ลูกค้าไม่กี่คนซึ่งรู้ถึงประสบการณ์ในจิงตูของเซวียนหยวนผ้อส่งเสียงกระซิบอธิบาย จากนั้นพวกลูกค้าที่เหลือจึงได้รู้ว่าแขนขวาของเซวียนหยวนผ้อเคยบาดเจ็บจนแทบจะพิการไป
“เจ้าเชื่อคำโอ้อวดของเจ้าพิการนี่หรือ ยอดฝีมือของตระกูลเทียนไห่…ไม่บอกเลยล่ะว่าเป็นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย!”
ขี้เมาคนนั้นดมสุราตะโกนและถ่มลงตรงหน้าเท้าของเซวียนหยวนผ้อ
เซวียนหยวนผ้อยังคงนิ่งเงียบ ไม่พูดจา ยิ่งไม่ตอบโต้ เขาใช้มือขวาเอาไหสุราออกจากมือซ้ายอย่างแข็งขัน ก่อนวางมันลงบนโต๊ะต่างๆ
ขี้เมาคนนั้นโกรธเรื่องที่เขาถูกเมิน ปากยังสบถต่อไป คำพูดคำจายิ่งพูดยิ่งไม่น่าฟัง
ลูกค้าหลายรายเริ่มทำตาม ส่งเสียงเยาะเย้ยถากถางไปที่เซวียนหยวนผ้อ
เซวียนหยวนผ้อยังคงไม่สนใจพวกเขา หลังจากส่งสุราเสร็จ เขาก็หันกลับและเตรียมที่จะจากไป
ขี้เมาคนนั้นพลันลุกขึ้นและตะโกน “นี่ เจ้าลูกหมี หยุดอยู่ตรงนั้น”
เซวียนหยวนผ้อหยุด แล้วมองไป
เจ้าขี้เมาเรอพร้อมพึมพำ “เจ้าเคยไปจิงตูมาจริงหรือ”
เซวียนหยวนผ้อพยักหน้า
คนขี้เมาถาม “เจ้าเป็นเพื่อนร่วมเรียนกับองค์สังฆราชจริงหรือ”
เซวียนหยวนผ้อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้จากนั้นก็แก้ “ในตอนแรกพวกเราล้วนเป็นนักเรียน แต่หลังจากนั้นเขากลายเป็นเจ้าสำนักส่วนข้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลทั่วไป”
คนขี้เมาคำรามพร้อมหัวเราะ เช่นเดียวกับพรรคพวก พวกเขารู้สึกว่าคำตอบนี้เหลวไหลเกินไป
คนขี้เมาชี้ไปที่แขนขวาเซวียนหยวนผ้อและเย้ย “ดูแขนเขาสิ พิการไร้เรี่ยวแรง ทำได้แค่ล้างจาน แล้วยังมีหน้ามาพูดว่าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลทั่วไปของสำนักฝึกหลวง เราพูดถึงสำนักฝึกหลวงใดกัน! หากเจ้ามีความสามารถ เจ้ามาล้างจานที่นี่ทำไม”
นครจิงตูของต้าโจวนั้นอยู่ไกลจากโลกของเผ่าปีศาจเกินไปดังนั้นรายละเอียดบางเรื่องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นั่นย่อมยากที่จะมาถึงโรงเตี๊ยมเล็กๆ ในเมืองไป๋ตี้ได้ แต่ลูกค้าคนไหนก็ตามไม่ว่าจะเมาแค่ไหนก็ต้องรู้จักสำนักฝึกหลวง
องค์หญิงที่รักและเคารพยิ่งของพวกเขาเคยเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง และอาจารย์ของนางก็เป็นสังฆราชองค์ปัจจุบัน
หากเซวียนหยวนผ้ออยู่ในสำนักฝึกหลวงจริงและถึงกับเป็นหัวหน้าผู้ดูแลทั่วไป เขาจะมาล้างจานอยู่ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ สกปรกแห่งนี้ได้อย่างไร
ลูกค้าหลายคนซึ่งนั่งอยู่รอบโต๊ะที่มุมร้านเลิกคิ้วขึ้นมองตากันด้วยความสับสน คนพวกนี้เป็นผู้คุ้มกันระดับต่ำที่ทำงานให้กับสมาคมการค้าและเคยติดตามขบวนสินค้าไปจิงตู พวกเขารู้ว่าเซวียนหยวนผ้อไม่ได้โกหก แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงมีสภาพอย่างในตอนนี้
“องค์สังฆราชไม่ปรากฏตัวมาก่อนนับตั้งแต่ออกจากจิงตู เขาอาจไม่มีเวลามาห่วงตัวเองด้วยซ้ำแล้วเขาจะมาสนใจคนผู้นี้ได้อย่างไร”
“แล้วองค์หญิงล่ะ”
“นี่เป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อน คนชั้นสูงจะจดจำเรื่องเก่าแบบนั้นหรือ นอกจากนี้…ได้ยินมาว่าเซวียนหยวนผ้อออกจากจิงตูก่อนที่จะเกิดการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู ดูจากเวลาที่เขาจากมา เขาน่าจะเห็นว่าลมแรงเลยหนีไป แล้วจะมีหน้ามาพบองค์หญิงได้อย่างไร”
……
……
เถ้าแก่เห็นว่าฝูงชนเริ่มก้าวร้าวขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงตำหนิเซวียนหยวนผ้ออย่างแรงและส่งเขากลับไปในครัว
เซวียนหยวนผ้อไม่ได้ตอบโต้อันใด เขาเอาถังใส่จานสกปรกอีกใบกลับไปด้านหลังและล้างจานต่อเงียบๆ
สามปีที่ผ่านมา เขาถูกเย้ยหยันและก่นด่าว่าเป็นคนพิการมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยสนใจเลยสักครั้ง ไม่ใช่เพราะเขาด้านชาหรือเพราะเขาเป็นคนไร้ความรู้สึก แต่เป็นเพราะเขารู้ว่าเขาไม่ได้พิการ หรือรู้สึกว่าเขาน่าอับอายขายหน้า
ตอนที่แขนขวาของเขาถูกเทียนไห่หยาเอ๋อร์ทำให้พิการ เขาถอนตัวออกจากสำนักเด็ดดาราด้วยความสมัครใจและทำงานล้างจานในตลาดค่ำเมืองจิงตู ที่เขาทำในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับเมื่อในอดีต
เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าเฉินฉางเซิงได้กล่าวว่าการทำงานหาเงินนั้นไม่ใช่เรื่องน่าอาย ทว่าเป็นเรื่องที่มีเกียรติ
และไม่ใช่เพราะเขาละอายเกินไปที่ทิ้งสำนักฝึกหลวงก่อนการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูเขาจึงไม่อาจพบหน้าคนรู้จักจากสำนักฝึกหลวงอย่างองค์หญิงลั่วลั่ว
หลังจากออกจากสำนักฝึกหลวงเขาก็ใช้เวลาเพียงสิบเจ็ดวันกลับมายังเมืองไป๋ตี้ การเดินทางแปดหมื่นลี้เผาผลาญร่างกายของเขา ร่างกายกำยำกลายเป็นซี่ไม้ไผ่ เขาย่อมไม่ได้หลบหนี เขารู้ว่าเฉินฉางเซิงมีภัยถึงชีวิตจึงได้มาหาความช่วยเหลือ
เขาต้องประหลาดใจที่แม้จะมีตราซึ่งองค์หญิงลั่วลั่วทิ้งไว้ให้เขาก็ยังไม่อาจที่จะเข้าวังหลวงได้ เช้าตรู่วันต่อมา เขาก็ไปที่ภูเขานอกเมืองไป๋ตี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากจินอวี้ลวี่ แต่พบว่าจวนขุนพลใหญ่เผ่าปีศาจถูกล้อมไว้ด้วยองครักษ์จากวังหลวงและมีสายลับมากมายซ่อนตัวอยู่ในป่า
ไม่มีอะไรที่เซวียนหยวนผ้อจะทำได้ โชคยังดีที่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้ยินข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นในจิงตู
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตายแต่เฉินฉางเซิงกลับไม่ สำนักฝึกหลวงยังอยู่และเฉินฉางเซิงก็ถึงกับกลายเป็นสังฆราช หลังจากนั้นเฉินฉางเซิงก็ออกจากจิงตู จากนั้นก็ไม่มีข่าวจากเขาอีก
เซวียนหยวนผ้อมีทางเลือกว่าจะกลับไปยังสำนักฝึกหลวงที่จิงตูหรือกลับเผ่าของตนเอง ล้วนแล้วแต่เป็นทางเลือกที่ดี
แต่เขาเลือกที่จะอยู่ในเมืองไป๋ตี้ต่อไป
เพราะเขารู้ดีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น
เขายังไม่อาจที่จะพบองค์หญิงหรือจินอวี้ลวี่
เขาจึงใช้ชีวิตในเมืองไป๋ตี้มาสามปีเช่นนี้เอง ค่อยๆ กลายเป็นเป้าหมายของการเย้ยหยัน ค่อยๆ ถูกลืมไป
แต่เขาไม่ลืมว่าเขามาเพื่อทำอะไร
……
……
ตอนเที่ยงคืน โรงเตี๊ยมก็ว่างลงในที่สุด
เซวียนหยวนผ้อทำงานหนักเสร็จสิ้นแล้วก็ใช้น้ำเย็นทำความสะอาดร่างกาย หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดสะอาด ก็เดินไปในตรอกด้านหลังวังหลวง เขาเรียกคนส่งอาหารที่คุ้นเคยและเริ่มทำอีกงานหนึ่ง ส่งอาหารให้วังหลวง
วังหลวงอยู่ใต้การป้องกันอย่างเข้มงวด เขาไม่ได้เข้าสู่ตำหนักแต่ส่งอาหารถึงส่วนนอก
เซวียนหยวนผ้อไม่ได้เก็บเงินจำนวนมากที่ต้องใช้ติดสินบนยาม หรือฉลาดพอจะตีสนิทกับชนชั้นสูง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจรู้ข่าวคราวในวังอย่างแม่นยำนัก อย่างไรก็ตามเขาสามารถใช้วิธีที่โง่เขลาเพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จ เฉกเช่นที่เขาได้ทำมาตลอดสองปีที่ผ่านมา
ฝ่ายจัดซื้ออาหารจะเขียนรายการอาหารที่ต้องใช้ในแต่ละวัน ทุกวันเขาจะพิจารณารายการนี้อย่างจริงจังสามรอบแล้วก็กลับไปที่บ้านเพื่อลอกมันเอาไว้
เขาเข้าใจดีว่าองค์หญิงชอบอาหารแบบใด อาหารพวกนั้นมักมีต้นกำเนิดมาจากโลกมนุษย์ที่ห่างไกลและโดดเด่นอย่างมากบนรายการอาหาร
เขาจำอาหารพวกนี้ได้อย่างชัดเจนเพราะเขาเป็นคนดูแลเรื่องทั่วไปของสำนักฝึกหลวง นับจากแรกเริ่ม เขาก็เป็นคนที่ทำอาหารในสำนักฝึกหลวง
จากรายการอาหารนี้ เขาบอกได้ว่าองค์หญิงยังอยู่ในวังหรือไม่ สุขภาพเป็นเช่นใด มีอารมณ์แบบใด
ใช่ นี่เป็นเหตุผลที่เขายังอยู่ในเมืองไป๋ตี้
……
……
เซวียนหยวนผ้ออ่านรายการอาหารและจำนวนที่ต้องการเหมือนเช่นเคย เขายืนยันได้ว่าองค์หญิงลั่วลั่วสบายดีแต่เขายังขมวดคิ้ว
ผักกาดเขียวกรอบอร่อยที่สุดในช่วงปลายฤดูหนาวและถูกส่งเข้าวังประมาณครึ่งกล่องเมื่อวานนี้ นี่เป็นอาหารโปรดขององค์หญิงลั่วลั่ว ไม่ว่าจะผัดหรือต้ม ว่าตามเหตุผล ควรมีการส่งมาเพิ่มในวันนี้ แต่ทำไมเขาไม่เห็นมันเลย
องค์หญิงลั่วลั่วอารมณ์ไม่ดีอย่างนั้นหรือ มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
ตอนที่เซวียนหยวนผ้อเตรียมที่จะเสียงถาม ข่าวก็ถูกส่งออกมาจากภายในวัง แพร่ไปทั่วเมืองไป๋ตี้อย่างรวดเร็ว คาดว่าคงใช้เวลาไม่นานกว่าข่าวนี้จะรู้ไปทั่วต้าลู่ เห็นได้ชัดว่ามีคนสำคัญตั้งใจปล่อยข่าวนี้
องค์หญิงลั่วลั่วกำลังจะแต่งงาน