ตอนที่ 1038 สงครามปะทุอีกหน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

นอกเมืองจินกวัง ผีร้ายและอสูรแห่งความมืดรูปร่างประหลาดต่างๆ นานาจำนวนมากมายล้อมอยู่จนแม้แต่หยดน้ำก็ไม่อาจลอดผ่าน

ทหารผีกับอสูรแห่งความมืดทั้งหลายร้องคำรามสะเทือนฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับที่โจมตีค่ายกลป้องกันที่ทอแสงทองนอกเมืองระลอกแล้วระลอกเล่า

เนื่องจากก่อนหน้านี้กองทัพแสงทองสละป้อมปราการรอบนอกไปจำนวนไม่น้อยแล้วดึงศิษย์ที่ประจำอยู่จำนวนมากกลับมาในเมือง เวลานี้ในเมืองจินกวังจึงมีกำลังพลรวมตัวอยู่ค่อนข้างแข็งแกร่ง

บนกำแพงเมืองรอบนอก ศิษย์ประจำเมืองที่สีหน้าเคร่งเครียดกองแล้วกองเล่าตั้งแนวป้องกันอย่างเข้มแข็งเฝ้ารออย่างเคร่งครัดภายใต้คำสั่งของหัวหน้าหน่วยแต่ละหน่วย

เมื่อคำสั่งดังขึ้น!

ลูกศรเต็มฟ้า ลูกบอลเพลิงสีแดงฉานและลำแสงหลากสีก็พุ่งออกไปจากบนกำแพงเมือง วาดเส้นโค้งเส้นแล้วเส้นเล่ากลางท้องฟ้าแล้วร่วงลงกลางกองทัพผีรอบด้านอย่างรุนแรง ระเบิดแสงสว่างจ้าและสายลมแรงครั้งแล้วครั้งเล่า!

ชั่วขณะหนึ่ง เสียงคำรามกับเสียงกรีดร้องดังผสานกัน!

แม้กองทัพผีร้ายยังคงโจมตีหนักหน่วงอย่างไม่เสียดายสิ่งที่ต้องแลก แต่เมืองจินกวังที่เตรียมตัวมาพรักพร้อมก็มั่นคงดั่งหินผา ใต้กำแพงเมืองมีศพของผีร้ายกับอสูรแห่งความมืดกองพะเนินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นอกเมืองเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้า แต่ห้องลับแห่งหนึ่งในหอหลักใจกลางเมืองกลับเงียบสงบไร้สุ้มเสียง

ผู้เฒ่าแซ่เหยากับบุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาสีหน้าเคร่งขรึมยืนอยู่ข้างกันที่มุมหนึ่งของค่ายกล

บนอากาศด้านตรงข้ามของทั้งสองคนมีกำแพงแสงสีน้ำเงินขมุกขมัวสามผืนตั้งอยู่ ยอดฝีมือระดับดาราพยากรณ์จากอีกสามกองทัพรวมตัวกันอยู่ที่นี่ทั้งหมด ชั่วขณะหนึ่งไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา

ผ่านไปครู่หนึ่งผู้เฒ่าแซ่เหยาจึงกระแอมขึ้นเบาๆ แล้วเอ่ยนำขึ้นก่อน

“ทุกท่านคงได้รับข่าวสถานการณ์ศึกที่ไท่เทียนแล้ว กองทัพผีร้ายเหล่านี้บีบพวกเราให้หดแนวป้องกัน หลังจากนั้นฉวยโอกาสโจมตีป้อมปราการไท่เทียน เวลานี้สถานการณ์ย่ำแย่อย่างยิ่ง หากเสียป้อมปราการไท่เทียนไป พวกเราสี่เมืองใหญ่คงถูกตัดขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง”

ฟังคำนี้จบ สีหน้าของผู้คนที่นั่นล้วนอับอายเล็กน้อย

ตอนแรกที่กองทัพผีร้ายยกพลมากมายบุกโจมตีป้อมปราการรอบนอกเมืองหลักทั้งสี่ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเสนอให้ลดขนาดแนวป้องกันจนทำให้เกิดสถานการณ์ตกเป็นฝ่ายรับในตอนนี้

“ตอนนี้พูดถึงเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่มีประโยชน์ เวลานี้เมืองทั้งสี่ที่พวกเราอยู่ล้วนถูกกองทัพผีจำนวนมากล้อมโจมตี เกรงว่าคงส่งกำลังไปช่วยป้อมปราการไท่เทียนไม่ได้” หญิงงามวัยกลางคนของนิกายปีศาจลี้ลับเอ่ยเสียงขรึม

“จากที่ข้าเห็น กองทัพผีที่ล้อมเมืองของพวกเราอยู่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผีร้ายระดับล่างกับอสูรแห่งความมืด ดูท่ากองทัพผีร้ายคงรวมกำลังหลักไปไว้ที่ป้อมปราการไท่เทียน ลองพิจารณาส่งศิษย์หัวกะทิจำนวนหนึ่งฝ่าวงล้อมไปช่วยเสริมกำลังที่ป้อมปราการไท่เทียนดีหรือไม่?” ผู้ที่พูดก็คือบุรุษหล่อเหลาจากสำนักเฮ่าหราน ยามนี้ข้างกายเขามีคนผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์สีขาว มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเพิ่มมา แม้จะมีเสื้อผ้ากั้นก็ยังเห็นเรือนร่างอรชรที่มีส่วนเว้าโค้งงดงาม น่าจะเป็นผู้ฝึกฝนหญิงผู้หนึ่ง

“การกระทำนี้เสี่ยงอันตรายอยู่บ้าง แม้ภูตผีที่ล้อมโจมตีเมืองของพวกเราจะเป็นภูตผีระดับล่าง แต่จำนวนก็มากเกินไป ไม่อาจดูแคลนพลังได้ อีกทั้งครานี้กองทัพผีร้ายมาอย่างเตรียมพร้อม เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ารอบนอกจะมีผู้ฝึกฝนผีระดับสูงซุ่มอยู่ หากทำไม่ดีกลับจะกลายเป็นติดกับดักของพวกมันแล้วเสียกำลังพลไปเปล่า” บุรุษวัยกลางคนผมขาวแห่งนิกายเทียนกงส่ายศีรษะพลางเอ่ยขึ้นมา

บุรุษหล่อเหลาจากสำนักเฮ่าหรานฟังจบก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย แล้วไม่พูดอะไรอีก

“แม้สถานการณ์จะไม่ดีกับพวกเรา แต่ทุกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไปนัก ป้อมปราการไท่เทียนมีผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์สี่คนคุ้มครองอยู่ ก่อนหน้านี้พวกเราต่างก็ส่งศิษย์หัวกะทิจำนวนหนึ่งไปช่วยป้องกัน ในเวลาสั้นๆ กองทัพผีร้ายน่าจะตีป้อมปราการไท่เทียนไม่ได้” หญิงงามวัยกลางคนจากนิกายปีศาจลี้ลับเห็นบรรยากาศหนักอึ้งจึงเอ่ยปลอบ

“ตามความคิดของข้า กองทัพผีร้ายล้อมโจมตีเมืองใหญ่ทั้งสี่ของพวกเราพร้อมกับป้อมปราการไท่เทียน กำลังทหารจะต้องไม่พอแน่ คงจะยื้อไว้ไม่ได้นานนัก พวกเราน่าจะลองจัดกำลังโต้กลับ กวาดกองทัพผีที่ล้อมโจมตีเมืองให้เกลี้ยงเร็วที่สุด ทันทีที่มีช่องว่างค่อยส่งกองหนุนไปยังป้อมปราการไท่เทียน ทุกท่าน นี่อาจจะเป็นโอกาสดีที่สุดครั้งหนึ่งของพวกเราที่จะฉวยโอกาสสังหารกำลังหลักของกองทัพผีร้ายให้หมดสิ้นที่ป้อมปราการไท่เทียน” ผู้เฒ่าแซ่เหยาดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียมขณะที่เสนอขึ้นมา

“พี่เหยาพูดถูกที่สุด ทำเช่นนี้เถิด ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นที่ดีแล้ว” บุรุษผมขาวจากนิกายเทียนกงดวงตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วพยักหน้า

คนที่เหลือส่วนใหญ่ก็ล้วนพยักหน้าเช่นกัน ในตอนนี้เองหญิงงามวัยกลางคนจากนิกายปีศาจลี้ลับจึงเอ่ยขึ้นมา

“ได้ยินว่าหลายวันก่อนหน้านี้สหายเหยาส่งศิษย์หลานเฉาปรมาจารย์ค่ายกลของกองทัพท่านไปตั้งมหาค่ายกลแสงทองที่ป้อมปราการไท่เทียน หรือศิษย์พี่เหยาจะคาดเดาสถานการณ์ตอนนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว?”

“ข้าไหนเลยจะมีความสามารถคาดเดาได้ดุจเทพเช่นนั้น ข้าย้ายเฉาฉางเฮ่อไปก็เพื่อป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะได้ใช้งานจริงๆ” ผู้เฒ่าแซ่เหยาเอ่ยเรียบๆ

“คิกๆ สหายสายตายาวไกล พวกเราล้วนสู้ไม่ได้” หญิงงามวัยกลางคนหัวเราะคิกคักใส่เหยาฟู่เหวิน

สายตาที่ผู้อื่นมองผู้เฒ่าแซ่เหยามีแววตาแตกต่างกันไป

พวกเขาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันอีกพักหนึ่งก็ตัดการติดต่อ แยกย้ายกันไปดำเนินการ

หลังจากผู้เฒ่าแซ่เหยากับบุรุษวัยกลางคนผมสีเทาเดินออกจากห้องลับโผล่มาที่ทางเดินวนบนหอสูง จากที่นี่มองเห็นกองทหารผีดำทะมึนรอบเมืองจินกวังอย่างชัดเจน

ผู้เฒ่าแซ่เหยากวาดสายตามองรอบด้านแล้วเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมาเล็กน้อย

“พี่เหยา เป็นอะไรหรือ?” บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้เฒ่าแซ่เหยาจึงเอ่ยปากถาม

“ไม่มีอะไร เพียงรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง กองทัพผีร้ายแบ่งทหารออกเป็นห้าทาง ล้อมเมืองหลักทั้งสี่ของพวกเรากับป้อมปราการไท่เทียนไว้พร้อมกัน กำลังทหารนี่มากกว่าที่พวกเราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้ามากนักจริงๆ” ผู้เฒ่าแซ่เหยาเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาขบคิดเรื่องเหล่านี้ ภารกิจเร่งด่วนคือคิดวิธีจัดการกองทัพผีนอกเมือง หากถึงเวลาจำเป็น พวกเราอาจต้องลงมือเอง” บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทามองไปนอกเมืองแล้วเอ่ยราบเรียบ

“เจ้าพูดถูก” ผู้เฒ่าแซ่เหยาพยักหน้า

“สถานการณ์ตอนนี้ต้องแจ้งสถานการณ์ที่นี่กับอาจารย์อาหั่วเยี่ยสักหน่อยหรือไม่?” สายตาของบุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาทอประกายวูบหนึ่งเหมือนคิดบางสิ่งออก

“อย่างไรก็รอก่อนเถิด สถานการณ์ตอนนี้แม้จะอันตราย แต่ยังก็ยังไม่ถึงขั้นจำเป็นจะต้องให้อาจารย์อาหั่วเยี่ยลงมือ…” ผู้เฒ่าแซ่เหยาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยปาก

บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาฟังจบก็เงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงพยักหน้า

ต่อจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้สนทนากันอีก พวกเขาก้าวเร็วไวออกไปจากที่นี่

……

บนท้องฟ้าเหนือป้อมปราการไท่เทียน แม้เงายอดเขาขนาดยักษ์ที่ปิดฟ้าบังตะวันอยู่จะเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งในสาม แต่มันก็ยังแลดูตั้งตระหง่านยิ่งใหญ่ดุจเดิม ทำให้ทหารผีรอบด้านได้แต่หยุดเท้ามองอย่างมาดร้ายอยู่ไกลๆ แต่ไม่กล้าก้าวข้ามเขตมาง่ายๆ สักก้าว

รอบป้อมปราการซากศพทหารผีมากมายกองดุจภูเขา หมอกภูตสีเทาหนาทึบยังลอยวนเวียนไม่หายไป ทำให้ป้อมปราการไท่เทียนทั้งป้อมราวกับตั้งอยู่กลางเมฆหมอก เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่

เป็นเช่นนี้ผ่านไปอีกครึ่งวัน ในที่สุดเงายอดเขาขนาดยักษ์ที่ครอบอยู่เหนือป้อมปราการก็เริ่มเลือนรางไม่ชัด จากนั้นเริ่มสลายอย่างเชื่องช้า

นี่ทำให้ศิษย์ประจำป้อมของกองทัพใหญ่ทั้งสี่ที่อยู่บนกำแพงเมืองอยู่ก่อนแล้วหัวใจขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ

ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียด ในใจพวกเขารู้ดีว่าการที่เงายอดเขายักษ์สลายไปหมายถึงสิ่งใด!

แทบจะอึดใจถัดมาหลังจากยอดเขายักษ์สลายไปหมดสิ้น เสียงตะโกนบุกก็ดังขึ้นทั่วทุกสารทิศท่ามกลางหมอกภูตหนาทึบทันที เสียงราวกับจะสะเทือนผืนฟ้า!

สงครามอันโหดร้ายเปิดฉากเต็มรูปแบบขึ้นอีกครั้ง กองทัพทหารผีดำทะมึนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าโจมตีป้อมปราการไท่เทียนจากทั่วทุกสารทิศราวกับกระแสน้ำ เสียงโหยหวนของภูตผีดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ การโจมตีท่าทางรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน

ยังดีที่หลังฟื้นตัวชั่วสั้นๆ ม่านแสงสีเงินที่ปกป้องป้อมปราการทั้งหลังอยู่ก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย ทำให้ศิษย์ประจำป้อมทั้งหลายใจชื้นขึ้นมาอยู่บ้าง

บนลานกว้างใจกลางป้อมปราการ ลำแสงสีองนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากบาตรแห่งการสร้างบนหอสูงตรงกลางอีกครั้ง พวกมันหักเหผ่านหอสูงทั้งหกรอบด้านแล้วกวาดไปนอกเมือง ทหารผีนับไม่ถ้วนที่ถูกลำแสงสาดส่องสลายกลายเป็นควันหายไปทันที

แต่เวลานี้ผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหอสูงไม่ใช่พวกหลิ่วหมิงซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้และแก่นเสมือน แต่เป็นศิษย์ระดับผลึกทั่วไปสามสิบหกคนที่เฉาฉางเฮ่อรวบรวมมาจากในกองทัพแสงทองกับกองทัพคุณธรรมชั่วคราว

แม้เป็นเช่นนี้แล้ว พลังของค่ายกลแสงทองจะสู้ก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่มาก แต่เมื่อมีเฉาฉางเฮ่อควบคุมอยู่ มันก็สำแดงพลังออกมาได้ครึ่งหนึ่ง

อย่างไรหลังจากผ่านศึกใหญ่เมื่อครู่พวกเขาก็เสียหุ่นและศิษย์ไปไม่น้อย ในเมืองเวลานี้ขาดแคลนกำลังรบ คนที่มีพลังแข็งแกร่งเช่นหลิ่วหมิงจึงถูกแบ่งไปอยู่ที่กำแพงเมืองสี่ด้านเพื่อต้านการโจมตีของภูตผีร่วมกับศิษย์คนอื่น

หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่และคนอื่นๆ รับผิดชอบเขตทิศเหนือเช่นเดิม

เขายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตากวาดมองอสูรแห่งความมืดรูปร่างเหมือนหมาป่าที่วิ่งทะยานมาถึงหน้ากำแพงเมืองเจ็ดแปดตัวแล้วสะบัดมือข้างหนึ่ง กระบี่ขู่หลุนที่มีแสงอสนีบาตม่วงรายล้อมปรากฏขึ้น แสงกระบี่สว่างวูบหนึ่งก็เห็นเส้นสีม่วงนับไม่ถ้วนพุ่งลงไปเบื้องล่างดุจตาข่าย

เสียงแหวกอากาศดังฉึบๆ !

หัวของอสูรแห่งความมืดที่หน้าตาเหมือนหมาป่าเจ็ดถึงแปดตัวถูกเส้นแสงกระบี่สีม่วงฟันตัด พริบตาเดียวกลายเป็นปราณดำม้วนตัวลอยขึ้นฟ้า ร่างกายมหึมาล้มตึงใต้กำแพง

หลิ่วหมิงควบคุมกระบี่ขู่หลุนให้เปลี่ยนทิศบินไปยังกองทัพทหารผีอีกด้านหนึ่ง ขณะเดียวกันสายตาก็กวาดมองรอบด้านแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

นับตั้งแต่ศึกใหญ่เริ่มขึ้นเขาก็พบว่าครั้งนี้ในกองทัพผีร้ายมีอสูรแห่งความมืดสารพัดชนิดเพิ่มขึ้นมามากมาย

นอกจากนี้แม้จำนวนภูตผีที่โจมตีเมืองครั้งนี้จะเพิ่มขึ้นมาก แต่ในนั้นพวกระดับสูงกลับมีน้อยหนัก ผีแม่ทัพระดับแก่นแท้แทบจะไม่เห็นเลย

บนหอคอยหลังหนึ่งใกล้กับกำแพงเมืองฝั่งเหนือของป้อมปราการไท่เทียน เงาคนสี่คนยืนอยู่ที่นั่น พวกเขาก็คือผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์สี่คนที่บัญชาการเมืองแห่งนี้นั่นเอง

“สถานการณ์เหมือนจะผิดปกติ ภูตผีที่โจมตีครั้งนี้จำนวนมากมาย แต่ภูตผีระดับสูงกลับน้อยนัก” ผู้เฒ่าแซ่ฝางจากนิกายเทียนกงเอ่ยขึ้นดังนี้

“กองทัพผีร้ายคิดจะทำอะไรกันแน่? อาศัยภูตผีระดับล่างเหล่านี้ต่อให้จำนวนมากอีกเท่าใดก็โจมตีป้อมปราการแห่งนี้ไม่แตก” บุรุษร่างใหญ่ผิวดำผู้สะพายศิลายักษ์อยู่บนหลังจากนิกายปีศาจลี้ลับเอ่ยขึ้นช้าๆ

“หรือว่า…จะวางแผนหวังอะไรไว้อีก?” ผู้เฒ่าจมูกแดงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นบ้าง

เมื่อได้ยินคำนี้ คนที่เหลือล้วนเปลี่ยนสีหน้าไปทันที

นับตั้งแต่สงครามใหญ่ในรอบร้อยปีครั้งนี้เริ่มขึ้น กองทัพผีร้ายก็ใช้กลอุบายแผนร้ายนานาชนิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การล้อมโจมตีครั้งนี้คงจะไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้นอย่างที่เห็นในฉากหน้าแน่นอน

“ไม่ว่าอย่างไร ก่อนหน้ากำลังเสริมมา พวกเราต้องปกป้องเมืองนี้ไว้ให้ดี จะผิดพลาดไม่ได้” บุรุษร่างใหญ่จากนิกายปีศาจลี้ลับเอ่ยอย่างไม่แสดงท่าที

สามคนที่เหลือต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย