ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 104 พบชิวซานกลางลำธารกระบี่ใหญ่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

กระบี่แผ่เจตจำนงกระบี่เย็นเยียบ รวดเร็วและแข็งแกร่งถึงขีดสุด

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือพลังที่แผ่ออกมาจากกระบี่พวกนี้ มันหนักแน่นมั่นคงราวกับภูเขาหรือประตูภูเขาที่สร้างขึ้นจากหิน

หลีซานไม่มีประตูภูเขา กระบี่พวกนี้ทำหน้าที่แทน

ถังซานสือลิ่วไม่ห่วงเรื่องกระบี่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ในทางกลับกันเขารู้สึกว่ามันน่าสนใจมากทีเดียว

เขากล่าวกับเฉินฉางเซิงอย่างตื่นเต้น “นี่เหมือนกับเพลงกระบี่ของเจ้า หรือว่าเจ้าเกิดมาเพื่อมาเรียนกระบี่ที่หลีซาน”

เจ๋อซิ่วสัมผัสถึงอันตรายได้ดีกว่าคนอื่นในกลุ่ม ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้ว่ากระบี่พวกนี้สามารถโจมตีอย่างรุนแรงได้ทุกเมื่อ เขาก้าวออกไปและดึงถังซานสือลิ่วไปด้านหลังในขณะที่มือขวากุมด้ามกระบี่เอาไว้

แต่เขาลืมไปว่ากระบี่ของเขาเป็นกระบี่ธงชัยของผู้บัญชาการมาร สำนักกระบี่หลีซานเป็นฝ่ายธรรมะของมนุษยชาติ จึงไวต่อปราณของกระบี่ธงชัยอย่างยิ่ง

ขวับ ขวับ ขวับ ขวับ! กระบี่หลายร้อยเล่มบินออกมาจากเทือกเขาอย่างรวดเร็ว

เฉินฉางเซิงไม่มีเวลาจะโต้ตอบ แต่ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังและอันตรายจากกระบี่หลายร้อยเล่มก็ปรากฏขึ้นมาเองและเริ่มแผ่แสงเจิดจ้าออกมา

ปราณศักดิ์สิทธิ์ล้อมทางเดินหินเอาไว้

ดินแยกกระบี่ไม่ได้อยู่ในแสงนั่น

ทั่วทั้งหลีซานส่งเสียงหวีดหวิวโหยหวน!

กระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากเทือกเขา ทะลวงหมู่เมฆ พวกมันก่อตัวเป็นธารกระบี่ที่ไหลผ่านเทือกเขาปกป้องยอดเขาหลีซานเอาไว้!

นี่คือค่ายกลหมื่นกระบี่ปกป้องขุนเขาอันโด่งดังของหลีซาน!

แม้ว่ากระบี่ที่รวมตัวเป็นสายธารพวกนี้จะไม่โด่งดังเหมือนกับกระบี่ในสระกระบี่ แต่ก็คมกล้าอย่างยิ่งมีพลังที่ไม่อาจหยุดยั้งของตัวมันเอง

อย่าว่าแต่พวกเฉินฉางเซิง แม้แต่โจวตู๋ฟูหรือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็ยากที่จะปะทะกับค่ายกลหมื่นกระบี่ปกป้องขุนเขานี้ตรงๆ ได้

โชคยังดีที่สายธารกระบี่นี้แค่โคจรรอบเทือกเขาเท่านั้นไม่ได้โจมตีพวกเขาในทันใด

เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วไม่อาจสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันใด พอเข้าใจอยู่บ้างว่ากระบี่พวกนี้ต้องการสิ่งใด เฉินฉางเซิงกำไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ในขณะที่เจ๋อซิ่วคลายมือออกจากกระบี่ ทั้งคู่ถอยไปหลายก้าว

สายธารกระบี่สูงเสียดฟ้าแต่เจตจำนงกระบี่น่าหวาดหวั่นของมันมาถึงพื้นดินแล้ว สามารถตัดทุกสิ่งบนทางเดินหินได้ทุกขณะโดยไร้ความหวังที่จะต้านทาน

ถังซานสือลิ่วรู้สึกโกรธอยู่บ้าง คิดในใจ หลีซานควรรู้ชัดเจนว่าใครมาแต่ก็ยังทำเรื่องแบบนี้ พวกมันตั้งใจแสดงพลังอย่างนั้นหรือ

เมื่อพวกเฉินฉางเซิงถอยไปด้านหลังหินแยกกระบี่ กระบี่หลายร้อยเล่มก็สงบลงบ้าง สายธารกระบี่กว้างใหญ่ก็เชื่องช้าลงเช่นกัน

“ช่างเหลวไหลจริงๆ”

ถังซานสือลิ่วกล่าวกับเฉินฉางเซิง “เจ้าเป็นศิษย์โดยตรงของผู้อาวุโสซูหลี เป็นคนของสำนักกระบี่หลีซานในทุกแง่มุม บางทีอาจอยู่รุ่นเดียวกับเจ้าสำนักด้วยซ้ำ แต่พวกศิษย์รุ่นหลังกลับกล้าใช้ค่ายกลหมื่นกระบี่ปกป้องขุนเขามาข่มขู่เจ้า เจ้าไม่โกรธบ้างหรือไง”

เฉินฉางเซิงรู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดีและกล่าวอย่างไร้กำลัง “แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรทำอะไร”

ถังซานสือลิ่วประกาศ “เจ้าควรใช้ฐานะสังฆราชเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักกระบี่หลีซานแล้วก็กลายเป็นเจ้าสำนัก ทำให้ชิวซานจวินกับพวกโมโหจนตาย”

เขาพูดทั้งหมดนี้ออกมาเสียงดังอย่างยิ่ง ต้องการให้ทั่วทั้งหลีซานได้ยิน

“เจ้าสาระเลว ปากเจ้ายังเน่าเหม็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยหรือ”

เสียงที่ฟังดูคุ้นหูอยู่บ้างดังมาจากทางเดินเบื้องหน้าพวกเขา

ถังซานสือลิ่วกับเจ้าของเสียงนี้ทะเลาะกันมาหลายรอบ ดังนั้นเขาจึงจำได้ทันทีและเย้ยกลับไป “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าสิ่งที่ข้าพูดไปไม่มีโอกาสกลายเป็นจริง”

กวนเฟยไป๋เดินลงมาตามทางเดินหิน เขาต้องการที่จะตอบโต้กลับไปสักหน่อยแต่ก็ตระหนักว่าหากเฉินฉางเซิงได้เข้าสำนักกระบี่หลีซานจริงๆ ถ้าอย่างนั้นฐานะและระดับอาวุโสของเขาตามที่ถังซานสือลิ่วพูดเหลวไหลนั้นก็อาจเป็นจริงขึ้นมาได้ ส่งผลให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป

ในตอนนั้นเอง เสียงอ่อนโยนแต่ผ่าเผยก็ดังขึ้นจากส่วนลึกของหมู่เมฆ

“การที่ร่างศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้เกียรติมาเยือนนั้นนับเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับทุกคนในหลีซาน”

ผู้พูดย่อมเป็นเจ้าสำนักของสำนักกระบี่หลีซาน

กวนเฟยไป๋ควบคุมอารมณ์และคำนับเฉินฉางเซิงอย่างจริงจังจากนั้นก็นำพวกเขาขึ้นสู่ยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหมู่เมฆ

ในเวลาสั้นๆ พวกเขาก็มาถึงศาลาหินครึ่งทางขึ้นภูเขา

โก่วหานสือ เหลียงปั้นหู และผู้อาวุโสหอกระบี่กำลังรอพวกเขาอยู่ที่นี่

เมื่อสังฆราชมาเยือน สำนักอื่นคงไปต้อนรับเขาตั้งแต่นอกเขตสำนักและเจ้าสำนักก็ต้องไปต้อนรับด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม เฉินฉางเซิงไม่ได้นั่งเกี้ยวมา สำนักกระบี่หลีซานก็ไม่ใช่สำนักทั่วไป ที่พวกเขาทำนี้ก็นับว่ามีมารยาทอย่างมากแล้ว

โก่วหานสือกับเหลียงปั้นหูคำนับเฉินฉางเซิง

ชื่อของเหลียงเสี้ยวเซียวได้หายไปจากใจของคนทั่วไปแล้ว แต่เป็นไปไม่ได้ที่เฉินฉางเซิงจะลืม เขามั่นใจว่าเหลียงปั้นหูก็ไม่อาจลืมเช่นกันทำให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาประหลาดอยู่บ้าง

บรรยากาศนี้สลายลงอย่างรวดเร็วจากสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา ผู้อาวุโสจากหอกระบี่คุกเข่ากราบเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงตกใจอย่างมาก บอกได้ว่าผู้อาวุโสทุกคนของหอกระบี่สำนักกระบี่หลีซานมีระดับการบำเพ็ญเพียรที่สูงล้ำ ผู้อาวุโสทุกคนมีพลังการต่อสู้โดดเด่นอีกทั้งยังมีนิสัยเย่อหยิ่งถือดี แม้แต่ฐานะสังฆราชของเขาก็ไม่เพียงพอที่จะให้ผู้อาวุโสคุกเข่ากราบ

เขานึกถึงเรื่องที่กวนเฟยไป๋เคยพูดระหว่างเดินทางได้อย่างรวดเร็ว

ผู้อาวุโสหอกระบี่ของสำนักกระบี่หลีซานได้ล่าถอยออกจากการศึกบนทุ่งหิมะแต่ถูกยอดฝีมือเผ่ามารล้อมเอาไว้และเกือบจะเสียชีวิตลง สุดท้ายเขารอดมาได้เพราะยาจูซา ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว ผู้อาวุโสที่กล้าหาญหาใดเปรียบคนนี้น่าจะเป็นคนที่อยู่ตรงหน้าเขา

เมื่อเขาคิดดูแล้ว เฉินฉางเซิงก็รีบพยุงผู้อาวุโสขึ้นและคำนับกลับอย่างจริงจัง ในมุมมองของเขา คนอย่างผู้อาวุโสที่เข้าร่วมศึกเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติเป็นคนที่คู่ควรแก่การเคารพอย่างแท้จริง ในทางกลับกันที่เขาทำก็แค่ใช้เลือดของเขาทำยาจูซาไม่กี่เม็ด ไม่อาจนับเป็นอะไรได้

ไม่มีการพูดคุยอะไรอีกระหว่างที่พวกเขาเดินทางขึ้นสู่ยอดเขา

ในตอนนี้ศิษย์สำนักกระบี่หลีซานหลายร้อยคนได้มารวมตัวกันที่ยอดเขาแล้ว คาดว่าประกายกระบี่บนที่ราบสูงทั่วหลีซานคงลดลงไปมาก

เมื่อศิษย์พวกนี้มองไปที่พวกเฉินฉางเซิง ดวงตาของเขาทั้งสงสัยและระแวดระวัง

ศัตรูและคู่แข่งในอดีตได้เปลี่ยนเป็นพันธมิตรและเพื่อนร่วมรบในตอนนี้

ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักกระบี่หลีซานกับสำนักฝึกหลวงนั้นซับซ้อนอย่างมาก ดังนั้นสายตาพวกนั้นจึงมีความซับซ้อนอย่างมากเช่นกัน

ที่น่าขันก็คือศิษย์เพียงเล็กน้อยที่มองไปทางเฉินฉางเซิงในขณะที่อีกไม่กี่คนที่มองไปทางถังซานสือลิ่ว อย่างไรก็ตาม ศิษย์ส่วนใหญ่ต่างมองไปทางเจ๋อซิ่ว ดูกระสับกระส่ายตอนที่กระซิบกระซาบกัน

เป็นธรรมดาว่าไม่ใช่เพราะเจ๋อซิ่วมีชื่อเสียงในสนามรบ แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเขากับชีเจียน

โก่วหานสือขมวดคิ้วเล็กน้อยกับภาพนี้ ทำให้ศิษย์หยุดพูดคุยกันในทันทีและกลับสู่ท่าทีมีสัมมาคารวะ

หลังจากเดินผ่านฝูงชน พวกเขาก็เห็นถ้ำที่มีเถาวัลย์ปกคลุมแต่ไกล คาดว่าเป็นที่อยู่ของเจ้าสำนัก

พื้นหินตรงหน้าถ้ำสูงกว่าบริเวณโดยรอบเล็กน้อย สามารถมองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้อย่างง่ายดาย

ถึงแม้ว่ายืนอยู่กลางฝูงชนนับพัน คนผู้นั้นก็ยังเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นอยู่ดี

ชิวซานจวินหันกลับมาและมองไปที่พวกเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงมองไปที่เขา ไม่รู้จะพูดอะไรดี

เมื่อวานตอนที่พวกเขาตัดสินใจมาหลีซาน เขาก็คิดถึงภาพนี้ไว้แล้ว

เขาเคยจินตนาการว่าชิวซานจวินจะหาข้ออ้างเลี่ยงไม่พบหน้ากัน แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าชิวซานจวินจะเป็นชิวซานจวินได้อย่างไรถ้าเขาหลบเลี่ยงการพบหน้า