“ทำให้อามุนด์ตกที่นั่งลำบาก?” พาลีสโซโรอาสเตอร์พ่นลมหายใจก่อนจะกล่าวต่อ “ทำแบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าไม่จำเป็นก็ลืมไปเสีย”
เลียวนาร์ดพูดไม่ออกไปสักพัก จนกระทั่งผ่านไปหลายวินาที
“อย่างน้อยก็ทำให้คุณรู้สึกดี”
พาลีสยังคงหัวเราะ
“ข้าจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าเจ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก”
โดยไม่รอให้เลียวนาร์ดตอบ เทวทูตลำดับหนึ่ง เส้นทางนักจารกรรมรายนี้กล่าวด้วยเสียงค่อนข้างชรา
“ไม่ใช่ว่าอดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้ามียันต์หลอกลวงหรอกหรือ? ลองหาทางออกจากมันดู”
หลังจากขจัดร่างโคลนของอามุนด์ในเบ็คลันด์ไปจนหมด พาลีสได้ถ่ายทอดลวดลายและอักขระจำนวนสี่ชนิดให้ไคลน์ผ่านเลียวนาร์ด เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างยันต์หลอกลวง ยันต์ปรสิต ยันต์ช่วงชิง และยันต์ชราภาพ โดยไคลน์อาศัยความรู้ดังกล่าวและหนอนกาลเวลาเพื่อสร้างกระสุนหลอกลวง กระสุนปรสิต และกระสุนช่วงชิงอย่างละนัด ในภายหลังได้ใช้จัดการกับโจนาสโคลเกอร์ แต่เลียวนาร์ดไม่ทราบเรื่องนี้
เลียวนาร์ดพึมพำด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ตาแก่…หมายความว่าให้ไคลน์ใช้ยันต์หลอกลวงเพื่อทำให้อามุนด์จดจำสถานที่ผิด ส่งผลให้หลบหนีสำเร็จ?”
ภายในใจ เสียงค่อนข้างชราของพาลีสตอนกลับอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้าคิดว่าจะใช้ยันต์หลอกลวงกับราชาเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมได้จริงหรือ”
นั่นคงเป็นไปไม่ได้…เลียวนาร์ดหัวเราะแห้งและถามกลับ
“แล้วให้ทำยังไง?”
เสียงของพาลีสโซโรอาสเตอร์มีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย
“หลอกลวง ‘กฎ’ ที่จะต้องกลับไปยังตำแหน่งเดิมเท่านั้น!”
“หลอกลวง ‘กฎ’…ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ” เลียวนาร์ดถามหน้าฉงน
พาลีสหัวเราะจิกกัดพลางถอนหายใจ
“เมื่อเทียบกับการหลอกอามุนด์ การหลอกกฎนั้นง่ายกว่ามาก เพราะก้นบึ้งของโลกใบนี้เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและโกลาหล”
ประโยคดังกล่าวทำให้เลียวนาร์ดอึ้งไปสักพัก แง่หนึ่งเพราะมันตระหนักว่าตนยังอ่อนต่อโลกนัก เพิ่งรู้ว่าสามารถหลอกลวงสิ่งที่เรียกว่ากฎแห่งธรรมชาติได้ด้วย อีกแง่หนึ่ง มันคาดไม่ถึงว่าตาแก่จะประเมินให้การหลอกลวงกฎแห่งธรรมชาติ เป็นเรื่องง่ายกว่าการหลอกลวงอามุนด์
ผ่านไปราวสิบวินาที มันพูดอีกครั้ง
“วิธีนี้มีโอกาสสำเร็จมากแค่ไหน”
“ต่ำมาก…ต่ำมากๆ” พาลีสกล่าวพลางถอนหายใจ “มันเป็นแค่ยันต์หลอกลวงที่สร้างจากหนอนกาลเวลาของร่างโคลนอามุนด์ โอกาสหลอกลวงกฎแห่งธรรมชาติสำเร็จนั้นมีน้อยมาก คำแนะนำของข้าจึงเป็นการสวดวิงวอนขอความช่วยเหลือจากเดอะฟูลโดยตรง อย่าเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อีกเลย ในการเผชิญหน้ากับอามุนด์ ยิ่งยืดเยื้อยิ่งอันตราย”
เลียวนาร์ดไตร่ตรองสักพักก่อนจะพยักหน้ารับ
“เข้าใจแล้ว ผมจะแนะนำเขาตามที่คุณบอก”
แน่นอนว่ามันไม่ลืมที่จะแนะนำวิธีใช้ยันต์ซึ่งมีโอกาสสำเร็จต่ำ
“เข้าใจก็ดีแล้ว…เฮ้อ…บังอาจรบกวนชายชราที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์…” พาลีสพึมพำเสียงแผ่วจนกระทั่งเลือนหายไปจากใจเลียวนาร์ด
ภายในบ้านเลขที่เจ็ด ถนนพินสเตอร์ หนังสือพิมพ์บนโต๊ะกาแฟลอยขึ้นและกางออกด้วยตัวเองหน้าโซฟา
…
ใช้ยันต์หลอกลวงเพื่อบิดเบือนกฎที่กำหนดว่าสามารถคืนชีพได้เฉพาะศพตัวเองหรือบริเวณใกล้เคียง? เหนือสายหมอกสีเทาภายในวังโบราณ ไคลน์สรุปคำพูดของพาลีสในแบบฉบับตัวเอง
ทันทีที่พูดจบ ชายหนุ่มหวนนึกถึงตะเกียงหนังสัตว์ที่ถูกจุดเป็นเวลานาน เป็นเพราะอามุนด์หลอกลวงกฎแห่งธรรมชาติและเปลี่ยนให้ตะเกียงอยู่ในสภาพพิเศษ จึงสามารถส่องแสงได้นานนับสัปดาห์โดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง
ดวงตาไคลน์สว่างขึ้นพลางกระซิบ
เป็นแนวคิดที่ไม่มีทางคิดได้หากไม่ใช่เทวทูตเส้นทางนักจารกรรม…
ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสสำเร็จเสียทีเดียว!
เฉกเช่นพาลีส ไคลน์เองก็คิดว่าการหลอกลวงกฎแห่งธรรมชาติง่ายกว่าการหลอกอามุนด์
หลังจากพบความหวัง ชายหนุ่มวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทันที
แม้ว่าเราจะใช้กระสุนหลอกลวงไปแล้ว แต่ก็สามารถดึงมันออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ได้…กว่าผลของมันจะเสื่อมลง เราก็คงคืนชีพในร่างใหม่สำเร็จไปแล้ว…
กฎแห่งธรรมชาติช่างน่าสมเพช ไม่ใช่แค่ถูกหลอกลวง แต่ยังสิ่งที่ใช้หลอกลวงก็ยังเป็นของปลอม…
ปัญหาเดียวก็คือ กระสุนอาจมีอำนาจไม่พอที่จะหลอกลวงกฎแห่งธรรมชาติ เพราะในตอนนั้นแม้แต่โจนาสก็ยังยากที่จะหลอกลวง…
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์มองไปรอบตัวพลางผุดไอเดียบางอย่าง
นั่นคือการใช้ปราสาทต้นกำเนิด!
หลังจากควบคุมปราสาทต้นกำเนิดได้อย่างลึกซึ้ง มันสามารถระดมพลังได้ทัดเทียมกับเทวทูตลำดับสอง
และจากประสบการณ์มากมายที่ผ่านมา ไคลน์สงสัยว่าปราสาทต้นกำเนิดอาจมีอำนาจในทั้งสามเส้นทางใกล้เคียงซึ่งประกอบด้วยนักทำนาย ผู้ฝึกหัด และนักจารกรรม อีกทั้งยังสร้างแรงดึงดูดมหาศาลต่อผู้วิเศษของทั้งสามเส้นทางรวมถึงอามุนด์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไคลน์เชื่อว่าปราสาทต้นกำเนิดมีพลังของทั้งสามเส้นทาง เพียงแต่ตนเป็นนักทำนาย จึงใช้พลังของนักทำนายได้มากเป็นพิเศษ
เมื่อมีกระสุนหลอกลวงเป็นสื่อกลาง เราน่าจะใช้พลังของปราสาทต้นกำเนิดในขอบเขตที่เกี่ยวข้องได้…ตัวเราที่เป็นนักทำนายยังเคยใช้พลังสร้างปาฏิหาริย์มาแล้ว ย่อมสมเหตุสมผลที่จะดึงพลังของเส้นทางนักจารกรรมในระดับเทวทูตออกมา… แต่ปัญหาคือต้องมีสื่อกลางที่ทรงพลังมากพอ…หากทำสำเร็จก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหลอกลวงกฎแห่งธรรมชาติไม่ได้…คิดถึงตรงนี้ ไคลน์เริ่มวางแผนอย่างกระฉับกระเฉงและรอบคอบ
มันพุ่งเป้าไปยังกฎของศาสตร์เร้นลับและพยายามวางแผน ‘หลอกลวง’
เพื่อลดโอกาสล้มเหลว เราต้องเตรียมการเพิ่มเติม เพราะการหลอกลวงมือเปล่าคงยากที่จะประสบความสำเร็จ เว้นเสียแต่เราจะเป็นร่างต้นของอามุนด์…
นำเลือดของเราให้เดอะซันน้อยเพื่อสร้างจุดคืนชีพปลอมนอกระยะ…
จากนั้นก็ใช้กระสุนหลอกลวงเป็นตัวกระตุ้นพลังระดับเทวทูตบนปราสาทต้นกำเนิด หลอกลวงกฎเพื่อเปลี่ยนจุดคืนชีพของจริงให้ปลอม และเปลี่ยนจากของปลอมให้จริง…
รายละเอียดบรรจงถูกเพิ่มเข้าไปทีละนิด และหลังจากแผนการเป็นรูปเป็นร่าง ไคลน์อาศัยความเชื่อมโยงลึกลับที่มีต่อ ‘จุดคืนชีพเดิม’ เพื่อสังเกตสถานการณ์โดยรอบด้วย ‘ตาทิพย์’
มันพบว่าหมอกสีเทาอมเหลืองจางลงไปมาก แต่หุบเหวลึกที่ด้านล่างเป็นเชอร์โนบิลแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง
อามุนด์ที่แต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและแว่นตาขาเดียว ขโมยหินก้อนใหญ่มาวางไว้บนจุดที่ไคลน์เสียชีวิต ส่วนตัวเองกำลังนั่งบนก้อนหินพลางเล่นกับถุงมือหนังมนุษย์อย่างใจเย็น
มันงอนิ้วของถุงมือสลับกับยืดออก ราวกับสามารถทำเช่นนี้ได้นานนับร้อยปี
ห่างออกไปราวหนึ่งถึงสองกิโลเมตร ในส่วนลึกของสายหมอกสีเทาอมเหลือง อามุนด์สามคนในชุดคลุมจอมเวทสีดำกำลังนั่งยองข้างก้อนหินพลางเล่นไพ่โปเกอร์ที่ขโมยมาจากที่ใดสักแห่ง มีการขยับกรอบแว่นเป็นครั้งคราว
ในจุดอื่นของดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า อามุนด์กระจายตัวออกไปทั้งตามลำพังและแบบกลุ่ม บ้างเดินเล่นผ่อนคลาย บ้างทำหน้าครุ่นคิด บ้างจับกลุ่มพูดคุยในหัวข้อสนทนาที่แตกต่าง
ท่ามกลางดินแดนอันมืดมิดและอันตราย ฉากดังกล่าวช่วยมอบชีวิตชีวาที่ขาดหายไปนาน คงจะดีกว่านี้หากชายหนุ่มทุกคนไม่ได้สวมชุดคลุมสีดำ หมวกปลายแหลม แว่นตาขาเดียว มีผมสีดำ ดวงตาสีดำ หน้าผากกว้าง และใบหน้าผอมเพรียวเหมือนกันทั้งหมด
ขณะไคลน์เตรียมสำรวจอย่างละเอียด อามุนด์ที่นั่งบนก้อนหินพลันเงยหน้าพร้อมกับจับกรอบแว่นตา แหงนมองขึ้นมาด้านบน
อามุนด์ทุกคนในดินแดนอันรกร้างพลันแหงนหน้าขึ้นมองยังจุดสูงสุดของสายหมอกสีเทาแห่งประวัติศาสตร์
ไคลน์รีบถอนสายตากลับและตัดการเชื่อมต่อ
…
ในเมืองเงินพิสุทธิ์ เดอร์ริคเบเกอร์ขึ้นไปยังยอดหอคอยทรงกลมเพื่อพบกับเจ้าเมือง โคลินอีเลียด
“ท่านเจ้าเมือง พระองค์รับปากว่าจะประทานพรแล้ว” เดอร์ริคเล่าอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา
โคลินอีเลียดเจ้าของผมสีเทาและรอยแผลเป็นเก่าบนใบหน้า เผยความโล่งใจพร้อมกับผงกศีรษะ
“ดีมาก…ดีจริงๆ”
มันทวนคำซ้ำซึ่งพบเห็นได้ไม่บ่อย
ในฐานะนักล่าปีศาจมากประสบการณ์ และในฐานะเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ โคลินเป็นคนอดทนและไม่คิดเสี่ยงชีวิตโดยไม่จำเป็น หลังจากพบว่าเดอะฟูลขาดการติดต่ออย่างกะทันหัน มันไม่รีบหันไปพึ่งพาพระผู้สร้างแท้จริงในทันที แต่ตัดสินใจอดทนรออีกหนึ่งเดือน
สำหรับเมืองเงินพิสุทธิ์ที่รอคอยมานานกว่าสองพันปีในความมืด หนึ่งเดือนเป็นราคาที่ยอมรับได้
โดยไม่รอให้เดอร์ริคตอบ นักล่าปีศาจโคลินเดินออกจากริมหน้าต่างและกล่าวอย่างใจเย็น
“คุณกลับไปก่อน ผมต้องเตรียมพิธีกรรม”
เดอร์ริคชำเลืองเจ้าเมืองและกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ
“ทุกสิ่งจะต้องราบรื่นแน่!”
มันไม่มัวรีรอ รีบออกจากหอคอยและตรงกลับบ้านทันที
หลังจากจัดเตรียมพิธีกรรมใหม่และวางซากศพของหกสิ่งมีชีวิตทรงพลังไว้ตามตำแหน่งที่ถูกต้อง โคลินอีเลียดเริ่มปรุงโอสถ
เมื่อจัดการเสร็จ เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์หลับตาลง ก้มศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับสวดเป็นภาษาคนยักษ์
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา…ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
เหนือสายหมอก ไคลน์มองเห็นจุดแสงกำลังกระเพื่อมพร้อมกับคำสวดวิงวอนมายา
มันเสกกระดาษคนขึ้นมาและผสานเข้ากับพลังของปราสาทต้นกำเนิด จากนั้นก็โยนเข้าไปในจุดแสงสวดวิงวอนพร้อมกับทำ ‘สัญลักษณ์’ ว่าเป็นจุดแสงของเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์
ขณะเดียวกันก็อาศัยการเชื่อมต่อเพื่อตรวจสอบสถานการณ์รอบเมืองเงินพิสุทธิ์และยอดหอคอยกลม จนกระทั่งยืนยันว่าไม่มีปรสิตของอามุนด์อยู่ใกล้กับเจ้าเมืองและเดอะซันน้อย
จังหวะนี้แหละ! ไคลน์รีบเสกเดอะเวิร์ล เกอร์มันสแปร์โรว์พร้อมกับบังคับให้ตั้งท่าวิงวอน
ขณะเดียวกัน โคลินอีเลียดมองเห็นแสงสว่าง
ท่ามกลางแสงสว่างที่ศักดิ์สิทธิ์และคมชัด เทวทูตเจ้าของปีกมายาสิบสองคู่บนแผ่นหลังเสด็จเยือนจากด้านบน ปีกแห่งแสงทยอยโอบกอดร่างของนักล่าปีศาจทีละชั้นจนกระทั่งครบสิบสอง
นี่คือพรจากเดอะฟูล
……………………..