ดวงตามู่ฮูหยินเปลี่ยนเป็นสงบล้ำลึกดั่งทะเล มองเห็นได้ว่าในส่วนลึกของทะเลนี้มีวาฬตัวเท่าภูเขาว่ายอยู่ช้าๆ วาฬตัวนี้กำลังจะสะบัดหางและก่อให้เกิดคลื่นรุนแรงที่สะเทือนถึงสวรรค์
ทันใดนั้นนางก็หลับตา ครั้นนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาก็ไร้ซึ่งความโกรธ เหลือไว้แต่ความสงบที่น่ากลัว
ดวงเนตรยังคงเป็นก้นทะเล แม้ว่าจะไม่มีคลื่นรุนแรง แต่ก็มีแรงกดดันอย่างมากจนคนทั่วไปไม่อาจทนได้
“ในตอนนั้นที่ข้าลืมตาและเห็นจุดเล็กๆ สีขาวในคลื่นน่ากลัวนั่น ข้าคิดว่ามันเป็นนกนางนวลที่เป็นตัวแทนของชีวิตเสรี”
นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวต่อ “หลายปีต่อมาข้าก็ยังคิดเช่นนั้น แม้แต่ตอนที่ข้าถูกพระปิตุลาไล่ออกจากดินแดนต้าซี ดังนั้นข้าจึงไม่รู้สึกหดหู่ใจ ในทางกลับกันมันก็เติมเต็มความปรารถนาของข้า และในวันเดียวกันนั้นเองที่ข้าได้เรียนรู้ว่าจุดสีขาวที่ข้าเห็นมาหลายปีนั้นไม่ใช่นกนางนวลแต่เป็นใบเรือ”
“โจวตู๋ฟูเดินทางมาตามลำพังบนเรือนั้นแต่กลับไปเพราะความเบื่อหน่าย ตอนนั้นเองที่ข้าได้เรียนรู้ความจริงของเรื่องที่ว่าชีวิตข้าไม่เคยมีอิสรเสรีมาก่อน ใบเรือสีขาวหมายถึงมาแล้วก็ไป หมายความว่าเราต้องกลับคืนสู่บ้านเกิด นี่คือความหมายที่แท้จริงของชีวิตข้า”
มังกรดำน้อยไม่เข้าใจว่ามู่ฮูหยินหมายความเช่นใดกับคำพูดนี้
มู่ฮูหยินไม่ได้อธิบายต่อแต่เดินจากหน้าผาไป
นานนับปีไม่ถ้วนมาแล้ว พระปิตุลาหาข้ออ้างมาไล่นางออกจากดินแดนต้าซี ทำให้นางเริ่มเดินทางสู่ต้าลู่ นางได้รู้จักคนมากมายและกลายเป็นจักรพรรดินีของเผ่าปีศาจในที่สุด
นางพึ่งพาความฉลาดและทักษะของตัวเอง จนได้รับความเชื่อใจและความรักจากจักรพรรดิขาว ได้รับความเชื่อใจและมิตรภาพจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ อย่างไรก็ตามในการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างจักรพรรดิขาวกับราชามารบนทุ่งหิมะตอนเหนือของหานซานทั้งสองฝ่ายต่างบาดเจ็บหนัก ซางสิงโจวที่ซ่อนตัวอยู่นานก็ปรากฏขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
การประเมินสถานการณ์ของนางยังคงถูกต้อง นางเลือกที่จะยืนข้างซางสิงโจวโดยไม่ลังเล ได้รับคำมั่นจากเขา
ตอนที่สถานการณ์ค่อยๆ อยู่ใต้การควบคุม แผนการใหญ่ที่ใช้เวลาหลายปีกำลังจะสำเร็จ พระปิตุลาที่นางไว้ใจและเห็นเป็นแบบอย่างนับแต่นางยังเด็กกลับตายลงอย่างฉับพลัน
เหตุการณ์บนที่ราบสูงของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้เข้าหูนางแล้ว
แผนร้ายของดินแดนต้าซีถูกเปิดโปงและหลายคนก็กำลังมองมาที่เมืองไป๋ตี้ในตอนนี้ มองมาที่นาง เปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้อาจมาถึงแล้วก็ได้
ว่าตามเหตุผล นางควรจะเป็นกังวลอย่างมาก อย่างน้อยก็ต้องกระอักกระอ่วนอยู่บ่าง แต่นางไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทว่ายังสงบ มั่นใจและสบายๆ เสมือนในอดีต
ใบเรือขาวกระพืออยู่ในสายลม ดูโดดเด่นอย่างมากบนน้ำขุ่นสีแดง
เรือใหญ่ฝ่าคลื่นลม ขึ้นฝั่งด้านตรงข้าม
นางก้าวขึ้นบันไดหินขึ้นสู่พระราชวังที่อยู่ด้านบนสุด
ขุนนางและทหารเผ่าปีศาจหลายพันคนยืนอยู่ข้างบันไดโค้งคำนับยามที่นางเดินขึ้นไป
บนถนนด้านข้าง ชาวบ้านเผ่าปีศาจนับไม่ถ้วนคุกเข่าอยู่บนพื้น คำทักทายและอวยพรนานัปการออกจากปากของพวกเขา
เมื่อนางมาถึงราชสำนัก นางก็ลูบท้องเบาๆ ผ่านแขนเสื้อ
เมื่อนางหันกลับไป มองลงไปยังมหานครสีขาว รอยยิ้มมั่นใจก็ปรากฏบนใบหน้าไม่แยแสของนาง
นี่คือเมืองของนาง
ต่อให้เปี๋ยยั่งหงกับภรรยา เฉินฉางเซิงกับผู้ยิ่งใหญ่นิกายหลวงและหวังผ้อมาพร้อมกัน พวกเขาก็ต้องตายทั้งหมด
……
……
กฎหมายของเผ่าปีศาจนั้นเรียบง่ายมาก มีเพียงสิบเจ็ดหน้าเท่านั้น
ในหน้าแรก มันเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน เมืองไป๋ตี้เป็นของจักรพรรดิขาว
หน้าที่สองเขียนเสริมเอาไว้อย่างน่าฟัง เมืองไป๋ตี้ยังเป็นของเผ่าปีศาจทั้งมวลที่อาศัยอยู่เช่นกัน
ในความเป็นจริง ในขณะที่หน้าแรกถูกบังคับใช้มานานนับปีไม่ถ้วน คำพูดในหน้าที่สองมีอยู่แค่บนหน้ากระดาษเท่านั้น
สำหรับชาวบ้านเผ่าปีศาจ การได้อาศัยอยู่ในเมืองไป๋ตี้เป็นความภาคภูมิใจของเผ่าปีศาจ แต่การเป็นนายของเมืองไป๋ตี้น่ะหรือ มันเป็นได้แค่จินตนาการของคนกล้าที่จะคิดเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเมามากเท่านั้น
บางทีเพราะเหตุนี้ หรือเพราะนิสัยของพวกเขา ชาวเผ่าปีศาจส่วนใหญ่จึงชอบที่จะดื่มสุราซึ่งมีรสร้อนแรงมาก
เขตริมแม่น้ำด้านนอกของเมืองไป๋ตี้เต็มไปด้วยโรงเตี๊ยมขนาดเล็กนานับชนิด โรงเตี๊ยมพวกนี้ขายสุราราคาถูกแต่ร้อนแรงและรสชาติแย่ ส่วนอาหารนั้นราคาแพงมาก พวกเขารีดไถเงินจากชาวบ้านชั้นต่ำและจากคนหนุ่มที่มายังเผ่าของพวกเขาเพื่อค้าขายสินค้า
ที่แบบนี้มีกลิ่นเหม็นของหนังสัตว์ เท้าและอ้วก เป็นธรรมดาที่กลิ่นของมันแย่ยิ่ง หากไม่ใช่เพราะระยะห่างจากแม่น้ำของโรงเตี๊ยมพวกนี้อยู่ในรัศมีที่กรมอนามัยจะส่งคนมาทำความสะอาดถนนได้ทุกวันแล้ว กลิ่นของมันคงแย่จนแม้แต่นายพรานจากชนเผ่าก็ยังไม่อาจทนได้
โรงเตี๊ยมหลังน้อยริมแม่น้ำหลังนี้ก็คึกคักเหมือนเช่นโรงเตี๊ยมอื่น ประตูหลังอ้างว้างไร้ความครึกครื้น จานชามกองสูงเป็นภูเขา ความแตกต่างเดียวของมันกับโรงเตี๊ยมอื่นก็คือร่างใหญ่ยักษ์ที่คุกเข่าอยู่ข้างกองภูเขานี้ ล้างจานชามอยู่หน้าถังน้ำ
ชายร่างยักษ์นี้ก้มหน้าล้างจานเงียบๆ ราวกับว่าโลกเบื้องหลังเขาไม่มีการเชื่อมโยงกับเขาแต่อย่างใด
ประตูหลังของโรงเตี๊ยมส่งเสียงดังเอี๊ยดเมื่อถูกผลักเปิด ลูกค้าที่มึนเมาสองคนโซเซออกมา ดูเหมือนจะมองไม่เห็นคนล้างจาน พวกเขาปลดกางเกงฉี่เสียตรงนั้น คนล้างจานรีบเคลื่อนถังน้ำห่างออกไป ในเวลาเดียวกันก็ไล่ขี้เมาสองคนไป
ในที่สุดทั้งสองก็รู้ว่ามีคนล้างจานอยู่ คนหนึ่งสบถ “เจ้าตาบอดหรือไง! รีบถอยไปสิ!”
เพื่อนเขาเมาน้อยกว่าหน่อย ตบไหล่เขาแล้วชี้ไปที่คนล้างจานและกระซิบอธิบาย ด่าขี้เมานิดหน่อยและระเบิดหัวเราะ “โอ้ นี่เจ้าลูกหมีในตำนานอย่างนั้นหรือ”
เพื่อนของเขาหัวเราะ บอกว่าพวกเขาควรจัดการธุระให้เสร็จแล้วกลับไปดื่มต่อ สหายขี้เมากล่าวเหน็บแนมเล็กน้อยก่อนจากไป
คนล้างจานนำน้ำเหยือกใหญ่มาล้างผนัง หลังจากส่ายหน้าก็ล้างจานต่อไป
เห็นได้ชัดว่าเขามีทักษะในการล้างจานดีทีเดียว กองจานชามในถังน้ำร่ายรำอยู่ในมือเงอะงะของเขา เขาย้ายจานชามสะอาดเข้าสู่ครัวหลังโรงเตี๊ยม ตอนที่เขาเตรียมจะล้างเตา เถ้าแก่ก็เรียกเขา ดูเหมือนกิจการในวันนี้จะดีมากทีเดียว ด้านหน้าวุ่นวายอย่างมาก เขาจึงต้องไปช่วยยกสุรา
ตอนที่เขามาถึงพื้นที่ดื่มสุรา เสียงสนทนาคึกคักก็พลันหยุดลง สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขา
แสงในโรงเตี๊ยมสลัวอยู่บ้าง แต่ก็เพียงพอที่จะเห็นใบหน้าเขา แม้ว่าคนกำยำผู้นี้จะมีหนวดเคราบนใบหน้าดวงตากระจ่างสดใสเห็นได้ชัดว่าเขายังเยาว์ เมื่อคิดถึงข่าวลือว่าเผ่าหมีตรงไปตรงมาและคร่ำครึ คนผู้นี้ย่อมยังเยาว์อย่างแน่นอน
ความเงียบฉับพลันในโรงเตี๊ยมเกิดขึ้นจากกำลังแขนที่แข็งแรงของหมีหนุ่มผู้นี้
เหล้าสิบสองไหแขวนอยู่บนแขนซ้ายราวกับผลไม้สุกงอม พวกมันดูมั่นคงมากไม่สั่นเลยแม้แต่น้อย
“เขาสมกับได้ชื่อว่าเป็นนักล่าที่โดดเด่นที่สุดในเผ่าหมีรุ่นเยาว์ตอนนั้น มีความแข็งแกร่งน่าประทับใจจริงๆ”
“เขาคือเซวียนหยวนผ้ออย่างนั้นหรือ”
ใช่เขาคือเซวียนหยวนผ้อ
หมีหนุ่มในโรงเตี๊ยมริมแม่น้ำนี้ก็คือเซวียนหยวนผ้อ
หลังจากห้าปี ความเรียบง่ายและซื่อสัตย์ก็ดูเหมือนยังคงเดิม
เห็นได้ชัดว่าทั่วทั้งต้าลู่ลืมชื่อของเซวียนหยวนผ้อไปแล้วในตอนนี้ แต่กับลูกค้าประจำของโรงเตี๊ยมนี้กับร้านค้าข้างเคียงชื่อนี้นับว่าโด่งดังทีเดียว เพราะเขาเคยไปจิงตูมาก่อน สำหรับเผ่าปีศาจ โลกมนุษย์นั้นห่างไกลหาใดเปรียบ ใครที่เคยไปล้วนมีสิทธิ์อวดโอ่
ขี้เมาที่ไปด้านหลังเพื่อฉี่หัวเราะและกล่าว “เขาไม่ได้พิการหรอกหรือ”
ด้วยคำพูดนี้สายตามากมายก็จับจ้องไปที่แขนขวาของเซวียนหยวนผ้อ
แขนซ้ายของเซวียนหยวนผ้อหนาราวกำท่อนซุง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง แขนขวาของเขานั้นค่อนข้างเหี่ยวแห้ง ดูราวกับกิ่งของต้นไม้ที่ตายแล้ว
ความแตกต่างระหว่างแขนทั้งสองข้างช่างสะดุดตา ทำให้ภาพรวมนั้นดูน่าอนาถยิ่งขึ้น