ทันใดนั้น แก้มของฟอร์สร้อนวูบวาบทันที ร่างกายแข็งทื่อ ไม่กล้าหันไปมองเพื่อนสนิทด้านข้าง
เธอเพิ่งตระหนักได้เมื่อสายว่าตนประเมินขีดจำกัดล่างของกระจกวิเศษต่ำไป!
หลังจากเม้มปากสักพัก ฟอร์สนึกทบทวนคำพูดของเดอะเวิร์ลก่อนจะเปล่งเสียง
“ขอเลือกรับโทษ”
เกิดเสียง ‘เปรี้ยง’ พร้อมกับสายฟ้าสีเงินที่ผ่าลงมายังกลางห้อง แต่มันกลับอันตรธานหายไปอย่างเงียบงันราวกับภาพลวงตา
บนผิวกระจก อักษรสีแดงเปลี่ยนกลับไปเป็นสีเงินในประโยคใหม่
“เกมถามตอบจบลงแล้ว ลาก่อน!”
โดยไม่รอให้ฟอร์สลืมตาหรือรอให้ซิลตอบสนอง แสงสว่างจากกระจกเลือนหายไป บรรยากาศสลัวภายในห้องถูกครอบงำด้วยแสงเทียน
“ไม่มีบทลงโทษหรือ?” ฟอร์สรอให้ผ่านไปสักพักก่อนจะลืมตาและมองไปทางซิลซึ่งเป็นสักขีพยาน
ซิลชี้ไปที่ศีรษะตัวเอง
“เคยมีสายฟ้าผ่าใส่เธอ แต่มันหายไปกลางทาง ตอนนี้กระจกวิเศษกลับไปแล้ว”
“…กระจกวิเศษแค่ล้อเล่น? ไม่น่าจะใช่…ฉันได้รับคำเตือนว่ากระจกวิเศษจะถามในสิ่งที่น่าละอายและมีบทลงโทษค่อนข้างหนัก…หรือว่ามิสเตอร์ฟูลช่วยปกป้อง?” ฟอร์สลูบแก้มขวาพลางคาดเดา
“เป็นไปได้” ซิลพยักหน้าเห็นพ้อง
ขณะฟอร์สกำลังโล่งใจ เธอพบว่าซิลแอบชำเลืองมาทางตน
“มีอะไร?” ฟอร์สถามลืมหายใจ
ซิลซักไซ้ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ใครคืออีกหนึ่งตัวเอกในความฝันลามกของเธอ?”
“…ฮะฮะ! ฝันนั้นผ่านมานานแล้ว ใครจะไปจำรายละเอียดได้ แถมความฝันมักพร่ามัวไม่ใช่หรือ” ฟอร์สฝืนยิ้ม
ซิลอืมในลำคอ
“ถ้าอย่างนั้น เมื่อครู่ทำไมเธอไม่ตอบไปตามตรง?”
“…ตื่นเต้น ฉันตื่นเต้นน่ะ” ฟอร์สเหล่ไปทางกระเป๋าเดินทางที่เก็บเสร็จแล้วและรีบพูด “พวกเราควรรีบย้ายบ้าน ฉันคิดถึงเตาผิงจะแย่แล้ว!”
เธอกล่าวพลางเดินไปยังสัมภาระ
ในวินาทีนี้ หญิงสาวพึงตระหนักว่าผลลัพธ์แทบไม่ต่างกันไม่ว่าตนจะตอบคำถามกระจกวิเศษหรือไม่
นี่คือ ‘ความตายทางสังคม’ ที่เกอร์มันสแปร์โรว์กล่าวถึง? อยากจะมุดหัวลงไปในดินจริงๆ ให้ตายสิ! ฟอร์สถอนหายใจพยายามเพื่อทำให้แก้มอันร้อนผ่าวกลับเป็นปรกติ
…
ภายในวังโบราณเหนือสายหมอกสีเทา
ไคลน์โยนคทาเทพสมุทรกลับเข้าไปในกองขยะพลางพ่นลมหายใจให้กับ ‘ท่าที’ ของอาโรเดส
ทั้งที่รู้ว่าเราเป็นคนฝากถาม แต่ยังกล้าตั้งคำถามกับตัวแทน…เมื่อเห็นเราหยุดฟ้าผ่า เจ้านั่นรีบเปลี่ยนท่าทีและเผ่นหนีไป…ตลกชะมัด…
แต่คำตอบของเจ้านั่นช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้เรา…ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับผู้ชี้นำปาฏิหาริย์สักหน่อย…
มีแนวโน้มสูงว่าศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองจะเกิดจากฝีมือพระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ และปัจจุบันก็น่าจะอยู่ในมืออาดัม…แม้อามุนด์กับพี่ชายจะเดินคนละเส้นทางโดยไม่ก้าวก่ายกัน และความสัมพันธ์ก็อาจไม่ดีนัก แต่เราก็ไม่เชื่อว่าอามุนด์จะไม่เคยเห็นศิลาเย้ยเทพ…ในกรณีนี้ อีกฝ่ายจะต้องทราบพิธีกรรมเลื่อนลำดับของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์เป็นอย่างดี และเดาออกว่าเราอยากช่วยให้ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เป็นอิสระจากดินแดนเทพทอดทิ้ง เมื่อถึงตอนนั้น เจ้านั่นไม่จำเป็นต้องเหนื่อยตามหาเรา แค่ดักรออยู่ที่วังราชาคนยักษ์ก็พอ…
เราไม่ควรทำในสิ่งที่ศัตรูคิด โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นเทพแห่งการหลอกลวงและกลั่นแกล้ง ไม่มีใครเดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายแบบใดบ้าง…หากการเข้าไปพัวพันของเราทำให้เมืองเงินพิสุทธิ์ที่ดำรงอยู่มาหลายพันปีสูญสิ้นหรือหมดหวัง นั่นจะขัดต่อความตั้งใจเดิมโดยสิ้นเชิง…
ปัญหาของจอมเวทท่องมิติก็คือ เราจะได้ยินเสียงเรียกของมิสเตอร์ประตู แถมยังถูกเพ่งเล็งและกัดกร่อนจากอวกาศมากกว่าลำดับสอง ของเส้นทางอื่น…แต่นั่นก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้…
เหนือสิ่งอื่นใด เรายังสงสัยว่าอาจต้องจ่ายค่า ‘คืนชีพ’ สองครั้งให้ปราสาทต้นกำเนิด…โชคดีที่ลำดับหนึ่ง ของเราจะต้องกลับไปยัง ‘บริวารเร้นลับ’ ตามเดิมอย่างมิอาจเลี่ยง เพราะมิสเตอร์ประตูปิดกั้นลำดับหนึ่ง ของเส้นทางผู้ฝึกหัดไว้เกือบทั้งหมด ท่านน่าจะครอบครอง ‘เอกลักษณ์’ และตะกอนพลังอีกสองชุด หรืออาจทั้งสามชุด…
เราไม่จำเป็นต้องย้ายไปยัง ‘จอมเวทท่องมิติ’ เสมอไป แต่การมีทางเลือกไว้ย่อมเป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อตัวเลือกเพิ่มขึ้น อามุนด์ก็ยิ่งขัดขวางได้ยากขึ้น นั่นคือวิธีเดียวที่จะกลายเป็นเทวทูตสำเร็จท่ามกลางการไล่ล่าจากราชาเทวทูต!
ใช่แล้ว เราต้องทำตัวจับปลาสองมือ ขณะเตรียมเลื่อนเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ ก็ต้องเตรียมเลื่อนเป็นจอมเวทท่องมิติไว้ด้วย…เมื่อถึงเวลาค่อยตัดสินใจตามหน้างาน…
ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์รู้สึกสดชื่นและจิตใจกระฉับกระเฉงอย่างบอกไม่ถูก รีบวางแผนการขั้นถัดไปทันที
ตอนนี้ยังไม่ควรรีบถามอาจารย์ของมิสเมจิกเชี่ยนเกี่ยวกับสูตรโอสถจอมเวทท่องมิติและสมบัติปิดผนึกที่สอดคล้องกัน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้ตระกูลอับราฮัมเกิดความหวาดระแวงและเข้าใจว่ามิสเมจิกเชี่ยนนับถือเทพมารหรือองค์กรลับชั่วร้าย…
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขา มีโอกาสสูงที่จะไม่ตอบกลับมาอีกเลย แต่จะเปลี่ยนตัวใหม่และย้ายบ้านเพื่อตัดขาดการเชื่อมต่อ…
ศีรษะของนักบุญโบทิสน่าจะเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมสำหรับพวกเขา…ไม่สนว่าตระกูลอับราฮัมจะมอบหนอนดวงดาวให้เราหรือไม่ แต่ปฏิบัติการล่าโบทิสก็ยังคงเป็นวาระสำคัญ…หวังว่ามิสจัสติสจะย่อยโอสถนักท่องฝันได้ทันเวลา หวังว่ามาดามเฮอร์มิสจะเตรียมความพร้อมได้ดีพอ และหวังว่าสองสาวอย่างมิสเมจิกเชี่ยนกับมิสจัดจ์เมนต์จะพัฒนาฝีมือก่อนถึงเวลานั้น…
ตามข้อมูลที่มิสเมจิกเชี่ยนรายงาน นักบุญเร้นลับ โบทิส คือคนทรยศของตระกูลอับราฮัม…นอกจากนั้นชุมนุมแสงเหนือยังถือครองสมบัติปิดผนึกระดับ ศูนย์ เส้นทางผู้ฝึกหัด…น่าสนใจมาก…บางทีเราอาจไม่จำเป็นต้องเรียกร้องสมบัติปิดผนึกจากตระกูลอับราฮัม แต่ได้สิ่งที่ต้องการครบถ้วนหลังจากสังหารโบทิส…อา…ต้องเตือนมาดามเฮอร์มิสว่าโบทิสอาจพกพาสมบัติปิดผนึกระดับ ศูนย์ ติดตัว…
หากสมบัติปิดผนึกระดับ ศูนย์ ไม่ได้อยู่ในมือนักบุญเร้นลับ หมายความว่าถ้าเราอยากช่วงชิง ก็ต้องจัดการกับ ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุสด้วยตัวเอง…ไม่ดีแน่ ลำพังสมบัติปิดผนึกระดับ ศูนย์ ก็น่ากลัวพออยู่แล้ว พวกมันคือต้นกำเนิดของภัยอันตราย…
ก่อนอื่นคงต้องรอการตอบสนองจากอาจารย์ของมิสเมจิกเชี่ยน พิจารณาว่าพวกเขาอ่อนไหวต่อคำขอร้องเกี่ยวกับหนอนดวงดาวหรือไม่…
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์รู้สึกขบขันเล็กน้อย เพราะด้วยเหตุผลบางประการ ตนและชุมนุมแสงเหนือดูเหมือนจะถูกกำหนดให้เป็นศัตรูกันตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดก็จะวกกลับมาปะทะกันเสมอ
เมื่อปฏิบัติการเริ่มขึ้น พวกชุมนุมแสงเหนือคงตะโกนกึกก้องภายในใจ
ทำไมถึงได้เป็นพวกแกอีกแล้ว!
หลังจากถอนหายใจ ไคลน์เสกเดอะเวิร์ล เกอร์มันสแปร์โรว์และตอบสนองคำวิงวอนของมิสเมจิกเชี่ยน
จากนั้นก็สวดวิงวอนอีกครั้งถึงมิสเตอร์ฟูล รบกวนให้พระองค์ถ่ายทอดคำพูดไปถึงเดนิส
…
บนเกาะแห่งหนึ่งในทะเลหมอก เดนิสที่กำลังรอให้ฝันทองคำมารับ ชำเลืองไปทางแอนเดอร์สันและกล่าวพลางยิ้ม
“ฉันจะอัญเชิญผู้ส่งสารของเกอร์มันสแปร์โรว์”
แอนเดอร์สันขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า
“นายคู่ควรที่จะได้ดื่มโอสถนักวางแผน”
“นั่นเพราะท่าทีของนายชัดเจนเกินไป…แม้แต่ฉันยังมองออกว่านายกลัวผู้ส่งสารตนนั้น” เดนิสกล่าวด้วยความภูมิใจ
แอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอ
“ทำไมนายถึงไม่คิดบ้างว่าฉันแสร้งทำเป็นกลัว? ก็แค่หาข้ออ้างปลีกตัวเพื่อไม่ให้ได้ยินและไม่ได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควร”
“…แม่เย็*! คิดว่าฉันจะเชื่อคำโกหกที่นายพึ่งคิดออกรึไง!” เดนิสเกือบจะหลงเชื่อ
แอนเดอร์สันผายมือพลางเดินไปทางประตู
“ในเมื่อนายรวบรวมวัตถุดิบของโอสถนักวางแผนครบแล้ว อย่าลืมเตือนเกอร์มันสแปร์โรว์เกี่ยวกับสูตรโอสถอัศวินเลือดเหล็กของฉัน”
เดนิสโบกไม้โบกมือเป็นเชิงรับรู้
ทันทีที่แอนเดอร์สันเดินออกจากห้องและปิดประตู เดนิสประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารเจ้าของสี่หัวทองตาแดง
เมื่อเห็นดวงตาทั้งแปดจ้องมองโดยพร้อมเพรียง หัวใจเดนิสแทบหยุดเต้น
มันฉีกยิ้มพลางยื่นเหรียญทองในมือ
“มาดาม…เกอร์มันสแปร์โรว์ฝากบอกว่าเขายังสบายดี ตอนนี้กำลังอยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้ง”
…เดี๋ยวนะ เมื่อครู่เราพูดว่าอะไร? ดินแดนเทพทอดทิ้ง? ในฐานะลูกเรือของพลเรือโทธารน้ำแข็ง เดนิสย่อมเข้าใจในศาสตร์เร้นลับประมาณหนึ่ง จึงไม่แปลกที่จะตกตะลึงด้วยดวงตาเบิกโพลง
“ตกลง…” ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์งับเหรียญทองพลางตอบห้วน
จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในความว่างเปล่าและอันตรธานหาย
หลังจากแจ้งข้อมูลให้เกอร์มันสแปร์โรว์ เดนิสได้รับสูตรโอสถนักรบเลือดเหล็กและคำสั่งใหม่
เตรียมอาหารท้องถิ่นและสังเวยให้เทพสมุทร คาเวทูว่า…ไม่ฟังดูแปลกไปหน่อยหรือ? เดนิสพึมพำแต่ไม่กล้าถาม
มันรีบเก็บกวาดแท่นบูชา จากนั้นก็ควานหาแผ่นหนังและเขียนวัตถุดิบเสริมกับพิธีกรรมของอัศวินเลือดเหล็กลงไป
ถัดมาก็เปิดประตูและยื่นกระดาษหนังในมือให้แอนเดอร์สัน
“จัดทีมที่มีสมาชิกไม่ต่ำกว่าสามสิบ…ยิ่งทีมแข็งแกร่งและสามัคคีกันมากเท่าไร ผลลัพธ์ของพิธีกรรมก็ยิ่งยอดเยี่ยม…” แอนเดอร์สันคลี่แผ่นหนังอ่านต่อหน้าเดนิสก่อนจะขมวดคิ้ว “ถ้าความสามัคคีของทีมคือการร่วมใจกันฆ่าฉัน นั่นจะเป็นพิธีกรรมที่ง่ายมาก…”
เปลวไฟลุกไหม้จากปลายนิ้วของมันและเผากระดาษโดยไม่รอให้เดนิสเย้ยหยัน
แอนเดอร์สันแสยะยิ้ม
“ฉันคงต้องกลับบ้านเกิดเพื่อมองหาโอกาส ที่นั่นกำลังถูกเฟเนพ็อตรุกราน คงไม่มีที่ใดเหมาะแก่การสร้างและฝึกทีมไปกว่าสนามรบ”
เว้นวรรคสักพัก มันจ้องเดนิสและกล่าวพลางยิ้ม
“ฉันเตรียมโจทย์ไว้ให้นายแล้ว อยู่ในห้องของฉัน…ลองทำพวกมันหลังจากกลายเป็นนักวางแผนแล้ว จะได้รู้ว่าสติปัญญาเพิ่มขึ้นบ้างไหม”
“…แม่เย็*! นายคิดจะหลอกให้ฉันอ่านหนังสือทุกเล่มในห้องใช่ไหม?” เดนิสเกือบหลวมตัว แต่เพียงไม่นานก็ฉุกคิดได้
ไม่ว่าสติปัญญาของมันจะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางแก้โจทย์ได้หากไม่อ่านหนังสือ!
“ใช่…คราวนี้นายใช้เวลาแค่สามวินาทีก่อนจะมองออก ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็…หึหึ…นายคงเชื่อโดยไม่ลังเล” แอนเดอร์สันกล่าวชมเชยพร้อมกับหันหลังกลับและเดินออกจากโรงแรมไปทันที
………………