ตอนที่ 1037 ค่ายกลไท่เทียน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ในห้วงเวลาวิกฤตินี้เอง จู่ๆ เสาแสงสีน้ำเงิน สีเหลือง สีดำ สีขาวสี่ต้นก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือป้อมปราการไท่เทียน เสียงอสนีบาตฟาดกลางฟ้าแจ้ง แรงกดดันจิตวิญญาณแข็งแกร่งที่ท่วมท้นท้องฟ้าซัดสาดไปทั่วทุกสารทิศ

หลิ่วหมิงตกตะลึงรีบหันศีรษะกลับไปมอง

เขาเห็นเงาคนสี่ร่างที่สวมชุดผู้อาวุโสสูงสุดของสี่กองทัพในเสาแสงทั้งสี่ต้นอย่างชัดเจน

คนหนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าเคราดกสีดำ ใบหน้าดำคล้ำดุจเหล็กผู้สวมชุดเหลือง เขาก็คือผู้อาวุโสฝางจากนิกายเทียนกงที่เคยปรากฏตัวก่อนหน้านี้นั่นเอง

อีกผู้หนึ่งคือผู้เฒ่าจมูกแดงสวมชุดยาวสีน้ำเงินคนหนึ่ง เขาน่าจะเป็นเผิงคุนผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่ประจำอยู่ที่นี่

ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ของสำนักเฮ่าหรานเป็นบุรุษวัยกลางคนคิ้วกระบี่หน้าตาเคร่งขรึมเย็นชาผู้สวมชุดบัณฑิตสีขาวคนหนึ่ง

ส่วนผู้อาวุโสจากนิกายปีศาจลี้ลับสวมอาภรณ์แปลกประหลาดอยู่บ้าง เขาเป็นบุรุษร่างใหญ่ผิวดำผู้เปลือยครึ่งท่อนและแบกหินยักษ์สีดำที่สูงกว่าตัวก้อนหนึ่งไว้บนแผ่นหลัง

ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม ในมือถือแผ่นค่ายกลที่ส่องแสงสี่สีชิ้นหนึ่ง

ทันใดนั้นทั้งสี่คนก็ยื่นแผ่นค่ายกลออกมาเบื้องหน้า ปากเริ่มส่งเสียงท่องมนตร์ทุ้มต่ำแผ่วเบาออกมา

เสียงท่องมนตร์นี้งึมงำยากจะฟังออก ทว่าแม้แผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน แต่กลับส่งมาถึงหูของทุกคนเบื้องล่างชัดเจนอย่างยิ่ง ชวนให้คนรู้สึกประหลาดยิ่งนัก

ครู่ต่อมาแสงเรืองรองสี่สีแถบแล้วแถบเล่าก็ซัดสาดออกมาจากแผ่นค่ายกลในมือคนทั้งสี่ พวกมันหมุนเป็นวงแล้วรวมตัวกันที่จุดหนึ่งตรงกลางระหว่างพวกเขา แล้วก่อตัวเป็นลูกบอลแสงสี่สีที่หมุนอย่างเชื่องช้าลูกหนึ่ง

ต่อมานิ้วมืออีกข้างหนึ่งของสี่ผู้เฒ่าต่างขยับวาดอักขระประหลาดตัวหนึ่งกลางอากาศ

อักขระประหลาดสี่ตัวส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วทยอยจมเข้าไปในลูกบอลแสงสี่สีตรงกลาง

“บึ๊ม!”

ลูกบอลแสงสี่สีพังทลายดังสนั่น ระเบิดแสงแสบตาสายแล้วสายเล่าออกมาพร้อมเสียงดังกึกก้องประหนึ่งแผ่นดินสะเทือนขุนเขาสั่นคลอน!

เหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ทำให้ผู้คนมากมายรอบป้อมปราการไท่เทียน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ที่กำลังต่อสู้อย่างยากลำบากหรือกองทัพผีร้ายที่เข่นฆ่าจนตาแดงก่ำหยุดต่อสู้เพราะความตกตะลึง แล้วพากันเงยหน้ามอง

เวลานี้ท้องฟ้าเหนือป้อมปราการไท่เทียนถูกแสงรัศมีหมื่นจั้งแสบตากลบทับจนมองไม่เห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นด้านในแม้แต่น้อย

ทว่าชั่วลมหายใจเดียว แสงแสบตาก็ดับลง เงาภูเขามหึมาดั่งยอดเขายักษ์ไท่ซานก็พลันปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าบดบังท้องนภาทั้งผืนเหนือป้อมปราการไท่เทียนและบริเวณหนึ่งลี้กว่ารอบด้านจนมืดหม่นไร้แสงตะวัน พลังมหาศาลแผ่ออกไปกว้างไกลอย่างที่สุด!

ยอดเขายักษ์เสมือนหนึ่งของจริง สันเขาเห็นเหลี่ยมมุมชัด เมื่อมองดูถึงขนาดมองเห็นต้นซงกับต้นไป๋เขียวชอุ่มบนยอดรวมถึงนกกระเรียนที่บินร่อนวนเวียนชัดเจน

“ค่ายกลไท่เทียน!”

หลิ่วหมิงฉุกคิดขึ้นมาได้ก็รีบร้อนกวักมือข้างหนึ่งเก็บเซียเอ๋อร์และเฟยเอ๋อร์กลับเข้าไปในถุงหนังข้างเอว ความคิดในสมองแล่นเร็วไว

ป้อมปราการไท่เทียนถูกสี่กองทัพใหญ่ของเผ่ามนุษย์สร้างขึ้นมาด้วยกัน ค่ายกลไท่เทียนนี่คือมาตราการสุดท้ายของป้อมปราการแห่งนี้ ตามที่ตกลงกันไว้ จะต้องให้ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์สี่คนจากสี่กองทัพใหญ่ที่ประจำอยู่กระตุ้นพร้อมกันจึงจะใช้ได้ มันมีพลังทำลายล้างภูตผี แต่มีข้อจำกัดมากมาย อีกทั้งแต่ละครั้งที่ใช้ต้องเว้นช่วงหนึ่งร้อยปีขึ้นไป

ทันใดนั้นเองเสียงดังสนั่นก็ดังขึ้นขัดความคิดของเขา

ยอดเขายักษ์ทั้งลูกบนท้องฟ้าเหนือป้อมปราการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เงาศิลายักษ์ขนาดเท่าหอคอยก้อนแล้วก้อนเล่าร่วงหล่นจากยอดเขาลงมาเบื้องล่าง

ชั่วขณะหนึ่งเงาศิลายักษ์พุ่งไปทั่วทุกสารทิศเต็มผืนนภาดั่งอุกกาบาต โปรยปรายล้อมรอบป้อมปราการไท่เทียนดุจสายฝน

ในเวลาเดียวกันนั้นลมปราณน่ากวาดกลัวที่เหมือนจะทำลายทุกสิ่งให้พินาศก็ถาโถมออกมา!

ทหารผีที่อยู่ใกล้กำแพงเมืองเห็นสถานการณ์เช่นนี้ต่างพากันหน้าถอดสี ผีแม่ทัพที่เป็นหัวหน้าไม่น้อยตะโกนลั่นว่า “ถอยทัพ” อย่างไม่ลังเล ทหารผีจำนวนมากต่างหมุนตัวหนีไปไกลในทันใด

ทว่าระดับดาราพยากรณ์สี่คนร่วมมือกันเรียกค่ายกลชั้นจำกัดยักษ์แห่งป้อมปราการไท่เทียนนี้ออกมาแล้ว จะปล่อยพวกมันจากไปง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร?

อึดใจต่อมา “เปรี้ยงๆ” เสียงก็ดังสนั่นไม่ขาดสายทุกหนแห่ง!

กระบวนทัพของทหารผีถูกเงาศิลายักษ์โจมตี ไม่ว่าระดับล่างหรือระดับสูงล้วนถูกบดขยี้เป็นเนื้อแหลกเหลว วิญญาณแตกสลายกลายเป็นควันสีเทาลอยตลบ

แม้เป็นผีแม่ทัพระดับแก่นแท้เหล่านั้นหรือผีรองแม่ทัพระดับผลึก ต่อหน้าศิลายักษ์เต็มฟ้านี้ก็ไม่มีค่าให้เอ่ยถึงสักนิด อย่างเบาก็ถูกทับบาดเจ็บสาหัส อย่างหนักก็ถูกทับกลายเป็นเนื้อแหลกเหลวดุจเดียวกัน

แต่สำหรับผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ ศิลายักษ์เหล่านี้กลับเหมือนความว่างเปล่า พวกมันทะลุผ่านร่างไปโดยไม่ทำอันตรายแม้แต่น้อย

นี่ทำให้ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ที่เดิมทีหวาดผวาตื่นตระหนกอยู่นิดๆ พากันตื่นเต้นยินดีและเริ่มมีความหวัง!

ชั่วขณะหนึ่งกองทัพผีร้ายที่เดิมทีดุร้ายโหดเหี้ยมมีแต่เสียงภูตผีโหยหวนดังระงม!

หลังจากศิลายักษ์เหล่านี้ร่วงลงพื้น พวกมันยังระเบิดตัวเองกลายเป็นดวงแสงสีขาวดวงแล้วดวงเล่า

ทันทีที่ภูตผีซึ่งไม่ถูกเงาศิลายักษ์โจมตีเหล่านั้นต้องแสงสีขาวจากศิลายักษ์ ปราณวิญญาณที่พลุ่งพล่านทั่วร่างก็ลุกไหม้ไม่หยุดกลายเป็นควันสีขาวสายแล้วสายเล่าลอยขึ้นมา

ภูตผีระดับล่างจำนวนหนึ่งในนั้นถูกแสงสีขาวแผดเผาจนกลายเป็นเถ้า ผีแม่ทัพระดับสูงหลายตนแม้การตอบสนองจะไม่ช้า ตั้งแต่ตอนที่ศิลายักษ์ร่วงลงมาก็ทยอยถอยไปด้านหลัง ทว่าพวกเขาก็ยังถูกแสงสีขาวที่สาดส่องรอบด้านทำร้าย บนร่างเกิดเปลวเพลิงลุกโหมขึ้นมาดุจดียวกัน

ชั่วเวลาหนึ่งเสียงคำรามโหยหวนทุกข์ทรมานดังขึ้นไม่ขาด เพียงครู่เดียวทหารผีนับพันกลับกลายเป็นหมอกภูตสีเทาหนาเกาะกันเป็นกลุ่มจากฝีมือเงาศิลายักษ์กับแสงสีขาว

ภูตคนตายที่เหลือจำนวนไม่มากถูกศิลายักษ์ร่วงทับก็มีสีหน้าทรมานดุจเดียวกัน พวกมันทนได้เพียงครู่เดียว เมื่อแสงสีขาวจากศิลายักษ์ส่องลงมา ผิวหนังเขียวคล้ำบนร่างก็ล่อนออกทีละชั้น

เพียงไม่กี่ลมหายใจหลังจากนั้น ภูตคนตายที่หอกดาบแทงไม่เข้าเหล่านี้ก็กลายเป็นหมอกภูตสลายไปจากที่เดิมเช่นเดียวกัน

พลังของค่ายกลไท่เทียนช่างยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะกองทัพผีหรือคนของสี่ยอดนิกายใหญ่ที่นั่นล้วนตาโตพูดไม่ออก!

กองทัพผีร้ายหลายหมื่นตนพริบตาเดียวครึ่งหนึ่งสลายกลายเป็นหมอกภูตหนาทึบ!

ในกลุ่มเผ่ามนุษย์ของสี่กองทัพใหญ่มีเสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นนับไม่ถ้วน!

เสียงดังอื้ออึงอยู่พักหนึ่ง ผีร้ายหมื่นกว่าตนที่เหลือซึ่งเดิมทีสู้รบกับกองทัพหุ่นอยู่ห่างจากกำแพงเมืองค่อนข้างไกล ในที่สุดก็ทยอยหนีพ้นเขตที่ศิลายักษ์ร่วงลงมา

แต่ภูตผีเหล่านี้ถอยห่างจากป้อมปราการไท่เทียนได้เพียงไม่กี่สิบลี้ก็รวบรวมกองทัพผีจำนวนมากกว่าเดิมแล้วเริ่มตั้งค่ายล้อมป้อมปราการไท่เทียนทั้งป้อมไว้อย่างแน่นหนาอีกครั้ง

หลังจากแน่ใจว่ากองทัพผีถอยทัพไปชั่วคราว ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าทั้งสี่คนจึงหยุดเคล็ดวิชาที่มือ เงาภูเขายักษ์ที่ครอบอยู่บนท้องนภาเหนือป้อมปราการไท่เทียนหยุดทิ้งศิลายักษ์ลงมาในทันใด

แต่เงาภูเขายักษ์เวลานี้หดเล็กลงจากตอนแรกมากกว่าสองในสามส่วน ยอดเขาที่เดิมทีตั้งตระหง่าน ด้านล่างหายไปกว่าครึ่งอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงยอดเขาส่วนเดียวเท่านั้น

“หากไม่ไร้หนทางจริงๆ คงจะใช้ค่ายกลไท่เทียนนี้ไม่ได้แล้ว” ผู้อาวุโสแซ่ฝางจากนิกายเทียนกงที่อยู่กลางท้องฟ้าลูบหนวดสีดำสนิทแล้วถอนหายใจแผ่วเบา

“ยามนี้ยังพอฝืนใช้ค่ายกลนี้ได้อีกช่วงเวลาหนึ่ง ข่มขวัญกองทัพผีร้ายเหล่านี้ไม่ให้โจมตีได้ชั่วคราว แต่หลังจากนี้หากไม่มีกำลังเสริมเดินทางมา เกรงว่าป้อมปราการไท่เทียนแห่งนี้คง…” บุรุษร่างใหญ่ผิวดำผู้แบกศิลายักษ์ไว้บนแผ่นหลังจากนิกายปีศาจลี้ลับมองไปยังทิศทางที่กองทัพผีถอยทัพไปจากไกลๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยเช่นนี้

เมื่อคำนี้เอ่ยออกมา ผู้เฒ่าจมูกแดงจากนิกายยอดบริสุทธิ์และบุรุษวัยกลางคนคิ้วกระบี่จากสำนักเฮ่าหรานก็สีหน้าอึมครึมตามไปด้วย

“ข้าคิดว่าแจ้งข่าวให้เมืองหลักทั้งหลายทราบก่อนดีกว่า พร้อมกันนั้นก็สั่งการลงไป ให้ศิษย์ทุกคนพักรักษาตนเองให้เร็วที่สุด ครั้งนี้กองทัพผีร้ายเตรียมตัวมาพร้อม เห็นชัดว่าหมายจะเอาให้จงได้ เกรงว่าหากค่ายกลไท่เทียนนี้สลายไปเมื่อไร ผีร้ายเหล่านี้คงหวนกลับมาทันที” ผู้เฒ่าจมูกแดงจากนิกายยอดบริสุทธิ์จู่ๆ ก็เอ่ยปากเสนอขึ้นมา

“ผู้อาวุโสเผิงกล่าวไม่ผิด วันนี้ก็ได้แต่เดินทีละก้าว ดูไปทีละก้าวแล้ว” บุรุษวัยกลางคนคิ้วกระบี่จากสำนักเฮ่าหรานได้ยินก็พยักหน้าเอ่ยตอบ

……

ศึกใหญ่จบลงชั่วคราว หลังจากหลิ่วหมิงทักทายเสี่ยวอู่ เขาก็กลับไปยังที่พักชั่วคราวของตนเองทันที

แม้ศึกใหญ่ครั้งนี้จะดำเนินอยู่เป็นเวลาไม่นาน แต่อันตรายเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เหตุการณ์พลิกผันไม่หยุดหย่อนทำให้จิตใจเขาเหนื่อยล้าอยู่บ้าง

หลิ่วหมิงกินโอสถจิตวิญญาณในห้องลับแล้วนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณอยู่ครึ่งวันเต็มๆ กว่าจะฟื้นพลังเวทกลับมาอยู่ในสภาพเต็มเปี่ยมได้อีกครั้ง

หลังจากลืมตาขึ้น เขาก็นึกย้อนถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเข้ามาในทางปีศาจร้ายแล้วอดไม่ได้ลอบถอนหายใจ

ดูท่าโชคของตนจะไม่ดีเอาเสียเลย เพิ่งเข้ามาในทางปีศาจร้ายได้ไม่นานก็พบมหันตภัยจากกองทัพผีที่จะพบสักครั้งในรอบร้อยปี

ยามนี้ยังไม่พบโอกาสเลื่อนเข้าสู่ระดับแก่นแท้ แต่กลับต้องพัวพันกับมหันตภัยนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

หลัวโหวที่ตอนแรกรับปากตนว่าจะช่วยเรื่องเลื่อนระดับจนวันนี้ก็ยังเงียบหายไร้ข่าวคราว ไม่ว่าเขาจะเรียกอย่างไรก็ไม่มีเสียงตอบรับสักนิด

“เรื่องการเลื่อนระดับคงได้แต่ปล่อยไปก่อน ผ่านความยากลำบากตรงหน้าไปแล้วค่อยว่ากันเถอะ!”

หลิ่วหมิงเป็นคนเด็ดขาดคนหนึ่ง หลังจากขบคิดครั้งหนึ่งแล้วก็ทิ้งเรื่องนี้ไปทันที เขาบังคับจิตให้ปล่อยจิตสัมผัสออกไปอีกครั้งเพื่อสำรวจสภาพของเซียเอ๋อร์และเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอว

จะว่าไปแล้วศึกใหญ่ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรมาเลย อสูรเลี้ยงทั้งสองตัวอาศัยจังหวะที่ภูตผียกพลใหญ่รุกเข้ามา กลืนกินปราณหยินบนร่างภูตผีไปจำนวนมากแล้วยังอาศัยโอกาสนี้กินซากศพของภูตผีไปอีกจำนวนไม่น้อย ครานี้ไม่ว่าระดับพลังหรือพลังเวทล้วนเพิ่มพูนขึ้นจากก่อนหน้านี้ไม่น้อย

ดูจากสภาพแล้ว หากปล่อยให้อสูรเลี้ยงทั้งสองติดตามตนฝึกปรืออยู่ในทางปีศาจร้ายแห่งนี้ต่อ เรื่องเลื่อนระดับก็นับวันรอได้แล้ว

นับตั้งแต่กลืนไข่ฝ่อของซือเฉินลงไป เซียเอ๋อร์ในยามนี้แม้พลังระดับผลึกก็สังหารภูตผีต่ำกว่าระดับแก่นแท้ทั้งมวลได้อย่างง่ายดาย ถึงขนาดที่กระทั่งผีแม่ทัพระดับแก่นแท้ทั่วไปก็ยังไม่กล้าขวางคมอาวุธของนาง หากวันหน้าเข้าสู่ระดับแก่นแท้ พลังย่อมน่ากลัวขึ้นอีกเป็นแน่

เวลาต่อจากนั้นเขาหลับตาทั้งสองข้างเบาๆ นั่งนิ่งไม่ขยับสีหน้าสงบ

……

ข่าวป้อมปราการไท่เทียนถูกกำลังหลักของกองทัพผีร้ายล้อมโจมตีส่งไปถึงหูเบื้องบนของกองทัพในเมืองหลักทั้งสี่อย่างรวดเร็วยิ่งนัก

เบื้องบนของกองทัพทั้งสี่ทั้งหวาดผวาและตกตะลึง ในตอนนี้เพิ่งกระจ่างแจ้งว่าที่แท้เป้าหมายแท้จริงของกองทัพผีร้ายก็คือป้อมปราการไท่เทียนอันเป็นแกนกลางสำคัญของเมืองหลักที่สี่แห่งนี้ การเข้าโจมตีเมืองหลักทั้งสี่และป้อมปราการรอบนอกก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพียงกลศึกล่อหลอกเผ่ามนุษย์เท่านั้น

ทันทีที่ป้อมปราการแตก เมืองหลักทั้งสี่จะโดดเดี่ยวและเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกตีแตกทีละแห่ง

เมื่อเบื้องบนของทั้งสี่กองทัพเข้าใจเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็คิดจะเคลื่อนไหว ทว่านอกเมืองหลักทั้งสี่กลับมีกองทัพผีร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวล้อมเมืองไว้อีกครั้ง