ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 98 คุยเรื่องเก่าในเมืองไป๋ตี้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ดินแดนทางตะวันตกของต้าลู่งดงามทว่าอันตราย ดินแดนนี้มีภูเขานับไม่ถ้วนที่มีหิมะปกคลุมตลอดสี่ฤดู มีแม่น้ำใหญ่หลายสายป่าเก่าแก่มากมาย ในแม่น้ำและส่วนลึกของป่าพวกนั้นก็จะมีสัตว์อสูรดุร้ายนับไม่ถ้วน ดินแดนนี้เป็นที่รู้จักโดยชาวบ้านทั่วไปว่าดินแดนของเผ่าปีศาจ

ลึกเข้าไปในแดนของเผ่าปีศาจมีมหานครที่กว้างใหญ่และรุ่งเรือง ตั้งตระหง่านอยู่กลางเทือกเขาและล้อมไว้ด้วยแม่น้ำแดงยาวแปดร้อยลี้ กำแพงสร้างจากหินขาวแวววาว เมื่อรวมกับเมฆที่ปกคลุมอยู่ตลอดปีก็กลายเป็นภาพที่งดงามยากบรรยายแม้มองจากระยะไกลก็ยังน่านับถือและเกรงกลัว มหานครนี้ไม่มีผังลายจักรพรรดิแบบจิงตู หรือค่ายกลใต้ดินแบบพระราชวังหลี ยามต่อสู้กับศัตรูภายนอก มันพึ่งพาแค่กำแพงแกร่งและความมุ่งมั่นไม่สั่นคลอนกับนิสัยดุร้ายของเผ่าปีศาจเท่านั้น

นี่คือเมืองไป๋ตี้ในตำนาน

ว่ากันว่าเมื่อนานนับปีไม่ถ้วนมาแล้ว ตอนที่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ตกลงมายังทางตะวันออกของต้าลู่และเผ่ามนุษย์เริ่มพัฒนาปัญญาความรู้ เผ่าปีศาจก็พัฒนาวัฒนธรรมของตนเองขึ้นมาเช่นกัน อย่างไรก็ตามเพราะพวกเขาอยู่ห่างไกลจากสุสานเทียนซูอยู่บ้าง การบำเพ็ญเพียรของพวกเขาจึงก้าวหน้าช้ากว่าเผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจที่อาศัยอยู่ในแดนรกร้างก็ยังค่อนข้างป่าเถื่อนจนถึงตอนนี้

ก่อนที่จะก่อตั้งประเทศ เผ่าปีศาจไม่ได้มีประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์นักบนดินแดนต้าลู่เพราะธรรมชาติของพวกเขา ถูกแบ่งแยกและกดขี่จากเผ่ามาร เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ที่เกือบสูญพันธุ์เป็นหลักฐานอย่างดีของประวัติศาสตร์อันน่าเศร้านี้ ยิ่งไปกว่านั้นบทบาทของเผ่ามนุษย์ในช่วงเวลานั้นก็ไม่ได้น่ายกย่องแต่อย่างใด

ในที่สุดเมื่อพันกว่าปีก่อน เพื่อเห็นแก่การต่อสู้กับเผ่ามารที่โหดเหี้ยมเหลือจะกล่าวซึ่งแข็งแกร่งขึ้นทุกวี่วัน ผู้นำจากทั้งเผ่าปีศาจและมนุษย์หลายรุ่นได้ใช้ปัญญาและความอดทนอย่างมากจนสามารถทำให้ทั้งสองฝ่ายละวางความแค้นและร่วมมือกันได้ในที่สุด สุดท้ายก็ส่งผลให้เกิดการสร้างพันธมิตรในยุคของจักรพรรดิไท่จง

หลังจากผ่านไปหลายปี ความเกลียดชังระหว่างเผ่าปีศาจกับมนุษย์ก็ค่อยๆ จางหายไป อย่างไรก็ตามเพราะประวัติศาสตร์อันยาวนานและความแตกต่างที่เลี่ยงไม่ได้ระหว่างสองเผ่า พวกเขาก็ยังมองอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นมิตรและระแวดระวัง ยกตัวอย่างเช่นในสงครามที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ กองทัพเผ่ามนุษย์สู้กับเผ่ามารอยู่ในทุ่งหิมะเป็นเวลาสองปีเต็ม ทว่าเผ่าปีศาจไม่ได้ทำอะไรนอกจากให้สองเผ่าเคลื่อนไปทางตะวันออกพันกว่าลี้

เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงอย่างมากในจิงตู ขุนนางและแม่ทัพเผ่ามนุษย์เป็นกังวลว่าเผ่าปีศาจอาจมีความคิดเป็นอื่น แต่ผู้สูงส่งซางสิงโจวยังคงสงบนิ่ง เขาวางใจอย่างมากในการประเมินสถานการณ์ของตน เพราะเขาเชื่อว่าเขามีความเข้าใจในความปรารถนาของมู่ฮูหยินอย่างล้ำลึก

……

……

“อันที่จริงข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าที่ข้าต้องการคืออะไร”

“ตัวตนที่เราใช้ชีวิตกลายเป็นบทบาทที่เราต้องเล่น ไม่ว่าจะเป็นองค์หญิง จักรพรรดินี ภรรยาหรือมารดา”

“แต่เมื่อเราแสดงไปนานเข้า สวมบทบาทมากขึ้น เราก็มักจะลืมไปว่าตัวเราคือใคร”

“หากเจ้าไม่อาจแน่ใจว่าเจ้าเล่นบทบาทไหนอยู่ แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าต้องการอะไร หากเราต้องการที่จะได้คำตอบที่ชัดเจนและถูกต้อง เราก็ต้องมองย้อนกลับไปว่าเรามาจากไหน ย้อนเวลากลับไปยังจุดเริ่มต้น เราต้องจำว่าสิ่งแรกที่เห็นยามลืมตาขึ้นสู่โลกนี้คืออะไร”

“ในตอนนั้นข้ากอดบิดายืนอยู่ที่ริมฝั่ง คลื่นทรงพลังเหมือนกับทะเลมืดดำปั่นป่วน ภายในมีจุดสีขาวร่ายรำอยู่ เป็นภาพอันงดงามมาก”

“แล้วเจ้าล่ะ”

แม่น้ำแดงแปดร้อยลี้ล้อมเมืองไป๋ตี้เอาไว้ ให้ความชุ่มชื้นกับทุ่งหญ้าทั้งสองฝั่งแม่น้ำ ชนเผ่านับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ในป่าเขียวชอุ่ม

ในส่วนลึกของหน้าผาที่ถูกซ๋อนเอาไว้อย่างดีมีอาคารเล็กที่ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของผืนดิน

ตรงหน้าอาคารนี้มีทุ่งหญ้า ใต้ทุ่งหญ้ามีหน้าผาชัน ไกลออกไปมีแม่น้ำแดงเชี่ยวกรากและเมืองอันงดงามในหมู่เมฆ

ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่ขอบหน้าผา มองไปที่แม่น้ำแดงและเมืองสีขาว นางพูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

เด็กสาวใส่ชุดสีดำยืนอยู่ด้านหลังนาง มีโซ่มัดข้อเท้านางเอาไว้ อีกด้านหนึ่งของโซ่ทอดยาวลึกลงไปในดิน แน่นอนว่านี่คือมังกรดำน้อย จี๊ดจี๊ด

นางมองไปที่แผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นและนึกไปถึงคนที่น่าหวาดกลัวที่สุด จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

บางทีอาจเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ก็ดูโดดเด่นและยากเข้าถึงเช่นกัน หรือบางทีอาจเป็นเพราะนางมีนิสัยชอบเอามือไพล่หลังเหมือนกัน

ตอนนี้มีสตรีนางเดียวในโลกปัจจุบันนี้ที่สามารถเทียบกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้ นางนั้นคือมู่ฮูหยิน จักรพรรดินีแห่งเมืองไป๋ตี้

มังกรดำน้อยพิจารณาคำถามของมู่ฮูหยินและตอบ “ข้าเห็นไข่มุก”

นางกางแขนออกในอากาศ “ไข่มุกเม็ดใหญ่เท่านี้”

หากนางไม่พูดเกินจริง เช่นนั้นขนาดของไข่มุกนี้ก็เหลวไหลจริงๆ

มังกรดำน้อยกล่าว “แม่บอกว่าตอนข้าเกิด ข้าชอบร้องไห้ ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามกล่อมข้าเท่าไรก็ไม่ยอมหยุด มีแต่ตอนที่ข้าได้กอดไข่มุกนั่นข้าจึงจะเงียบลงได้”

มู่ฮูหยินถาม “คาดว่ามันคงเป็นน้ำตานางเงือกในตำนานกระมัง”

เผ่ามังกรอาศัยอยู่ในทะเลใต้ที่ห่างไกล ดินแดนต้าซีก็เป็นดินแดนที่อยู่โพ้นทะเล ดังนั้นทั้งสองย่อมมีตำนานคล้ายคลึงกันและพอจะเข้าใจอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง

มังกรดำเสริม “หลังจากนั้นสะพานอุดรใหม่ บัณฑิตหวังก็เอามันไป”

มู่ฮูหยินกล่าว “รู้จักแต่รังแกเด็กน้อยอย่างเจ้า ใต้เท้าหวังไม่อาจนับเป็นวีรบุรุษ”

มังกรดำน้อยเห็นด้วยกับคำพูดนี้และกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “จักรพรรดินีเป็นคนที่ยอดเยี่ยม ไม่มีทางรักแกเด็กน้อยอย่างข้า”

มู่ฮูหยินปฏิเสธ “ข้าไม่ใช่วีรบุรุษ เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง”

มังกรดำรู้สึกถูกเอาเปรียบเลยถาม “แล้วพระนางจะขังข้าอีกนานแค่ไหน”

มู่ฮูหยินตอบ “ข้าไม่ใช่ใต้เท้าหวัง และข้าก็ไม่ใช่เทียนไห่ ข้าไม่คิดจะขังเจ้า”

มังกรดำเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็ถาม “แล้วท่านตั้งใจจะฆ่าข้าเมื่อไหร่”

“เผ่าปีศาจตั้งประเทศได้ก็เพราะเผ่ามังกรยักษ์น้ำค้างแข็งเจ้า หากข้าไม่ต้องการจะเพาะความแค้นกับเผ่าปีศาจทั้งหมด ข้าก็ไม่อาจฆ่าเจ้า”

มู่ฮูหยินมองไปที่เมืองสีขาวอันกว้างใหญ่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำแดงและกล่าวอย่างสุขุม “ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเจ้าจะยังไม่ฟื้นฟูความแข็งแกร่งเต็มที่ เจ้าก็ยังฆ่าไม่ได้ง่ายนัก หากไม่ใช่เพราะดวงวิญญาณของเจ้าเคยถูกดึงออกมาก่อน ข้าคงจับเจ้าอย่างเงียบเชียบได้ยาก”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ มังกรดำน้อยก็นึกไปถึงภาพจากสะพานอุดรใหม่โดยเฉพาะความเจ็บปวดตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ดึงดวงวิญญาณของนางออกมา ทำให้นางหน้าซีดลง และตอนที่นางนึกถึงความเจ็บปวดจากตอนที่ลมหายใจมังกรเยือกแข็งของนางถูกผู้หญิงคนนี้ดึงออกจากร่างนางเมื่อไม่กี่วันก่อน นัยน์ตาแนวตั้งของนางก็หดตัวลง ประกายความเกลียดชังฉายขึ้น

นางจ้องไปที่มู่ฮูหยินและถาม “เจ้าต้องการจะทำอะไร”

มู่ฮูหยินไม่ได้หันกลับไปและกล่าวเบาๆ “ข้าน่าจะเป็นคนถามคำถามนี้กับเจ้ามากกว่า ในการต่อสู้ที่เทือกเขา ราชามารไว้ชีวิตเจ้าเพื่อเห็นแก่มิตรภาพที่มีกับพ่อเจ้า แต่เจ้าตัดสินใจแกล้งตายแล้วลอบมาที่เมืองไป๋ตี้ เฉินฉางเซิงต้องการให้เจ้าทำอะไรกันแน่”

มังกรดำน้อยไม่ได้พูดอะไร

นางไดรับคำสั่งจากเฉินฉางเซิงให้มาเมืองไป๋ตี้เพื่อพบกับจักรพรรดิขาว แต่จักรพรรดิขาวกักตนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ส่งผลให้นางได้แต่หาทางพบลั่วลั่ว แต่ก่อนที่นางจะได้เข้าวัง นางก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตอนที่นางตั้งใจจะจากไป มันก็สายไปแล้ว นางจบลงด้วยการถูกมู่ฮูหยินจับตัวเอาไว้

เฉินฉางเซิงพูดไว้ชัดเจนว่าไม่ว่านางจะพบจักรพรรดิขาวหรือลั่วลั่ว นางก็ต้องปิดบังมู่ฮูหยินเอาไว้ ทุกคนสามารถมองเห็นปัญหาระหว่างราชสำนัก นิกายหลวงและเมืองไป๋ตี้ออก แต่นางคาดไม่ถึงว่าท่าทีของมู่ฮูหยินจะแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ แค่การตกลงกันเงียบๆ ระหว่างนางกับซางสิงโจวนั้นไม่เพียงพอที่จะอธิบายท่าทีเช่นนี้ได้

นางพลันคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งและกล่าวด้วยเสียงที่ต่ำอยู่บ้าง “หรือว่าคนจากดินแดนต้าซีต้องการจะสร้างความปั่นป่วนในต้าลู่”

มู่ฮูหยินยิ้มจาง “เราเตรียมการมาหลายร้อยปี แค่พายุลูกเดียวจะเพียงพอหรือ”

การคาดเดาของนางได้รับการยืนยันแล้ว ทำให้มังกรดำน้อยนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็กล่าว “พวกเจ้าไม่มีใครตระหนักถึงสาเหตุที่แท้จริงที่มู่จิวซือถูกขับออกจากพระราชวังหลีได้เลยหรือ สังฆราชระวังเจ้ามาตลอด มีคนมากมายที่ยังระวังเจ้า ยังไม่ลืมเจ้า”

มู่ฮูหยินหันไปช้าๆ รอยยิ้มของนางจางลง “แล้วยังไง”

มังกรดำจ้องตานางและตอบ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีแผนร้ายอะไร แต่ข้ารู้ว่ามีคนตายเมื่อวานนี้ในขณะที่เฉินฉางเซิงยังมีชีวิตอยู่”

คนนับล้านๆ คนอาศัยอยู่ในดินแดนต้าลู่ มีหลายคนตายลงอยู่ทุกขณะด้วยเหตุผลต่างๆ นานา

แค่ความตายของคนธรรมดาย่อมไม่อาจทำให้นางสนใจ อย่าว่าแต่เอ่ยถึง

ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์มีความเชื่อมโยงทางวิญญาณร่วมกัน แม้ว่าการบำเพ็ญเพียรของนางจะตกต่ำลงอย่างมาก กระนั้นนางก็ยังไม่เสียการเชื่อมโยงนี้ไป

นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามียอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้กลับคืนสู่ทะเลดวงดาวเมื่อวานนี้

นางไม่รู้เลยว่ายอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นคือพระปิตุลาของดินแดนต้าซี

แต่มู่ฮูหยินรู้และรอยยิ้มที่เหลืออยู่ก็สลายหายไปจนหมด