ตอนที่ 1086: บันทึกโบราณ

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1086: บันทึกโบราณ

มีบันทึกโบราณอยู่มากมาย ทั้งหมดถูกเก็บอย่างเรียบร้อยอยู่ที่ชั้นวาง หนังสือแต่ละเล่มทำมาจากหนังของสัตว์อสูรชั้นสูง ในขณะที่พลังของโถงศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนอยู่ภายใน หนังสือจึงมีการป้องกันอยู่สองชั้น ดังนั้นมันจึงอยู่มาได้นานมาก

แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่หนังสือหลายเล่มก็ยังมีทรุดโทรมลง แม้ว่าพวกมันจะทำมาจากหนังของสัตว์อสูรชั้นสูงและถูกปกป้องจากพลังของโถงศักดิ์สิทธิ์ แต่พวมันก็เริ่มเป็นสีเหลือง เหมือนชายชราที่กำลังถึงวาระสุดท้าย

เหตุการณ์ใหญ่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในครั้งโบราณกาลได้ถูกบันทึกเอาไว้ พร้อมกับเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและคนที่มีชื่อเสียงมาก นี่รวมถึงบันทึกที่เกี่ยวกับจอมยุทธมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โมเทียนหยุน พยัคฆ์ปีกเทวะของทวีปสัตว์เทวะ เทพเจ้าสงครามเออหยินของร้อยเผ่าพันธุ์ และเทพเจ้าแห่งท้องทะเล

เจี้ยนเฉินสงสัยอย่างมากมาตลอดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสี่คน ดังนั้นเขาจึงเริ่มหาข้อมูล

เขาหาเรื่องเกี่ยวกับโมเทียนหยุนก่อน เขาต้องการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการเติบโตของโมเทียนหยุน เขาต้องได้อ่านบันทึกความรุ่งโรจน์เกี่ยวกับการต่อสู้โดยเป็นตำนานที่ไม่มีใครเทียบได้แน่

However, Jian Chen suddenly discovered that there were no such records after flipping through them. Mo Tianyun’s name rocked through the world when the Hundred Races invaded since he had fended them off. However, before the invasion, Jian Chen actually found no information regarding him at all, as if he had truly emerged from a fairytale.

อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินก็พบว่าไม่มีบันทึกแบบนั้นเลยในตอนที่เขาเปิดหา ชื่อของโมเทียนหยุนนั้นกระฉ่อนไปทั่วโลกในตอนที่ร้อยตระกูลบุกรุกมาและเขาก็ขับไล่พวกนั้นไป

อย่างไรก็ตาม ก่อนการบุกรุกนั้น เจี้ยนเฉินก็ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวกับเขาเลย เหมือนว่าเขาออกมาจากนิทาน

อีกทั้ง ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นมา ความแข็งแกร่งของเขานั้นหาใดเปรียบได้ ไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ และเขานั้นไร้เทียมทาน เขาขับไล่จอมยุทธของร้อยเผ่าพันธุ์ที่ทำให้มนุษย์ล่าถอยไปได้ด้วยตัวของเขาเอง และเขาก็ฆ่าคนของร้อยเผ่าพันธุ์ไปหลายคนก่อนที่จะออกไปมิติด้านนอกเพื่อปกป้องทวีปเทียนหยวนจากความวุ่นวาย

หลังจากนั้น เทพเจ้าสงครามของร้อยเผ่าพันธุ์ เอ่อหยินก็เข้าไปในมิติภายนอกพร้อมกับขวานศึกสีทองของเขา ความตึงเครียดของการต่อสู้ของเขากระจายไปในโลก ทำให้ท้องฟ้าแตกกระจาย เขาทำศึกครั้งใหญ่กับโมเทียนหยุน

ในระหว่างการต่อสู้นั้น ทั้งสวรรค์และแผ่นดินนั้นแตกแยก ทั่วทั้งทวีปสั่นไหวและทลายลงไปกลายเป็นทะเล ในท้ายที่สุดเอ่อหยินก็พ่ายและล่าถอยไป

ในยุคสมัยนั้น โลกนั้นโกลาหลวุ่นวาย เซียนจักรพรรดิเกิดขึ้นคนแล้วคนเล่า ในขณะที่มนุษย์ สัตว์อสูร และคนของร้อยเผ่าพันธุ์ก็สู้รบกับอยู่เรื่อย ๆ มีคนล้มตายนับไม่ถ้วน

ในตอนแรกร้อยเผ่าพันธุ์นั้นอยู่ที่ทวีปสัตว์เทวะ ก่อนที่พวกเขาจะถูกพยัคฆ์ปีกเทวะและจอมยุทธของทวีปสัตว์เทวะขับไล่ออกมา นั้นเป็นสาเหตุที่สงครามโบราณเกิดขึ้น ร้อยเผ่าพันธุ์ตอบโต้สัตว์อสูรก่อนและหลังจากที่ทำไม่สำเร็จ พวกเขาก็หันไปสู้กับมนุษย์ พวกเขาต้องการที่จะยึดทวีปเทียนหยวน แต่พวกเขาทั้งหมดก็ถูกโมเทียนหยุนหยุดเอาไว้

เอ่อหยินปะทะกับโมเทียนหยุนหลายครั้ง และครั้งสุดท้ายพวกเขาก็ได้สู้กันที่กลางทวีป

มันเป็นการต่อสู้ที่ตึงเครียดที่สุด โมเทียนหยุนแสดงความสามารถที่ยิ่งใหญ่ออกมา ในขณะที่เอ่อหยินใช้ความลึกลับแห่งสงครามที่ยิ่งใหญ่ของเขา แรงกดดันนั้นมหาศาลขนาดที่เซียนจักรพรรดิยังไม่สามารถทนได้ และทำให้พวกเขาต้องถอยห่างออกไปมากว่าหมื่นกิโลเมตร

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ก็จบลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ในตอนที่มันเริ่มขึ้น เอ่อหยินก็พ่ายถอยไปอีกครั้ง เขาได้รับบาดเจ็บอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน และเขาก็ไม่กล้าที่จะเหยียบเข้ามาที่ทวีปเทียนหยวนอีก มีหลุมลึกไร้ก้นเกิดขึ้นใต้สถานที่ที่พวกเขาต่อสู้กัน และโมเทียนหยุนก็ใช้ความสามารถของเขาในการย้ายแผ่นดินมาเติมลงไปในมัน เขาก่อตั้งเมืองทหารรับจ้างขึ้นตรงนั้น

เจี้ยนเฉินทำความเข้าใจในใจในขณะที่เขาอ่านมาถึงจุดนี้ ในตอนที่โมเทียนหยุนทำให้เทพเจ้าแห่งสงครามได้รับบาดเจ็บ เขาก็ได้ทำให้เทพเจ้าแห่งสงครามบาดเจ็บอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ? เจี้ยนเฉินจินตนาการถึงโมเทียนหยุนที่ยืนอยู่อย่างวีรบุรุษในขณะที่ชุดสีขาวของเขาปลิวไสวไปกับสายลม

“หลุมไร้ก้นบึ้งนั้นต้องเป็นอุโมงค์ไปสู่โลกเซียนที่ถูกทอดทิ้งแน่” เจี้ยนเฉินพึมพำในขณะที่เขาถือหนังสือเอาไว้ เขาเริ่มอ่านต่อ

หลังจากที่ล่าถอยมาจากการต่อสู้กับโมเทียนหยุนแล้ว ร้อยเผ่าพันธุ์ก็ไม่ได้ยอมแพ้ เทพเจ้าแห่งสงครามนำคนของเขาไปโจมตีสัตว์อสูรอีกครั้ง และทำให้ทั้งสองฝ่ายสูญเสียไปเป็นจำนวนมาก หลังจากที่ผ่านไปหลายศึก เทพเจ้าแห่งสงครามก็ถูกพยัคฆ์ปีกเทวะสังหารไปในที่สุด เลือดสีทองกระเด็นไปทั่วพื้น

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จอมยุทธที่สุดยอดทั้งสี่ในครั้งโบราณกาลก็เหลือเพียงแค่สาม

มีข่าวลือที่ว่า ร่างของเทพเจ้าแห่งสงครามนั้นไม่เน่าเปื่อยแม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว มันคงอยู่ไปตลอด ดังนั้น จอมยุทธของร้อยเผ่าพันธุ์จึงเก็บมันกลับมาพร้อมกับเลือดของเขา พวกเขาต้องการที่จะใช้สุดยอดทักษะเพื่อที่จะชุบชีวิตเขาขึ้นมา

แต่ในท้ายที่สุด ลูกหลานของพยัคฆ์ปีกเทวะก็เอาศพของเทพเจ้าสงครามไป ซึ่งเป็นการขัดขวางแผนในการคืนชีพของพวกเขา เขาใช้พลังที่ยอมเยี่ยมในการผนึกศพของเทพเจ้าสงครามเอาไว้ที่ทวีปที่เยือกเย็น และสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ทั้งสามก็จบลงตรงนั้น

โมเทียนหยุนกลายเป็นเจ้าเมืองของเมืองทหารรับจ้าง และหายไปจากการเป็นจุดสนใจในหลายทศวรรษต่อมา หลังจากนั้น เขาก็หายตัวไป เหลือทิ้งไว้เพียงข้อความหนึ่ง เขาได้ทำข้อตกลงกันอย่างลับ ๆ กับพยัคฆ์ปีกเทวะว่า ทวีปเทียนหยวนแลทวีปสัตว์เทวะจะไม่ทำสงครามกัน

เห็นได้ชัดว่า พยัคฆ์ปีกเทวะในครั้งโบราณนั้นเป็นเทพเจ้าของเหล่าสัตว์อสูรและเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์ ร้อยปีต่อมา ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้น โดยเกาะมังกรและพยัคฆ์ปีกเทวะได้หายไปพร้อมกับตระกูลฟีนิกซ์เทวะและตระกูลมังกร ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาหายไปไหน มันเป็นเรื่องลึกลับที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย

เจี้ยนเฉินไม่พบข้อมูลลเกี่ยวกับชีวิตของพยัคฆ์ปีกเทวะเลยในครั้งโบราณกาล เหมือนจู่ ๆ มันก็ปรากฏขึ้นมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ พร้อมกับความแข็งแกร่งที่สุดยอดในตอนที่มันปรากฏตัวขึ้นมา มันไม่เหมือนเสือขาวที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกก่อนที่มันจะโตเต็มวัยเสียอีก

ในตอนที่สงความระหว่างสามเผ่าพันธุ์ยังไม่เกิด สัตว์อสูรนั้นอาศัยอยู่ในทวีปเดียวกันกับมนุษย์ เทือกเขาครอสในตอนนี้เป็นที่ซึ่งสัตว์อสูรอาศัยอยู่ในตอนนั้น ทันทีที่พยัคฆ์ปีกเทวะปรากฏตัวขึ้นมา มันก็นำสัตว์อสูรออกจากเทือกเขาครอสไปยังทวีปสัตว์เทวะที่พวกเขาได้ขับไล่ร้อยเผ่าพันธุ์ออกไป นี่ทำให้เกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ทั้งสาม

หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็ตรวจดูบันทึกเกี่ยวกับเทพเจ้าสงครามเอ่อหยิน มันกล่าวว่าเขาเกิดมาในตระกูลชาวไร่ธรรมดา และเลือดสีทองก็ปรากฏขึ้นมาในตอนที่เขาเกิด เขายังมีความแข็งแกร่งที่สุดยอด และมีรูปลักษณ์เหมือนเถี่ยต้าในตอนที่เขายังหนุ่ม

ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อาวุโสของโถงทั้งหมดของร้อยเผ่าพันธุ์ก็มารวมตัวกัน พวกเขาเชิญเอ่อหยินที่ยังหนุ่มไปที่โถงเทพเจ้าแห่งสงครามที่ยิ่งใหญ่ด้วยความตื่นเต้นและเคารพ หลังจากนั้น ก็ไม่มีใครได้ยินเรื่องของเขาอีกเลย

มันเป็นอย่างนี้อยู่ห้าร้อยปี เอ่อหยินก็ออกมาจากโถงเทพเจ้าสงคราม ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้ก้าวข้ามเซียนจักรพรรดิไปแล้ว เขาเติบโตอย่างน่าตกใจและชื่อของเขาก็กระฉ่อนไปทั่วโลก ทันทีที่เขาออกมา เขาก็กลายเป็นผู้นำของโถงเทพเจ้าสงคราม

หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็ตรวจดูเรื่องของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเผ่าพันธุ์ทะเลเป็นเพียงพวกเดียวที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสงคราม มันจึงมีข้อมูลเกี่ยวกับนางเพียงเล็กน้อยไม่กี่บรรทัดเท่านั้น

จากนั้น เจี้ยนเฉินก็พบบันทึกเกี่ยวกับหอคอยสัตว์เทวะ มันบอกเรื่องชั้นที่ 99 ที่เป็นตำนานของพยัคฆ์ปีกเทวะในตำนาน มีเพียงสัตว์อสูรที่มีเชื้อสายของพยัคฆ์ปีกเทวะเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปเอาตำนานนั้นได้ แม้ว่า จะไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นความจริงหรือไม่

ในไม่ช้า เจี้ยนเฉินก็พบบันทึกโบราณเกี่ยวกับเรื่องศาลาเทพธิดาน้ำแข็งอาร์กติกอีก มันบอกเกี่ยวกับองกรค์ที่ลึกลับและทรงพลังที่อยู่ที่ขั้วโลกมาเสมอ

ศาลาเทพธิดาน้ำแข็งนั้นมีมานานแสนนาน ก่อนที่เซียนจักรพรรดิคนแรกของตระกูลจะเกิดขึ้นมา ก่อนที่ตระกูลผู้พิทักษ์มีอยู่ ก่อนที่สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ทั้งสามเกิดขึ้น ศาลาเทพเจ้าน้ำแข็งก็มีอยู่มานานนับไม่ถ้วนปีแล้ว

ในสายตาของตระกูลผู้พิทักษ์โบราณ ศาลาเทพธิดาน้ำแข็งอาร์กติกนั้นเป็นกำลังที่ทรงพลังและลึกลับ พวกเขาไม่เคยย้ายเข้ามาที่ทวีปเทียนหยวนเลย และไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งในทวีป แม้แต่การต่อสู้ที่เคร่งเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างเผ่าพันธ์ทั้งสาม ศาลาเทพธิดาน้ำแข็งก็ได้แต่สังเกตการอยู่ที่ขั้วโลก

ถ้าศาลาเทพธิดาน้ำแข็งนั้นอ่อนแอก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างไรตาม เจี้ยนเฉินยังพบข้อความของเซียนจักรพรรดิหลายคนที่บอกว่าอย่าไปหาเรื่องศาลาเทพธิดาน้ำแข็ง

เจี้ยนเฉินนั่งอยู่บนพื้นในขณะที่เขาเปิดผ่านบันทึกโบราณเกี่ยวกับศาลาเทพธิดาน้ำแข็งไปอย่างช้า ๆ เขามาถึงตอนสุดท้ายอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เขาพุ่งความสนใจ เขาพบว่าในตอนท้ายนั้นเป็นบรรทัดที่เขียนขึ้นมาใหม่

“ศาลาเทพธิดาน้ำแข็งได้ลดตัวลงมาที่เมืองลอร์ในวันที่…เดือน…ของปี… หิมะเต็มไปทั่วท้องฟ้า ฤดูร้อนเปลี่ยนไปเป็นฤดูหนาวและน้ำแข็งก็ปกคุลมไปทั่วรัศมีหมื่นกิโลเมตร…” ข้อความที่เกือบจะอยู่ท้ายที่สุดมีบันทึกเกี่ยวกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ของศาลาเทพธิดาน้ำแข็งด้วย เจียงหยาง หมิงเยว่ มันมีบันทึกตั้งแต่ที่นางเกิด จนถึงตอนที่นางเติบิโตขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย

เจี้ยนเฉินปิดบันทึกช้า ๆ ในขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องศาลาเทพธิดาน้ำแข็ง น่าเสียดายที่บันทึกไม่ได้มีรายละเอียดมากเกี่ยวกับต้นกำเนิดของศาลาเทพธิดาน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยความลึกลับ

“เจ้าอยู่ในองค์กรแบบไหนกันนะ?” เจี้ยนเฉินเต็มไปด้วยความสงสัยในใจ เขารู้จากบันทึกว่าตลอดเวลาที่ศาลาเทพธิดาน้ำแข็งมีอยู่นั้น มันเคยไปที่อื่นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และมันก็คือน้องของเขา เจียงหยาง หมิงเยว่

“ในเมื่อทั้งโมเทียนหยุนและพยัคฆ์ปีกเทวะโบราณได้เกิดมาบนทวีปเทียนหยวน ทำไมถึงไม่มีบันทึกในตอนที่สองคนนี้โตขึ้นมาเลยล่ะ มันถูกใครลบไปหรือเปล่า ? ” เจี้ยนเฉินสงสัย

“ในจอมยุทธทั้งสี่คนในครั้งโบราณกาลนั้น เทพเจ้าสงครามตายในการต่อสู้ เทพเจ้าแห่งท้องทะเลนั้นหมดอายุขัยและในตอนนี้ก็อยู่ในรูปแบบวิญญาณเพราะความมีน้ำใจของพยัคฆ์ปีกเทวะ แต่พยัคฆ์ปีกเทวะที่เข็งแกร่งขนาดช่วยเทพเจ้าแห่งท้องทะเลได้ยังหายไปพร้อมกับตระกูลมังกรและตระกูลฟีนิกซ์”

“และพยัคฆ์ปีกเทวะยังหายไปเวลาเดียวกันกับผู้อาวุโสโมเทียนหยุนอีก พวกท่านทั้งสองคนตายหรือพวกท่านไปอีกที่เหมือนที่เสี่ยวหลิงอธิบายอย่างนั้นหรือ ? ความสงสัยเต็มอยู่ในหัวของเจี้ยนเฉินในตอนนี้

“เกาะมังกรถูกยึดครองโดยสัตว์อสูร มันเป็นอาณาเขตของพยัคฆ์ปีกเทวะ เมื่อครั้งโบราณกาล ศิลาเซียนหยินหยางได้ตกลงมาที่เกาะมังกร และจากนั้นมันก็ย้ายผ่านช่องมิติไปยังมิติที่ห่างไกลโดยโมเทียนหยุนและอาคมที่ทรงพลังของเขา ตระกูลมังกร ตระกูลฟีนิกซ์และโมเทียนหยุนหายไปโดยไม่มีข่าวอะไรเลย ทำให้หลายหลายคนเชื่อว่าพวกเขาตายแล้ว”

“ในโลกที่ถูกศิลาเซียนหยินหยางสร้างขึ้นมา เศษเสี้ยวจิตสำนึกที่โมเทียนหยุนได้ทิ้งเอาไว้จำจิตวิญญาณกระบี่ได้ ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้อย่างมากว่าผู้อาวุโสโมเทียนหยุนนั้นมาจากโลกเดียวกันกับจิตวิญญาณกระบี่” เจี้ยนเฉินสรุปในใจ หลังจากนั้น ตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นและความเป็นไปได้ที่บ้าบิ่นก็เข้ามาในใจของเขา บางทีโมเทียนหยุนอาจจะยังไม่ตายและพยัคฆ์ปีกเทวะก็ยังไม่ตายเหมือนกัน พวกเขามีความเชื่อมโยงบางอย่างที่ทิ้งไว้ให้เทพเจ้าแห่งท้องทะเล ในขณะที่พวกเขาหายไปกันเอง บางทีนั้นอาจจะเป็นสถานที่ที่พวกเขาต้องการให้ไปก็เป็นได้