ขณะเผชิญกับอ้อมกอดเทวทูต โคลินอีเลียดไม่เผยอาการตกตะลึง เพียงรับทุกสิ่งไว้ด้วยความสงบประหนึ่งเตรียมพร้อมมานานแล้ว
เมื่อพิธีกรรมเริ่มต้น มันก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับหยิบขวดโอสถอัศวินสีเงินออกมาเทใส่ปาก
ร่างของนักล่าปีศาจพองขึ้นจน ผิวหนังกลายเป็นสีน้ำเงินอมเทา รอบตัวเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีดำปูดโปน สูงหลายเมตร กึ่งกลางหน้าผากมีรอยแยกสีเข้ม
ทุกตารางนิ้วของยักษ์ตนนี้อัดแน่นไปด้วยความลึกลับที่ยากอธิบาย นอกจากส่วนหัวที่ยังเป็นมนุษย์ ส่วนอื่นของร่างกายขยับเข้าใกล้สัตว์ในตำนานซึ่งสร้างอิทธิพลบางอย่างทางวิญญาณ
วินาทีถัดมา คล้ายกับกะโหลกศีรษะของโคลินอีเลียดอ่อนตัวลง พวกมันยุบพองตัวโดยมีรอยแยกสีเข้มกึ่งกลางศีรษะเป็นแกนกลาง
ความเจ็บปวดแสนสาหัสดังกล่าวรุนแรงเกินกว่าที่เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ซึ่งเคยสังหารสัตว์ร้ายไปมากมายจะอดทนไหว มันส่งเสียงร้องโหยหวนชนิดที่สามารถทำให้จิตใจคนทั่วไปแตกสลายและเจ็บปวดราวกับศีรษะจะระเบิด
หากไม่ใช่เพราะโคลินอีเลียดทำการอพยพผู้คนภายในหอคอยออกไปล่วงหน้า เหลือไว้เพียงครึ่งเทพอย่างฮอยต์เฌอมงต์เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน คงมีผู้วิเศษหลายคนที่เกิดคลุ้มคลั่งคาที่
ซากของสัตว์ทรงพลังทั้งหกชนิดในตำแหน่งต่างๆ ของพิธีกรรมเริ่มลอยขึ้นด้วยแรงดึงดูดล่องหนและหมุนรอบโคลินที่กำลังกลายพันธุ์ อาศัยการเชื่อมต่อลึกลับบางอย่าง ซากศพเหล่านั้นช่วยปลุกความทรงจำของสุดยอดนักล่าปีศาจให้ตื่นขึ้น
เป็นประสบการณ์สมัยที่เคยล่าปีศาจ เช่นการโจมตีเพื่อยุติการความเจ็บปวดของอดีตเจ้าเมือง และการต่อสู้ที่ต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อโค่นสัตว์ประหลาดที่ทรงพลัง
ฉากดังกล่าวปรากฏขึ้นบนแท่นบูชาในลักษณะภาพวาด บางครั้งผสานเข้ากับร่างกายโคลินอีเลียด บางครั้งเป็นการดึงออกจากร่าง ช่วยให้สามารถคงสติและตระหนักรู้ตัวเองท่ามกลางการกลายพันธุ์อันเจ็บปวด
โคลินอีเลียดเพิ่งเข้าใจแก่นแท้ของพิธีกรรม
ในฐานะนักล่าปีศาจลำดับสี่ ประสบการณ์การล่าสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งล้วนอัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณอันเข้มข้น ร่องรอยของเหตุการณ์จะถูกสลักไว้ในดวงวิญญาณไปตลอดชีวิต
อาศัยความช่วยเหลือจากตราประทับดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งเหล่านี้ โคลินอีเลียดสามารถระบุจุดยืนของตัวหลังจากดื่มโอสถได้โดยไม่เสียสติไปกับความเจ็บปวดและความบ้าคลั่ง
สิ่งนี้ทำให้โคลินฉุกคิดถึงวลีหนึ่งซึ่งถูกบันทึกไว้ในหนังสือโบราณของเมืองเงินพิสุทธิ์
หลักยึดเหนี่ยว!
ในลำดับสาม ซึ่งถือว่าใกล้เคียงทวยเทพ ผู้วิเศษสามารถตอบสนองต่อคำวิงวอนได้ภายในขอบเขตหนึ่ง จึงจำเป็นต้องมีหลักยึดเหนี่ยวที่มั่นคง
เนื่องจากยังไม่ใช่ระดับเทวทูต หลักยึดเหนี่ยวจึงไม่จำเป็นต้องหมายถึงสาวก แต่สามารถเป็นสิ่งทดแทนที่ใกล้เคียง เช่นตราประทับทางจิตที่มีความหมายในเชิงศาสตร์เร้นลับ
ท่ามกลางความทรงจำที่ตื่นขึ้น โคลินอีเลียดค่อยๆ ค้นพบจุดยืนของตัวเอง เริ่มกลับมาตระหนักรู้ร่างกายและเข้าใจความเปลี่ยนแปลง
ทันทีหลังจากนั้น ปีกมายาหลายคู่งอกขึ้นจากแผ่นหลังโคลิน พวกมันหลอมรวมเข้ากับ ‘ภาพวาด’ ที่กำลังหดเข้ามาในร่างกายโคลินอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผิวหนังของนักล่าปีศาจทยอยลอกออกจนกลายเป็นเกราะสีเงินที่ดูทนทาน สง่างาม แต่ไร้น้ำหนัก
สำหรับนักล่าปีศาจที่ได้เลื่อนลำดับเป็นอัศวินสีเงิน พรจากทวยเทพที่แตกต่างกันจะส่งผลให้คุณสมบัติของอัศวินสีเงินแตกต่างกันไป สำหรับผู้ไล่ล่าแห่งวังราชา เมิร์สกอร์กอน มันได้รับพรจากราชาคนยักษ์โดยตรง ความแข็งแกร่งในขอบเขตอัศวินสีเงินจึงสูงกว่ามาก
ในกรณีของโคลินอีเลียด มันสามารถควบแน่น ‘เรเพียร์สีเงิน’ ที่มีพลัง ‘เทเลพอร์ต’ ในระดับหนึ่งเพื่อสร้างตัวแปรที่ไม่คาดฝัน ส่งผลให้ศัตรูยากที่จะรับมือ
นอกจากนั้นยังจะได้รับคุณสมบัติพิเศษในยามที่ใช้พลัง ‘เปลี่ยนให้เป็นปรอท’
เมื่อเกราะเงินก่อตัวเป็นรูปร่างสมบูรณ์ พิธีกรรมเลื่อนลำดับของโคลินถือว่าสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หากไม่นับดวงตาที่ยังเหมือนมนุษย์ปรกติ โคลินจะดูคล้ายกับร่างสัตว์ในตำนานทุกประการ
ทันใดนั้น มันยกมือขวาขึ้นและโบกไปด้านข้าง
ณ เนินเขาเล็กนอกเมืองเงินพิสุทธิ์ แสงสีเงินพุ่งออกจากอากาศว่างเปล่า ฉีกทุกสิ่งรอบข้างพร้อมกับผ่านเนินเขาออกเป็นสองซีก
…
ระหว่างที่โคลินอีเลียดกำลังเลื่อนลำดับ เดอร์ริคประกอบพิธีกรรมรับมอบและได้รับหลอดโลหะใบเล็ก
ฉวยโอกาสที่เจ้าเมืองกำลังสร้างความผิดปรกติและดึงดูดสายตาจากทุกคน ไคลน์บนวังโบราณเหนือสายหมอกเหยียดแขนไปข้างหน้าเพื่ออัญเชิญกระสุนและลูกโม่ลางมรณะออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์
ทันทีหลังจากนั้น มันทำนายล่วงหน้าและยืนยันว่าไม่มีปรสิตอยู่ใกล้กับเดอะซันน้อย จึงทำการดันโม่ออกมาและยัดกระสุนหลอกลวงเข้าไป
แกร่ก!
ไคลน์สะบัดมือขวาเพื่อผลักโม่กลับ จากนั้นก็อาศัยการเชื่อมต่อลึกลับเพื่อเล็งปืนไปยังจุดที่ตนเสียชีวิต
ปัง!
มันเหนี่ยวไกปืนอย่างเยือกเย็นเพื่อยิงกระสุนหนึ่งนัด
ขณะเดียวกัน มันอาศัยความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับเพื่อระดมพลังจากปราสาทต้นกำเนิด
สายหมอกสีเทาเดือดพล่านอีกครั้ง รวมถึงบริเวณโดยรอบทั้งหมด พลังงานสีเข้มพรั่งพรูออกมาราวกับกระแสน้ำ ห่อหุ้มกระสุนก่อนจะทะลวงผ่านช่องว่าง พุ่งตรงไปยังโลกแห่งความจริง
บรรยากาศรอบปราสาทต้นกำเนิดสลัวลงกะทันหัน ไคลน์ระงับความตื่นกลัวพลางถือภาพฉายของลางมรณะ จำลองความรู้สึกของการร่วงหล่นอย่างไร้น้ำหนักและกระโจนลงไปในดาวแดงตัวแทนเดอะซัน จากนั้นก็กระโจนเข้าไปในหลอดเลือดขนาดเล็กของตัวเอง
ท่ามกลางดินแดนอันรกร้างใกล้กับเชอร์โนบิล เหล่าอามุนด์ที่สวมหมวกปลายแหลมและแว่นตาขาเดียว ต่างแหงนหน้ามองฟ้าพลางจ้องมองไปยังเส้นสายฟ้าที่ลอยสูง จากนั้นก็มองเข้าไปในส่วนลึกของความมืดที่แม้แต่สายฟ้ายังมิอาจมอบความสว่าง
พวกมันขยับกรอบแว่นสักพักก่อนจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งหลังจากเวลาผ่านไป
“เจ้านั่นดูไม่เหมือนคนที่จะคิดวิธีนี้ได้…พาลีส? เข้าร่วมองค์กรชุมนุมทาโรต์กับเขาด้วยหรือ?”
เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านเบเกอร์
การมองเห็นของเดอร์ริคมืดลงทันใด คล้ายกับเทียนไขภายในห้องถูกเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า
สำหรับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี เดอร์ริครีบสร้างแสงสว่างจากดวงตาที่คล้ายกับดวงอาทิตย์ย่อส่วน
ทันใดนั้น แสงสว่างอันริบหรี่ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด ตามด้วยหนอนแมลงโปร่งใสที่บิดตัวดีดดิ้นไปมา
หลอดโลหะใบเล็กที่เดอร์ริคเพิ่งได้รับพลันแตกละเอียด เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาโดยไม่แตกกลุ่ม จากนั้นก็ผสานเข้ากับจุดแสงเมื่อครู่
สองสามวินาทีถัดมา ประกายแสงเหล่านี้รวมตัวเป็นลูกบอลหนึ่งก้อนใหญ่ในลักษณะลูกบอลแสง
ลูกบอลแสงพองออกและแปรเปลี่ยนเป็นร่างกายอย่างรวดเร็ว
ร่างดังกล่าวมีใบหน้าชัดลึก บรรยากาศเย็นชาและแข็งกระด้าง สวมเสื้อขนสัตว์สีดำสนิท ถือปืนพกลูกโม่เหล็กสีดำ ไม่ใช่ใครนอกจากเกอร์มันสแปร์โรว์
ไคลน์ประสบความสำเร็จในการหลอกลวงกฎแห่งศาสตร์เร้นลับ จากนั้นคืนชีพด้วยเลือดของตัวเองที่ถูกกำหนดให้เป็นจุดคืนชีพปลอม!
โดยไม่ต้องแนะนำตัว เดอร์ริคทราบได้จากบรรยากาศแสนพิเศษ มันรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หลังจากหัวใจเต้นสองระลอก เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างออกไปตามสัญชาตญาณ
มิสเตอร์เวิร์ล?
ไคลน์เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ชำเลืองไปทางเดอะซันที่ดูเหมือนจะสูงขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็ยกมือขึ้นกดหมวกทรงสูงตามความเคยชิน
ชายหนุ่มพยักหน้าอ่อนโยนและกล่าว
“ผมจะอยู่บนดินแดนเทพทอดทิ้งไปอีกสักพัก…แต่ตอนนี้คงต้องขอตัวก่อน ไม่อย่างนั้นอามุนด์อาจตามเข้ามาในเมืองเงินพิสุทธิ์…ถ้าในอนาคตมีโอกาส พวกเราคงได้ร่วมงานกัน”
เดอร์ริคเข้าใจคำพูดของเดอะเวิร์ลได้ทันที
“ครับ!”
ขณะไคลน์ยกมือขวาขึ้นและเตรียมดีดนิ้วเพื่อใช้กระโจนไฟ เดอร์ริคจ้องหน้าชายหนุ่มพร้อมกับชี้ไปทางห้องเก็บของ
“มิสเตอร์เวิร์ล คุณต้องการเสบียงไหม? ในนั้นมีเห็ดที่ผลิตนมได้!”
“…” ไคลน์พยายามควบคุมตัวเองมิให้กระตุกมุมปาก
“ผมไม่ดื่มนม”
ทันทีที่สิ้นเสียง มันดีดนิ้วและทำให้เปลวไฟลุกท่วมจากกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็ห่อหุ้มจนทั่วร่างกาย
เปลวไฟเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เหลืองทิ้งไว้เพียงประกายไฟที่คล้ายดวงดาว ชายหนุ่มอันตรธานหายไปจากบ้านเบเกอร์โดยสมบูรณ์
นอกเมืองเงินพิสุทธิ์ ภายในป่าที่ผิดเพี้ยนไปจากปรกติ เปลวไฟลุกโชนอย่างต่อเนื่องเป็นเส้นทางยาวไปทางเหนือ
ไคลน์ลดความเร็วลงเล็กน้อยหลังจากพ้นเขตเมืองเงินพิสุทธิ์โดยสมบูรณ์ จากนั้นก็อัญเชิญภาพฉายตะเกียงจากประวัติศาสตร์
มันคิดไว้อยู่แล้วว่าแผนการคืนชีพจะดำเนินไปอย่างราบรื่น เพราะนับตั้งแต่ที่ค้นพบวิธีหลบหนี อามุนด์ก็หมดสิทธิ์เข้ามาแทรกแซง
ภายในเมืองเงินพิสุทธิ์ อามุนด์ยังมีร่างโคลนลำดับสามและสี่เหลืออยู่อีกเล็กน้อย ไคลน์จึงใช้ตาทิพย์ค้นหาพวกมันล่วงหน้าและจัดการทิ้ง
และถึงจะเผชิญหน้ากับร่างโคลนลำดับสอง ไคลน์ก็ยังมีปราสาทต้นกำเนิดที่สามารถระดมพลังระดับเทวทูต มีอำนาจเพียงพอที่ต่อกรกับร่างโคลนอามุนด์ได้ง่ายดายโดยไม่มีวันถูกโจมตี เรียกได้ว่ามั่นใจมากที่จะคว้าชัยชนะ
หากอามุนด์ตัดสินใจเลือกย้ายร่างต้นมายังเมืองเงินพิสุทธิ์ ไคลน์ก็จะคืนชีพในจุดเดิมแทน
แน่นอนว่าอามุนด์สามารถสร้างร่างโคลนลำดับหนึ่ง เพื่อดักรอในจุดเดิม ส่วนร่างต้นจะถูกส่งมายังเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่ภายใต้กฎการอนุรักษ์ตะกอนพลัง อามุนด์จะสร้างร่างโคลนแบบนั้นได้เท่าไรกันเชียว?
อย่างมากก็ไม่เกินสอง!
แต่สำหรับไคลน์ มันสามารถแบ่งเลือดออกเป็นหลายส่วนและส่งผ่านพิธีกรรมรับมอบ ส่งไปยังแฮงแมน เฮอร์มิท เดอะสตาร์เพื่อคืนชีพได้อีกหลายตำแหน่ง ไม่มีทางที่อามุนด์จะไล่ตามได้ครบ
นี่คือแผนที่คำนึงถึงอำนาจและความสามารถของปราสาทต้นกำเนิด ไคลน์มั่นใจว่าจะสำเร็จ สิ่งเดียวที่มันกังวลคือกระสุนหลอกลวงซึ่งอาจถูกอามุนด์ตระหนักถึงล่วงหน้าและลงมือแทรกแซงสำเร็จในระดับหนึ่ง
โชคดีที่การทำนายช่วยยืนยันว่าระดับความอันตรายของแผนจะไม่สูงมาก มันจึงกล้าที่จะเสี่ยง
เฮ้อ…หนีจากอามุนด์พ้นสักที…ไคลน์ที่กำลังเดินท่ามกลางแสงสลัวจากตะเกียง รู้สึกขอบคุณตัวเองด้วยความโล่งใจจากก้นบึ้ง
แน่นอน มันทราบดีว่าตนกำลังจะถูกร่างต้นและร่างโคลนของอามุนด์ไล่ล่าไปอีกแสนนาน!
…………….