ยอดเขาเงียบงันอย่างที่สุด เจ๋อซิ่ว ถังซานสือลิ่วและศิษย์สำนักกระบี่หลีซานมองดูชิวซานจวินกับเฉินฉางเซิงเงียบๆ
ผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเยาว์ที่โด่งดังที่สุดในโลกย่อมเป็นชิวซานจวินกับสวีโหย่วหรง ภายหลังจึงมีชื่อของเฉินฉางเซิงเข้ามาร่วมด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสามซับซ้อนอย่างมาก เรื่องราวที่สามารถเล่าได้เป็นเวลานาน
แต่เท่าที่ทุกคนรู้ เฉินฉางเซิงกับชิวซานจวินไม่เคยพบหน้ากัน
ทั่วทั้งต้าลู่สงสัยอย่างมากว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาพบกัน
วันนี้พวกเขาพบกันในที่สุด แล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ซิวซานจวินคำนับอย่างสุขุมและกล่าว “ลำบากเดินทางแล้ว”
เฉินฉางเซิงคำนับกลับอย่างสุขุมและตอบกลับ “ไม่พบกันนาน”
ในเวิ่นสุ่ย ชิวซานจวินเดินผ่านพวกเขา แต่พวกเขาไม่ได้พบกันอย่างแท้จริง
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็นับว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาลากันที่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน
ศิษย์สำนักกระบี่หลีซานดูค่อนข้างประหลาดใจกับคำตอบของเฉินฉางเซิง ศิษย์พี่ใหญ่กับองค์สังฆราชเคยพบกันมาก่อนหรือ
เจ๋อซิ่วกับถังซานสือลิ่วสบตากันด้วยความประหลาดใจ
เยี่ยเสี่ยวเหลียนไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ใช้สายตาหลงใหลมองสลับไปมาระหว่างชิวซานจวินกับเฉินฉางเซิงและคิดในใจ ตอนที่ข้ากลับไปสำนักจะโม้ให้พวกศิษย์น้องฟังอย่างไรดี
มีแต่โก่วหานสือและศิษย์ที่กลับมาพร้อมชิวซานจวินเมื่อวานที่รู้ว่าทั้งสองเคยพบกันมาก่อนที่คอกม้าผาชัน
คนพวกนี้มีสีหน้าค่อนข้างประหลาดในตอนนี้เมื่อพวกเขามองดูภาพนี้และนึกถึงเรื่องนั้น ไป๋ไช่พบว่าการกลั้นหัวเราะนั้นยากเอาการทีเดียว
ถังซานสือลิ่วเกิดสงสัยขึ้นมา จึงเดินไปและถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อได้รู้คำตอบ เขาก็พูดอะไรไม่ออก มองดูชิวซานจวินกับเฉินฉางเซิงและถอนหายใจ “พวกเจ้าสองคนตาบอดหรือไง”
……
……
ชิวซานจวินถาม “เจ้าคือถังถังใช่ไหม”
“เจ้าจำข้าได้ด้วยหรือ” ถังซานสือลิ่วถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เขาคิดในใจ คนอย่างชิวซานจวินถึงกับจำข้าได้ เขาภูมิใจทีเดียว ความคิดว่ามันน่าภูมิใจนี้กลายเป็นความโมโหอย่างรวดเร็ว
“ข้าได้ยินว่าเจ้าเหม็นจนเกินทนตอนเดินออกจากหอบรรพชน ดูเหมือนว่าตอนที่เจ้าอาบน้ำบนถนนเจ้าลืมบ้วนปาก”
ชิวซานจวินส่ายหน้าจากนั้นก็ทำท่าบอกให้เฉินฉางเซิงตามเขาเข้าไปในถ้ำ
ถังซานสือลิ่วโมโหกับคำพูดนี้ เขาไม่สนว่าคนผู้นี้เป็นชิวซานจวินหรือที่แห่งนี้คือสำนักกระบี่หลีซาน เขาม้วนแขนเสื้อ หมายใจจะเริ่มด่าแข่งกัน
โก่วหานสือรีบดึงเขากลับและปลอบโยน “วันนี้ศิษย์พี่อารมณ์ไม่ค่อยดี ช่วยเข้าใจหน่อย”
นี่ก็จริง แม้ว่าชิวซานจวินจะไม่ใช่คนอ่อนโยนแบบโก่วหานสือ แต่เขาก็มีมารยาทมากทีเดียวน้อยครั้งที่จะพูดจาเยาะเย้ยถากถาง
ถังซานสือลิ่วมองไปที่ประตูถ้ำที่ปิดแน่นและหัวเราะ “กลายเป็นว่าแม้แต่ชิวซานจวินก็ยังอับอายจนกลายเป็นโกรธ”
……
……
ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดสองคน เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะไม่อายเรื่องทำตัวโง่เขลา
และเมื่อเรื่องที่น่าอับอายที่สุดถูกเปิดโปงต่อหน้าฝูงชน หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกหาว่าตาบอดอย่างหยาบคาย นี่ย่อมเป็นสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเหตุผลมากมาย ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินฉางเซิงกับชิวซานจวินก็เป็นที่น่ากระอักกระอ่วนมากอยู่แล้ว
ส่งผลให้พวกเขาสองคนไม่พูดตอนที่เดินเข้าส่วนลึกของถ้ำ
“อาจารย์ องค์สังฆราชมาถึงแล้ว”
หลังจากกล่าวแล้ว ชิวซานจวินก็นั่งลงด้านข้าง
นักพรตนั่งอยู่บนเบา ก้มหน้าอ่านตำราที่ดูเหมือนจะเป็นคัมภีร์กระบี่ ดูมีสมาธิอย่างมาก ส่วนเดียวบนศีรษะที่เห็นได้ก็คือผมสีขาว
เฉินฉางเซิงรู้ว่านี่คือเจ้าสำนักของสำนักกระบี่หลีซานและเคลื่อนสายตาไปมองเขาโดยไม่รู้ตัว
บังเอิญที่เจ้าสำนักก็เงยหน้าขึ้นเช่นกัน พวกเขาประสานสายตากัน
เฉินฉางเซิงพบว่าถึงแม้เจ้าสำนักจะมีผมขาวเต็มหัว ดวงตาเขากลับกระจ่างใสแหลมคม ไม่มีร่องรอยความชรามีแต่ความสดชื่นกระจ่างใส
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าดวงตาแหลมคมคู่นี้ยังแผ่กลิ่นอายลึกลับออกมาด้วย
เฉินฉางเซิงดูประหลาดใจอยู่บ้างเมื่อเขารู้สึกว่าปรมาจารย์กระบี่นี้ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เมื่อไม่นานมานี้
“ก่อนที่อาจารย์ปู่เล็กจะจากไป ข้าก็ข้ามขีดจำกัดนั้นแล้ว”
เจ้าสำนักกระบี่หลีซานเห็นความสงสัยของเขาและยิ้มกล่าว “แต่ไม่มีเหตุผลอันดีให้ประกาศออกไป ข้าไม่ใช่พวกมรสุมเหล่านั้นที่ต้องสะสมที่ดินมากมายให้คนในตระกูลหรือศิษย์ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องอย่างการเข้าร่วมพิธีก็เป็นปัญหาอย่างมาก ดังนั้นข้าไม่ให้โลกได้รู้เรื่องนี้”
เฉินฉางเซิงถาม “ถ้าอย่างนั้นทำไม…”
เขาย่อมอยากถามว่าทำไมสำนักกระบี่หลีซานถึงได้พลันประกาศเรื่องนี้ออกไปเมื่อหลายวันก่อน
เจ้าสำนักอธิบาย “เซียงอ๋องได้ทะลวงผ่านขีดจำกัดแล้ว หากข้ายังนั่งนิ่ง ใจคนอาจไม่สงบ”
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขาและกล่าวอย่างขอบคุณ “ขอบคุณผู้อาวุโสมาก”
เจ้าสำนักตอบ “แต่มันก็เป็นชื่อเสียงว่างเปล่าไร้กำลัง พระองค์คงรู้ว่านักพรตชรานี้กลัวปัญหาที่สุด หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นข้าไม่มีทางยอมออกจากภูเขา”
เฉินฉางเซิงตอบ “หากไม่จำเป็นข้าก็ไม่รบกวนความสงบในการบำเพ็ญเพียรของผู้อาวุโส”
เจ้าสำนักถาม “หากพระองค์ไม่ต้องการจะรบกวนความสงบของข้า เหตุใดจึงมาอยู่ตรงหน้าข้า”
เฉินฉางเซิงกล่าวด้วยความเขินอายอยู่บ้าง “แต่เรื่องนี้ต้องถูกแก้ไขอยู่ดี”
เจ้าสำนักกระบี่หลีซานฝืนยิ้มถาม “อาการป่วยของเจ้าลูกหมาป่าหายดีแล้วหรือ”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า “ไม่เพียงไม่หายดี ยังมีทีท่าจะแย่ลงอีกด้วย”
เจ้าสำนักถอนหายใจ “เมื่อเป็นเช่นนี้ พบกันก็ไม่สู้ไม่พบกัน”
เฉินฉางเซิงตอบ “นอกจากพบคน การมาเยือนหลีซานก็เพื่อขอคำแนะนำทางการแพทย์”
เจ้าสำนักถาม “หมายความว่าอย่างไร”
เฉินฉางเซิงบอกสภาพอาการป่วยของเจ๋อซิ่วให้ฟังแล้วเสริม “ข้าเคยอ่านคัมภีร์เต๋าบอกว่าสำนักกระบี่หลีซานเคยมีวิชาเต๋าที่เกี่ยวกับบทเพลงกระบี่ที่เที่ยงธรรม ทรงเกียรติและอัศจรรย์ มีธรรมชาติที่กลมเกลียวตรงไปตรงมาที่สุด ข้าเชื่อว่าวิชาเต๋านี้จะช่วยควบคุมอาการทันใดใจคิดของเจ๋อซิ่วได้ระยะเวลาหนึ่ง”
เจ้าสำนักกระบี่หลีซานหรี่ตาถาม “พระองค์ตั้งใจที่จะให้ลูกหมาป่านั้นเรียนวิชาเต๋าของสำนักกระบี่หลีซานอย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงตอบ “ถูกต้อง ข้าขอให้ผู้อาวุโสช่วยเหลือด้วย”
เจ้าสำนักกล่าว “ข้าเคยได้ยินถึงวิชาเต๋านี้ แต่เพลงกระบี่ดนตรีกระจ่างใส ได้ขาดการสืบทอดมานานหลายปีแล้ว”
เฉินฉางเซิงรู้เรื่องนี้ แต่เขายังมีความหวังสุดท้ายเหลืออยู่ “หากคัมภีร์เพลงกระบี่ยังอยู่ ก็มีโอกาสเรียนรู้ได้”
เจ้าสำนักยิ้มเงียบๆ แต่เขาดูเหมือนจะปิดหนังสือที่กำลังอ่านอยู่อย่างไม่ตั้งใจ
สายตาเฉินฉางเซิงตกลงบนปกของหนังสือและดวงตาเบิกกว้าง มันคือคัมภีร์วิชาเพลงกระบี่ดนตรีกระจ่างใส!
เจ้าสำนักยิ้มจางและกล่าว “เพลงกระบี่ดนตรีกระจ่างใสขาดการสืบทอดจริงๆ ข้าเพิ่งเริ่มเรียนรู้มันเมื่อวานนี้ และไม่อาจแน่ใจได้ว่าข้าจะเข้าใจมันได้”
ในตอนนี้เฉินฉางเซิงมองตระหนักได้ในที่สุดว่าเจ้าสำนักกระบี่หลีซานได้เตรียมเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว
เขาประสานมือคำนับเจ้าสำนักกระบี่หลีซาน จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ”
มียอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เชี่ยวชาญกระบี่เรียนเพลงกระบี่ดนตรีกระจ่างใสเพื่อสอนเจ๋อซิ่วย่อมดีกว่าให้เจ๋อซิ่วฝึกวิชานี้ด้วยตัวเอง
เจ้าสำนักกระบี่หลีซานยิ้มแต่ไม่ตอบคำ