ราชันเร้นลับ 1178 : ข้ารับใช้ของข้า

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

งูยักษ์สีเงินสว่างก้มมองออเดรย์พลางเปิดปากสีแดงก่ำ

“โอสถลำดับ หนึ่ง ที่ซาราธ ผู้นำลัทธิเร้นลับดื่มเข้าไปถูกปรุงจากตะกอนพลังของบริวารเร้นลับ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เจ้านั่นมีตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์สองชุดในตัว…”

“เช่นเดียวกันกับบรรพบุรุษของตระกูลอันทีโกนัสในอดีต แต่แน่นอน หากมันมีคนโปรดและอยากอำนวยความสะดวกให้อีกฝ่าย ในฐานะเทวทูตที่มีระดับตัวตนสูง มันสามารถสกัดตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ส่วนเกินออกมาให้คนโปรดได้…”

“ตะกอนผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ก้อนที่สามได้ผสานเข้ากับตะกอนพลังที่ไม่ทราบต้นกำเนิด กลายเป็นสมบัติปิดผนึก ‘ศูนย์-ศูนย์ห้า’ หรือที่เรียกกันว่า ‘ตะเกียงวิเศษประทานพร’…เทพแท้จริงบางตนเคยพยายามทำลายสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้เพื่อแยกตะกอนพลังออกจากกัน แต่ก็ต้องล้มเหลว…”

“ตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ก้อนที่สี่และห้าอยู่ในมือโบสถ์สุริยันเจิดจรัสและวายุสลาตันในรูปแบบสมบัติปิดผนึกระดับ ศูนย์ หนึ่งในนั้นมีรหัส ศูนย์-หนึ่งสาม มาจากพระผู้สร้างในยุคสมัยที่สาม ถูกเรียกว่า ‘งานเลี้ยงมื้อสุดท้าย’ ส่วนอีกหนึ่งมีรหัสว่า ศูนย์-สามสอง เป็นผลผลิตจากสงครามสี่จักรพรรดิ ถูกเรียกว่า ‘โรงละครที่ไม่มีวันปิดม่าน’…”

“ตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ก้อนที่หกน่าจะอยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้ง กล่าวกันว่าที่นั่นมีหมาป่าอสูรทมิฬปรากฏตัวเป็นครั้งคราวในช่วงต้นของยุคสมัยที่สาม แต่หลังจากเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ ข่าวคราวของมันก็หายไปโดยสิ้นเชิง”

ออเดรย์ฟังอย่างตั้งใจ กล่าวหลังจากไตร่ตรองด้วยความรอบคอบ

“คุณระบุว่าตะกอนพลังของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์จะมีสูงสุดได้หกก้อนในกรณีที่ตำแหน่งลำดับ หนึ่ง อย่างบริวารเร้นลับถูกเติมเต็ม แต่เมื่อครู่คุณเพิ่งเอ่ยถึงลำดับ หนึ่ง เพียงสองตนนั่นคือซาราธแห่งลัทธิเร้นลับ และบรรพบุรุษของตระกูลอันทีโกนัส…ในสถานการณ์เช่นนี้ หมายความว่าอาจมีตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์หลงเหลือมากกว่าหกก้อน…”

นั่นไม่ใช่ข้อมูลที่เกอร์มันสแปร์โรว์แจ้งให้ทราบล่วงหน้า แต่เกิดจากการวิเคราะห์และตกผลึกเป็นความเข้าใจของออเดรย์เอง

ดวงตาสีแดงของงูยักษ์ขยับเล็กน้อย

“อันที่จริงต้องบริวารเร้นลับสามตน…แต่ในยุคสมัยที่สอง เมื่อครั้งเทพบรรพกาลเฟรเกียยังมีชีวิตอยู่ ตะกอนพลังบริวารเร้นลับก้อนที่สามได้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย รวมถึงตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ที่เกี่ยวข้องกันด้วย บางทีพวกมันอาจรวมกันเป็นก้อนเดียวในสถานะซ่อนตัวที่มีประสิทธิภาพ”

ออเดรย์พยักหน้าแผ่วเบา

“เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันจะส่งต่อข้อมูลให้มิสเตอร์ดอนดันเตส…เอ่อ…เขายังฝากถามด้วยว่า คุณมีอะไรให้เขาช่วยไหม?”

งูยักษ์สีขาวเริ่มขยับตัว หนึ่งในสามของร่างกายท่อนบนชูคอขึ้น

“ไม่…ไม่ใช่เรื่องใหญ่…หนึ่งในข้ารับใช้ของข้าเป็นยอดนักชิม เขาปรารถนาจะชิมไอศกรีมรสเลิศจากบรรดาตระกูลขุนนางใหญ่เพื่อเปรียบเทียบกันว่าของใครอร่อยที่สุด”

…คำขอแบบนี้…มิสเตอร์งู…เอ่อ…อาจเป็นมาดามงู…ท่านใจดีกับข้ารับใช้มาก…แต่น้ำเสียงฟังดูเหมือนอดใจรอไม่ไหวแล้ว…ฟู่ว…เป็นคำขอที่ง่ายมาก เรารับปากแทนมิสเตอร์เวิร์ลได้ ให้มองว่าเป็นการสะสมคะแนนผลงานเพื่อแลกสูตรโอสถ…ออเดรย์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ

“ไม่มีปัญหาค่ะ…แต่ดิฉันจะส่งไอศกรีมให้ด้วยวิธีใด?”

งูยักษ์สีเงินสว่างขดตัวเล็กน้อย

“สังเวยถึงเขา…เขาเป็นนักบุญลำดับ สาม แล้ว สามารถรับมอบเครื่องสังเวยหากอยู่ในเมืองเดียวกัน…นามเต็มอันทรงเกียรติก็คือ ร่างอวตารแห่งโชค สัตว์ประหลาดแห่งการพยากรณ์ ภัยพิบัติผู้แพร่กระจายเคราะห์กรรม สักขีพยานของทุกชะตากรรมในเบ็คลันด์ ผู้พิทักษ์แห่งความโกลาหลและบ้าคลั่ง”

มีบางจุดที่แตกต่างจากนามเต็มอันทรงเกียรติของผู้วิเศษลำดับ สาม ตามปรกติ…ในวรรคสุดท้ายไม่มีชื่อกำกับไว้…ดวงตาออเดรย์ขยับเล็กน้อย แต่ในท้ายที่สุดก็พยักหน้ารับ

ผู้พิทักษ์แห่งความโกลาหลและบ้าคลั่ง…วรรคสุดท้ายน่าสนใจทีเดียว…นี่คงไม่ใช่พระนามเต็มของอสรพิษแห่งชะตา แต่เป็นชื่อที่วิลเคยใช้เมื่อครั้งยังเป็นลำดับ สาม โดยมีการปรับแต่งเล็กน้อยในภายหลัง…เส้นทางสัตว์ประหลาดต้องคอยจับตามองความโกลาหลและบ้าคลั่งของโลกใบนี้? หรือหมายถึงเรื่องที่ผู้วิเศษลำดับต่ำของเส้นทางต้องต่อสู้กับความยากลำบากดังกล่าว และพยายามทำให้ทุกสิ่งดูเป็นปรกติ? ไคลน์ที่ได้ฟังคำตอบจากมิสจัสติส ไม่แปลกใจกับข้อเรียกร้องอยากกินไอศกรีมของวิลอัสติน แต่สนใจนามเต็มอันทรงเกียรติของประธานแห่งโรงเรียนชีวิตมากกว่า

หึหึ…ข้ารับใช้ของข้า…ฟังดูเหมือนกับการอ้างว่า ‘เพื่อนฝากถาม’…หมอนั่นกำลังเลียนแบบเรา? ไม่สิ เรามีข้ารับใช้ตัวจริง และนั่นคือเดนิส! อีกสักพักคงต้องให้เดนิสสังเวยอาหารจริงมาให้กินบ้าง คนเราคงไม่สามารถกินเห็ดหรือภาพฉายทางประวัติศาสตร์ไปได้ตลอดแน่…ถ้ามีโอกาสก็อยากชวนเดอะซันน้อยมากินด้วยกัน การกินเห็ดของแฟรงค์บ่อยๆ คงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร…อา…ข้ารับใช้จริงๆ ของวิลไม่น่าจะมีน้อยไปกว่าเรา อาจมากกว่าด้วยซ้ำเพราะหมอนั่นมีองค์กรใหญ่อย่างโรงเรียนชีวิต…ไคลน์เสกเกอร์มันสแปร์โรว์ขึ้นมาสวดวิงวอนและแจ้งกับมิสจัสติสว่า ไอศกรีมเหล่านั้นจะถูกแลกกับคะแนนผลงานจำนวนมาก

หลังจากจัดการเสร็จ มันเคาะนิ้วลงบนขอบโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณพลางพิจารณาเกี่ยวกับวัตถุดิบหลักโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์

เลิกหวังว่าซาราธจะสกัดตะกอนพลังส่วนเกินมาให้เราได้เลย…สิ่งเดียวที่เจ้านั่นต้องการคือการเปลี่ยนเราให้เป็นหุ่นเชิด…

การพึ่งพาตะกอนพลังส่วนเกินจากอันทีโกนัสยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว…เทพธิดาอาจช่วยเราได้ แต่ปัญหาคือเรายังไม่มีสิ่งใดไปแลกเปลี่ยน…นอกจากนั้น เทพธิดาอาจยังไม่มีวิธีสกัดออกมา เพราะการฆ่า ‘ฮาล์ฟฟูล’ ที่คลุ้มคลั่งอาจทำให้อีกฝ่ายหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากในปัจจุบันและคืนชีพที่ใดสักแห่ง เหมือนกับที่เราหลุดพ้นจากอามุนด์ นั่นคงเป็นเหตุผลที่เทพธิดาทำได้เพียงผนึกอีกฝ่ายไว้…ในสถานการณ์แบบนี้ การสกัดตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ออกจากตัวอันทีโกนัสคงเป็นไปไม่ได้…

เลิกคิดถึง ศูนย์-ศูนย์ห้า ได้เลย กระทั่งเทพแท้จริงยังไม่มีปัญญาป่น นับประสาอะไรกับเรา…แถมต้นกำเนิดของมันก็ยังฟังดูลึกลับและอันตราย…

ศูนย์-หนึ่งสาม ของโบสถ์สุริยันเจิดจรัสมีชื่อว่า ‘งานเลี้ยงมื้อสุดท้าย’ เป็นผลผลิตจากพระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ… ทำไมชายคนนี้ถึงชอบใช้ชื่อที่หมิ่นเหม่นัก…ศูนย์-สามสอง ของโบสถ์วายุสลาตันมีชื่อว่า ‘โรงละครที่ไม่มีวันปิดม่าน’…แต่ฟังชื่อก็พอจะจินตนาการวิธีใช้งานออก…โอกาสครอบครองสมบัติปิดผนึกระดับ ศูนย์ ทั้งสองชิ้นนั้นต่ำมาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ขึ้นกับว่าสุริยันเจิดจรัสกับวายุสลาตันต้องการปลุกปั้นเราเพื่อต่อต้านอามุนด์มากแค่ไหน…

จวบจนปัจจุบัน พวกท่านยังไม่เคยแสดงความกรุณาให้เห็นเป็นประจักษ์ และเราก็ไม่มีโอกาสติดต่อกับตัวแทนอย่างเป็นทางการ…เราไม่ควรใช้พลังทำนายแอบมองสุริยันเจิดจรัสอีกครั้งเพื่อสื่อสารผ่านมิติกับท่านโดยตรง เพราะถ้าทำแบบนั้น ท่านคงเลือกจะบุกเข้ามายังปราสาทต้นกำเนิดและยึดครองที่นี่แทน แบบนั้นจะสะดวกกว่ามาก…

ถ้ามัวรอปลุกปั้นมิสเตอร์แฮงแมนจนอีกฝ่ายมีตำแหน่งสูงพอที่จะเบิกสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ถึงตอนนั้นเราคงกลายเป็นอามุนด์ไปแล้ว…

พระผู้สร้างแท้จริงมีเบาะแสของตะกอนพลังบริวารเร้นลับก้อนที่สาม…ดินแดนเทพทอดทิ้งคืออาณาจักรของพระองค์ ทั้งสองสิ่งอาจเกี่ยวพันกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง…

มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ภายในดินแดนเทพทอดทิ้งจะมีตะกอนพลังบริวารเร้นลับอยู่หนึ่งก้อนและผู้ชี้นำปาฏิหาริย์อยู่สองก้อน…ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในซากปรักหักพังนอร์ธจะเป็นแบบไหน…

อา…พระผู้สร้างแท้จริงคงทราบแค่เบาะแสของตะกอนพลังบริวารเร้นลับ ไม่ใช่ตำแหน่งที่แน่นอน ไม่อย่างนั้นท่านคงครอบครองมันก่อนสงครามสี่จักรพรรดิจะเริ่มขึ้น เพื่อนำไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับเหล่าขุนพล…

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตะกอนพลังบริวารเร้นลับไม่ใช่สิ่งที่แม้กระทั่งเทพแท้จริงจะครอบครองได้ง่ายนัก ต้องอาศัยการลงแรงค้นหา หมายความว่าแม้แต่อามุนด์ก็คงไม่ง่ายที่จะหาพบและวางกับดัก…หากอันตรายร้ายแรงภายในซากปรักหักพังนอร์ธเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น หมายความว่าเจ้าของตะกอนพลังเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ และเรื่องราวทั้งหมดก็จะลงล็อกพอดี…

ดูเหมือนว่าในท้ายที่สุด เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องสำรวจซากปรักหักพังนอร์ธ แต่ต้องกระทำอย่างรอบคอบสุดขีด อันตรายจากซากปรักหักพังคงไม่ต่างกับอามุนด์มากนัก…ต้องมีการทำนายดวงชะตาก่อนลงมือ และควรเริ่มจากการเฝ้าสังเกตวงนอกเพื่อรวบรวมข้อมูล ห้ามเดิมดุ่มเข้าไปอย่างประมาท ความอดทนคือสิ่งสำคัญ…

ไคลน์หยิบปากกาและกระดาษเพื่อเตรียมเขียนประโยคทำนาย แต่ทันใดนั้นก็ต้องชะงักเพราะฉุกคิดถึงบางสิ่งได้

ชายหนุ่มวาดลวดลายอันซับซ้อนซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนการปกปิดและการส่องความลับ จากนั้นก็โยนเข้าไปในดาวแดงของมิสเมจิกเชี่ยนและเสกเกอร์มันสแปร์โรว์ขึ้นมาสวดวิงวอนถาม

กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันออก ฟอร์สที่เตรียมย้ายบ้าน ขึงผ้าม่านมิดชิด จุดเทียนไข วางกระจก และขอให้ซิลช่วยเป็นสักขีพยาน

เธอวาดสัญลักษณ์ที่มิสเตอร์เวิร์ลมอบให้ลงบนกระดาษ

ภายในห้อง บรรยากาศสลัวลงทันทีพร้อมกับมีสายลมเย็นเยียบพัดผ่าน

ผิวกระจกพลันเกิดคลื่นน้ำกระเพื่อม ตามด้วยข้อความภาษาฟุซัคสีแดงเข้ม

“ในเมื่อเจ้าทำการอัญเชิญมหาอาโรเดสผู้นี้ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเข้มงวด”

“หากเจ้าถาม ก็ต้องตอบคำถามเป็นการแลกเปลี่ยน หากโกหกหรือไม่ตอบก็จะโดนลงโทษ”

“ตกลง” ฟอร์สที่ได้รับการเตือนล่วงหน้าตอบอย่างใจเย็น

จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย

“ดิฉันจะหาวัตถุดิบหลักของโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ได้จากที่ไหน”

บนผิวกระจก ตัวอักษรสีแดงปรากฏขึ้นและเลือนหายไปทีละบรรทัด เนื้อหาเป็นการตอบคำถามโดยละเอียด

แทบจะเหมือนกับคำตอบของวิล…เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านดาวแดงตัวแทนมิสเมจิกเชี่ยน พยักหน้ารับเจือความผิดหวัง

“ถึงคราวท่านถามแล้ว” ฟอร์สกล่าวอย่างประหม่า

อักษรสีแดงบนกระจกเรียงตัวเป็นคำใหม่

“ในปีที่แล้ว เจ้าเคยฝันลามกบ้างไหม”

ฟู่ว…โชคยังดี…ฟอร์สตอบอย่างโล่งใจ

“เคย”

นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เธอไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่น่าละอาย

หลังจากนั้น หญิงสาวถามข้อถัดไป

“ท่านมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีครอบครองวัตถุดิบหลักของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์บ้างไหม?”

กระจกวิเศษ อาโรเดส สลายตัวอักษรสีแดงและสร้างอักษรสีเงินเรียงเป็นคำใหม่

“ตระกูลอับราฮัมยังคงถือครองสูตรโอสถ ‘จอมเวทท่องมิติ’ ซึ่งเป็นลำดับ สอง ของเส้นทางผู้ฝึกหัด รวมถึงสมบัติปิดผนึกที่เกี่ยวข้องอีกสองชิ้น…ชุมนุมแสงเหนือก็เช่นกัน”

หรือว่า…ดวงตาไคลน์พลันส่องประกายหลังจากพบความเป็นไปได้ใหม่

“อา…” ฟอร์สขมวดคิ้วเล็กน้อย “ถึงคราวท่านถาม”

บนผิวกระจกเงา อักษรสีเงินหายไปและถูกแทนที่ด้วยอักษรสีแดงเข้ม

“ตัวเอกในความฝันลามกของเจ้า นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครอีก”

ฟอร์สอ้าปากค้างด้วยใบหน้าแดงก่ำสุดขีด

…………………………