมายถึงคนไหนกันเล่า?”

องค์จักรพรรดิเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่จะไม่เดินหนีไป กล่าวออกมาว่า “ข้าหมายถึงคนที่ประจำการอยู่ในเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ”

“อ้อ เสด็จพี่หมายถึงเขาผู้นั้นนี่เอง”

พระขนิษฐาหัวเราะในลำคออย่างเย็นชา “เขาไม่มีค่าให้เอ่ยถึงแต่อย่างใด นับตั้งแต่ที่นครหลวงเกิดความวุ่นวาย เขาก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ ไม่กล้าโผล่หัวออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว คิดแล้วหม่อมฉันก็ยิ่งคับแค้นใจนัก”

องค์จักรพรรดิถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

วันต่อมา บังเกิดข่าวใหญ่ถูกประกาศออกมาจากวิหารหลวง

ปรากฏว่าองค์หญิงทั้งแปดท่านเข้าร่วมกับวิหารและครองสถานะเป็นนักบวชผู้บริสุทธิ์

หลังจากนั้นอีกหนึ่งวัน ก็มีอีกหนึ่งข่าวใหญ่ถูกประกาศตามออกมา

เพราะองค์หญิงทั้งแปดท่านนั้นจะเปิดรับสมัครผู้ติดตามในอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้…

สร้างความแตกตื่นไปทั้งนครหลวง

นักพรตใหญ่หลงเยว่รีบมาขอเข้าพบหัวหน้านักบวชหลินเป่ยเฉินเป็นการส่วนตัว เนื่องจากนางรู้สึกว่านี่เป็นการละเมิดกฎระเบียบมากเกินไป

“ท่านป้าไม่เข้าใจ”

หลินเป่ยเฉินนั่งไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ “วิธีการรวบรวมพลังศรัทธาของพวกเรามันตกยุคไปแล้ว บัดนี้ พวกเราสมควรละทิ้งอดีต เฝ้ามองไปที่อนาคต ยิ่งนักบวชสามารถใกล้ชิดกับชาวเมืองได้มากเท่าไหร่ วิหารของพวกเราก็จะยิ่งได้รับพลังศรัทธามากขึ้นเท่านั้น และอีกไม่นาน วิหารเทพีกระบี่ก็จะกลายเป็นวิหารเทพเจ้าอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินตงเต้า อุ๊วะฮ่า ๆๆ…”

สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย

นักพรตใหญ่หลงเยว่สามารถสรุปใจความได้เพียงคำเดียวว่า…

การปฏิรูป!

หัวหน้านักบวชคนใหม่ผู้นี้ต้องการปฏิรูปวิหารเทพีกระบี่

ก็เหมือนกับที่นางเคยพยายามทำมาตลอดไม่ใช่หรือ?

แต่บทเรียนจากในอดีตพิสูจน์แล้วว่านี่เป็นหนทางแห่งความล้มเหลว

“ท่านหัวหน้านักบวช คือว่า…”

นักพรตใหญ่หลงเยว่พยายามโน้มน้าวให้หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนใจ

หลินเป่ยเฉินรีบโบกแขนเสื้อเหมือนไล่แมลงวัน “แค่ทำตามคำสั่งของข้าก็พอ”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ประสานมือคำนับและหมุนกายเดินออกมา

นางวิตกกังวลจนต้องไปหาเยว่เว่ยหยาง เนื่องจากทราบดีว่าเด็กสาวเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะโน้มน้าวให้หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนใจได้สำเร็จ แต่ใครจะไปคิดเลยว่ายังไม่ทันที่หญิงชราจะกล่าวคำใด เยว่เว่ยหยางก็พูดขึ้นเสียก่อนว่า

“อ้อ พี่เป่ยเฉินบอกท่านป้าแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”

เยว่เว่ยหยางนำสมุดจดบันทึกเล่มหนาเตอะออกมาถืออย่างตื่นเต้น ภายในสมุดเล่มนี้ได้จดข้อมูลเอาไว้จำนวนมากมาย “ข้าน้อยได้ปรึกษากับพี่เป่ยเฉินแล้ว ข้อมูลทั้งหมดข้าน้อยบันทึกอยู่ในนี้ หากพวกเราสามารถทำตามขั้นตอนปฏิบัติเหล่านี้ได้สำเร็จ วิหารเทพีกระบี่ก็จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งแน่นอนเจ้าค่ะ”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ถึงกับยืนตะลึงลาน

หญิงชราเพิ่งรู้ว่าตนเองโง่เขลามากเกินไป

นางนึกเพียงแต่ว่าเยว่เว่ยหยางเป็นคนพิเศษในหัวใจของหลินเป่ยเฉิน แต่นางกลับลืมนึกไปว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคนพิเศษในหัวใจของเยว่เว่ยหยางเช่นกัน ไม่ว่าเด็กหนุ่มพูดอะไรออกมา เยว่เว่ยหยางย่อมยินดีทำตามโดยไม่คัดค้านเสมอ

นักพรตใหญ่หลงเยว่รับสมุดจดบันทึกจากเด็กสาวมาดู และเมื่ออ่านข้อมูลหน้าแรกจบลง หญิงชราก็รู้สึกว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฟังดูน่าสนใจทีเดียว…

แผนการปฏิรูปจำนวนมากมีเหตุผลควรรับฟัง

และเหตุผลเหล่านั้นก็ไม่ควรเป็นสิ่งที่ออกมาจากปากของเจ้าเด็กหนุ่มสมองเสื่อมอย่างหลินเป่ยเฉินเด็ดขาด

“ข้อความทั้งหมดนี้… เป็นท่านหัวหน้านักบวชพูดออกมาเองจริง ๆ หรือ?”

นักพรตใหญ่หลงเยว่มองหน้าเยว่เว่ยหยางด้วยความไม่อยากเชื่อ

เยว่เว่ยหยางพยักหน้าตอบกลับ “พี่เป่ยเฉินบอกว่าเขาจำมาจากการอ่านตำราเจ้าค่ะ”

“จำมาจากการอ่านตำรา?”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ พี่เป่ยเฉินบอกว่ามันคือตำราที่ชื่อว่า ‘วัดเส้าหลินในความทรงจำของข้าพเจ้า’ ”

“ตำราอันใดกัน? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน?”

“พี่เป่ยเฉินบอกว่ามันคือตำราศักดิ์สิทธิ์ที่ถ่ายทอดโดยนักบวชนามว่าซือหยงซิ่น ผู้บุกเบิกเรื่องการปฏิรูปศาสนาและช่วยทำให้วิหารเทพที่ชื่อว่าวัดเส้าหลินได้กลับสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้งเจ้าค่ะ…”

สามวันต่อมา

ในที่สุด กองทัพของชาวทะเลก็เคลื่อนขบวนกลับไปถึงมณฑลเฟิงอวี่

ยังคงมีเรื่องกลยุทธ์การรบบางส่วนที่พวกมันต้องหารือกับจักรวรรดิเป่ยไห่

ห้าวันให้หลัง กองทัพเป่ยไห่ก็ยกพลบุกตีแดนเหนือ

วันแรกของการเปิดศึก กองทัพเป่ยไห่ที่นำโดยเสี่ยวเย่ก็สามารถยึดสมรภูมิริมแม่น้ำซานฉ่วนเชิงเขาชิงมู่หลิงได้สำเร็จ

ณ อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ คือที่ตั้งป้อมปราการของกองทัพจี้กวง

ข้อมูลที่ทางฝ่ายเป่ยไห่ได้รับทราบมาก็คือ กองทัพจี้กวงมีกำลังพลประจำการอยู่ในป้อมปราการแห่งนี้ถึง 300,000 นาย และห่างจากป้อมปราการแห่งนี้ ก็ยังมีป้อมปราการอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปเป็นระยะทาง 50 ลี้

ป้อมปราการทั้งสองแห่งนี้มีนามว่าป้อมขนนกดำกับป้อมขนนกขาว

และเส้นทางระหว่างสองป้อมก็สามารถเดินทางไปสู่เมืองหลวงของมณฑลเฟิงหมิง ซึ่งเป็นฐานบัญชาการทัพใหญ่ของจักรวรรดิจี้กวงได้โดยตรง

เสี่ยวเย่มีกลยุทธ์การรบที่ชาญฉลาด

หลังจากปะทะฝีมือกันสามครั้งสามครา เขาก็รู้แล้วว่าป้อมปราการของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะตีแตกพ่าย ดังนั้น ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนวิธีเป็นแอบส่งสายลับเข้าไปสืบข้อมูลจากในเขตแดนของกองทัพจี้กวง

สามวันต่อมา

กำลังเสริมจากนครหลวงก็เดินทางมาถึง

ครั้งนี้ องค์จักรพรรดิไม่ได้มาด้วย

แต่ผู้ที่นำทัพมานั้นก็คือผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน

ส่วนตำแหน่งรองผู้บัญชาการตกเป็นของหลิงฉือกับแม่ทัพชื่อดังแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่อีกสี่นาย

ในฐานะหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวง หลินเป่ยเฉินได้นำนักบวชสาวสวยจำนวนหลายร้อยนางมาปรากฏกายขึ้นยังค่ายที่พักของกองทัพเป่ยไห่

นี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเป่ยไห่ ที่หัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวงมาปรากฏตัวขึ้นในสนามรบ

เหล่านายทหารล้วนตื่นเต้น

โดยเฉพาะเมื่อคุณชายหลินเดินสะพายกระบี่ออกมา ดวงตาของนายทหารหลายแสนคู่ก็จับจ้องมองเขาราวกับเป็นเทพเจ้าผู้หนึ่ง และเมื่อหลินเป่ยเฉินชักกระบี่ออกมาฟาดฟันเพียงไม่กี่กระบวนท่า ป้อมขนนกดำและป้อมขนนกขาวต่างก็ตกอยู่ภายใต้ความโกลาหลทันที

นี่คือสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าหลินเป่ยเฉินมีพลังการต่อสู้ที่น่าหวาดกลัว

คืนนั้น กองทัพเป่ยไห่ก็อาศัยสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายเหนือกว่า ยกพลบุกข้ามแม่น้ำและสามารถยึดครองเมืองใหญ่ในมณฑลเฟิงหมิงอย่างเมืองอันชิงได้สำเร็จ ก่อนที่แสงแรกของวันใหม่จะส่องสว่างด้วยซ้ำ!

ขณะที่สงครามเปิดฉากขึ้น สถานการณ์ก็เข้าสู่จุดพลิกผันโดยทันที!!