เฉินฉางเซิงมีพรสวรรค์อย่างยิ่งในแง่ของการบำเพ็ญตน แต่ความรู้ในเรื่องทางโลกนั้นอ่อนด้อยทีเดียว เขาจ้องมองอย่างเหม่อลอยเป็นเวลานานก่อนที่จะมีปฏิกิริยา จากนั้นก็คิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “หากข้ามีโอกาส ข้าจะโน้มน้าวองค์จักรพรรดิขาวและขอคัมภีร์กระบี่ของสำนักกระบี่หลีซานคืนมา”
หลายร้อยปีก่อน ทัพพันธมิตรมนุษย์และปีศาจเดินทางขึ้นเหนือเพื่อทำศึกกับเผ่ามาร ผู้อาวุโสหลายคนของสำนักกระบี่หลีซานขนส่งเสบียงล่าช้าและถูกลงโทษประหารชีวิต
เมื่อไม่มีวิธีที่ดีกว่า สำนักกระบี่หลีซานจึงส่งคัมภีร์กระบี่ไปยังเมืองไป๋ตี้เพื่อขอให้จักรพรรดิขาวส่งราชโองการไปสั่งให้จินอวี้ลวี่ผ่อนผัน
สำหรับสำนักกระบี่หลีซาน ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้คัมภีร์กระบี่กลับคืนมาโดยไม่สร้างความขัดแย้งกับเมืองไป๋ตี้อีกแล้ว
ในตอนนี้คนที่มีโอกาสทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้มากที่สุดก็ย่อมเป็นเฉินฉางเซิง
เจ้าสำนักกระบี่หลีซานพึงพอใจกับคำสัญญาของเฉินฉางเซิงอย่างมาก
แต่ชิวซานจวินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่พอใจอยู่บ้าง
อาจารย์ปู่ซูหลีเคยบอกว่าสิ่งที่หลีซานเสียไปก็ต้องให้หลีซานเอากลับมาเอง
แต่เมื่อเป็นความตั้งใจของอาจารย์ ของเจ้าสำนัก เขาย่อมไม่กล่าวโต้แย้งต่อเฉินฉางเซิง
การรักษาอาการป่วยของเจ๋อซิ่วเป็นเรื่องที่ต้องกังวลที่สุด ดังนั้นเฉินฉางเซิงจึงอารมณ์ดีขึ้นมากในตอนนี้ เขาถาม “ตอนนี้เราสามารถพบคนได้หรือไม่”
เจ้าสำนักส่ายหน้า “ต่อให้ลูกหมาป่าเรียนเพลงกระบี่ดนตรีกระจ่างใส ก็ทำได้แค่สะกดอาการป่วยชั่วคราว ไม่อาจรักษาได้ พวกเขาย่อมไม่อาจพบกัน”
เฉินฉางเซิงรู้สึกไร้กำลังอย่างยิ่ง “จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยหรือ”
เจ้าสำนักกระบี่หลีซานก็รู้สึกไร้หนทางเช่นกัน “นี่เป็นประสงค์ของอาจารย์ปู่เล็ก ใครจะกล้าขัดขืน”
เฉินฉางเซิงรู้นิสัยของซูหลีดี ดังนั้นจึงไม่สามารถพูดอะไรได้
ชิวซานจวินพลันกล่าว “ข้าคิดว่าอาจารย์ปู่ทำพลาดในเรื่องนี้”
เจ้าสำนักตอบ “แต่เขาก็เป็นอาจารย์ปู่ของเจ้า เจ้าต้องเคารพรักเขา”
ชิวซานจวินกล่าว “ด้วยนิสัยของอาจารย์ปู่ ยากนักที่จะให้คนเคารพรักเขา”
เฉินฉางเซิงนึกถึงการเดินทางลงใต้จากทุ่งหิมะและมองไปที่ชิวซานจวิน รู้ว่าเขาคิดอะไรและกังวลเรื่องใดอยู่
ในชั่วขณะนั้นพวกเขารู้สึกเหมือนย้อนกลับไปที่คอกม้าผาชัน
แต่ก็แค่ชั่วขณะเดียวเท่านั้น แล้วพวกเขาก็รู้สึกไม่สบายและถอนสายตาไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีวิธีจะเลี่ยงกฎสักเล็กน้อยเลยหรือ”
เขากล่าวกับเจ้าสำนัก “ไม่ว่าอย่างไรผู้อาวุโสซูหลีก็ไม่อยู่ที่นี่”
เจ้าสำนักตอบ “แม้ว่าอาจารย์ปู่เล็กจะจากไปแล้ว กระบี่ของเขาก็ยังอยู่ที่ภูเขา”
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าคำพูดนี้มีความหมายอื่นจึงถาม “กระบี่หรือ”
เจ้าสำนักอธิบาย “อาจารย์ปู่เล็กทิ้งกระบี่เอาไว้ หากใครสามารถผ่านกระบี่นี้ได้ ก็สามารถไม่สนใจคำสั่งของเขาได้”
เฉินฉางเซิงคิดแล้วกล่าว “ข้าอยากลองดู”
“ข้าไม่ปิดบังท่าน การจะทำลายกระบี่นี้อันตรายอย่างยิ่ง”
เจ้าสำนักกระบี่หลีซานเตือนอย่างจริงจัง “อาจารย์ปู่เล็กสอนวิถีกระบี่ให้เจ้า ดังนั้นเจ้าก็นับได้ว่าเป็นศิษย์น้องของข้า ข้าไม่อยากเห็นเจ้าต้องเสี่ยง”
เฉินฉางเซิงตอบ “ผู้เยาว์ไม่กล้ารับ”
เขาย่อมหมายถึงเรื่องที่เจ้าสำนักเรียกเขาว่า ‘ศิษย์น้อง’
เจ้าสำนักกระบี่หลีซานหัวเราะและกล่าว “แค่พลั้งปากไป ต่อให้เจ้ากล้ารับข้าก็ไม่กล้าเรียกเจ้าเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นคงมีคนไม่สบายใจ”
หากเฉินฉางเซิงกลายเป็นศิษย์น้องของเจ้าสำนักกระบี่หลีซาน ไม่เท่ากับว่าเขากลายเป็นอาจารย์อาของชิวซานจวินและเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพที่เหลือหรอกหรือ
ส่วนใครที่ไม่สบายใจนั้นคำตอบก็ชัดเจน
เฉินฉางเซิงมองไปที่ชิวซานจวิน
ชิวซานจวินไม่สนสายตาเขา กล่าวกับเจ้าสำนักกระบี่หลีซาน “อาจารย์ หากศิษย์น้องหญิงได้ยินคำสนทนานี้ ท่านคิดว่าท่านจะเหลือเคราอยู่เท่าไร”
……
……
ตีนเขาด้านหลังยอดเขาหลักของหลีซานเป็นหน้าผา ตรงหน้าของหน้าผานี้มีผนังหิน ผนังนี้ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์ เถาวัลย์มีดอกไม้ป่าประปราย
มีแต่เดินใกล้เข้าไปจึงเห็นว่ามีทางเดินกว้างสองฉื่อยู่ในผนังที่ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์
เสียงนกร้องขับขานได้ยินจากอีกฝั่งของทางเดิน ดอกไม้ส่งกลิ่มหอมรัญจวน หากมองดูให้ดีจะเห็นสีเขียวชอุ่ม
ดูเหมือนจะมีหุบเขาเขียวชอุ่มอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
ชิวซานจวิน โก่วหานสือและศิษย์คนอื่นของสำนักกระบี่หลีซานนำพวกเฉินฉางเซิงมาที่หน้าผานี้
เจ๋อซิ่วจ้องมองไปที่รอยต่อในก้อนหิน
“หลายปีที่ผ่านมา ศิษย์น้องหญิงบำเพ็ญตนเงียบๆ อยู่ฝั่งนั้น หากเจ้าต้องการที่จะพบนาง เจ้าต้องเดินผ่านทางนี้”
โก่วหานสืออธิบายกับพวกเฉินฉางเซิง “ทางเดินนี้เป็นอาจารย์ปู่สร้างขึ้นก่อนจะทะลวงผ่านสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ตัดหน้าผาด้วยกระบี่ ผนังหินยังมีเจตจำนงกระบี่และจิตสังหาร ทำให้มันอันตรายอย่างยิ่ง นี่เป็นกระบี่ที่เจ้าต้องผ่านไป”
เฉินฉางเซิงรู้ดีว่าหลังจากกระบี่บังฟ้าหายไปในสวนโจว กระบี่ที่ซูหลีใช้เป็นแค่กระบี่สัมฤทธิ์ธรรมดาที่ตีขึ้นโดยช่างตีเหล็กในหมู่บ้านตีนเขาหลีซาน เมื่อคิดว่าซูหลีใช้กระบี่ธรรมดาตัดทางเดินผ่านหน้าผาเข้าสู่แดนสวรรค์อีกด้าน เขาก็ตัวแข็งไป
สายตาตกไปที่ทางเดินผ่านผนังหินที่ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์
รอยกระบี่นับไม่ถ้วน ลึกอย่างมากปรากฏอยู่บนผนัง หลังจากผ่านลมฝนไปหลายร้อยปี ก็ยังไม่จางไป
พวกเขายังอยู่ห่างจากทางเข้าสิบกว่าจั้ง แต่พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่ทรงพลังที่บรรจุไว้ในรอยกระบี่พวกนั้น
หลังจากมองไปที่ผนังไม่กี่รอบ ไป๋ไช่กับถังซานสือลิ่วก็รู้สึกเจ็บตาและอยากร้องไห้ออกมา
สายตาเจ๋อซิ่วยังจับจ้องไปที่ผนัง เขาเงียบและมีสมาธิเหนือธรรมดา แม้ว่าดวงตาจะค่อยๆ แดงขึ้น ก็ยังไม่ยอมกะพริบตา
สายลมพุ่งออกมาจากทางผนัง พัดใบไม้บนพื้นและกระทบเสื้อผ้าของเฉินฉางเซิง
มีเสียงฉีกขาดเบาๆ รอยฉีกเป็นทางตรงเกิดขึ้นบนแขนเสื้อ
เศษแขนเสื้อปลิวไปตามสายลมและตกจากหน้าผา
เฉินฉางเซิงก้มหน้ามองดูฐานหน้าผา เขาเห็นว่าพื้นดินรัศมีสิบกว่าจั้งรอบทางเข้าราบเรียบอย่างมาก ไม่มีแม้แต่ใบไม้ร่วงให้เห็นเลย
คาดว่าเมื่อเวลาผ่านไป เจตจำนงกระบี่รุนแรงภายในผนังหินได้ซึมออกมา หั่นใบไม้และเศษหินทั้งหมดในบริเวณจนกลายเป็นผุยผง
เจตจำนงกระบี่ที่น่ากลัวแบบนี้นับว่าหาได้ยากอย่างแท้จริง
สมกับเป็นยอดฝีมือกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบพันปีที่ผ่านมาจริงๆ
เจ๋อซิ่วเคลื่อนไหว
แต่เขาถูกเฉินฉางเซิงหยุดเอาไว้
“ข้าเรียนกระบี่จากซูหลี ดังนั้นข้าย่อมเข้าใจในวิถีกระบี่ของเขาอย่างล้ำลึก เจ้าควรให้ข้าลองก่อน ต่อให้ข้าล้มเหลว ข้าก็ยังมีโอกาสถอย ที่เจ้าต้องทำก็คือสังเกต ด้วยการสังเกตและความสามารถในการวิเคราะห์ของเจ้า โอกาสที่เจ้าจะทำสำเร็จจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
เฉินฉางเซิงจ้องไปที่ตาของเขาตอนที่กล่าว
เขาพูดถูกแล้ว
แม้ว่าแค่ต้องเดินผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยรอยกระบี่นับไม่ถ้วน มันก็เป็นการต่อสู้ที่ท้าทายอย่างยิ่ง
นี่เป็นการต่อสู้กับซูหลีจากเมื่อหลายร้อยปีก่อน
เจ๋อซิ่วจมอยู่ในความคิด จากนั้นก็หยุดและกล่าว “ขอบคุณ”
มีเรื่องมากมายที่ใช้แค่ไม่กี่คำก็พอ
ด้วยนิสัยของเจ๋อซิ่ว คำว่าขอบคุณเพียงพอที่จะแสดงอะไรได้มากมาย
เฉินฉางเซิงชักกระบี่ไร้ราคีออกมาและปักด้ามใส่ฝักซ่อนคม
นี่เป็นรูปแบบกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา
เขาทำเช่นนี้ตอนเผชิญหน้ากับจูลั่วในเมืองสวินหยาง ตอนที่เขาบุกฝ่าเข้าตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งในจิงตู แม้แต่ในการต่อสู้ระหว่างเขากับราชามารทั้งสองรุ่นในเทือกเขาหิมะ
วันนี้ เขาต้องการที่จะบุกฝ่าทางเดินหิน ซึ่งเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน
ซูหลีเมื่อหลายปีก่อนได้ตัดผ่าเส้นทางสู่แดนสวรรค์นี้ก่อนจะบรรลุเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่ถึงระดับความแข็งแกร่งในอนาคต อย่างไรก็ตาม เขาได้ฝึกกระบี่จนถึงระดับที่สูงมากแล้ว สำหรับเขากับเจ๋อซิ่ว ซูหลีคนนี้ก็ยังเป็นคนที่เกินเอื้อมอยู่ดี
เฉินฉางเซิงถือกระบี่ก้าวไปข้างหน้า
แค่ก้าวเดียวก็มีรูผุดขึ้นบนเสื้อผ้าของเขาหลายรู