บทที่ 560.1 อยากพูด แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เรือข้ามฟากลำหนึ่งมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ขุนเขากลางของราชวงศ์จูอิ๋งเดิม ระหว่างทางได้จอดพักที่ท่าเรือแห่งหนึ่งชื่อว่าจ้างอวิ๋น

ชายสองหญิงหนึ่งลงเรือมาอย่างเงียบเชียบ

เว่ยป้อยืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพชั้นบนสุดของเรือ มองส่งคนทั้งสามจากไป

หลังจากขยับเข้าใกล้ราชวงศ์จูอิ๋ง ก็เท่ากับออกมาจากภูเขาบ้านตัวเองแล้ว เข้ามาในเขตอิทธิพลของคนอื่น การรับสัมผัสที่มีต่อภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยป้อจึงลดลงไปมาก รอจนไปถึงขุนเขากลางแห่งใหม่ของต้าหลีก็มีแต่จะถูกกดข่มตามธรรมชาติ นี่ก็คือกฎเกณฑ์ที่มองไม่เห็นซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำจำเป็นต้องเคารพ เทพภูเขาก้าวลงน้ำ เทพวารีขึ้นเขา ก็มักจะถูกมัดมือมัดเท้าเสมอ ส่วนทวยเทพแห่งขุนเขาใหญ่องค์หนึ่งที่พอออกจากเขตดินแดนของตัวเองไปเยี่ยมเยือนซานจวินที่เป็นเพื่อนร่วมงานก็ยากจะหนีพ้นหลักการนี้เช่นกัน

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังคงเป็นปัญหาไม่มาก

ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาเว่ยป้อคือซานจวินห้าขอบเขตบนคนแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป ต่อให้ซานจวินแห่งขุนเขากลางที่ไม่ค่อยปฏิบัติตามหลักมารยาทพิธีการผู้นั้นจะมีขอบเขตเท่ากับหยกดิบ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของห้าขอบเขตบนที่แท้จริง

ครั้งนี้ออกมาจากอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ทั้งโดยส่วนรวมและโดยส่วนตัว เว่ยป้อล้วนมีคำอธิบายที่ฟังขึ้น ต่อให้ราชสำนักต้าหลีไม่ยินดีที่เห็นเขาทำเช่นนี้ แต่ก็ยังยอมที่จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง

คนแนะนำเว่ยป้อให้กับราชสำนักต้าหลีอย่างเป็นทางการ ก็คือสวี่รั่วจอมยุทธพเนจรสำนักโม่

ปีนั้นเว่ยป้อก็ออกจากภูเขาฉีตุนมาพร้อมกับสวี่รั่ว แล้วไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นด้วยกัน

จูเหลี่ยนที่เรือนกายงองุ้มไม่มีอะไรติดตัว

หลูป๋ายเซี่ยงที่เรือนกายสูงเพรียวพกดาบแคบหยุดหิมะ

ทางฝั่งของท่าเรือ พอลงจากเรือมาแล้ว หลิวจ้งรุ่นก็อดไม่ไหวถามจูเหลี่ยนที่เดินอยู่ข้างกายว่า “ท่านจู ตามหาตำหนักวารีและเรือมังกรนั้นไม่ยาก ตำหนักวารีแห่งนั้นยังพูดง่าย เพราะเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่เซียนบรรพกาลหล่อหลอมสมบูรณ์แล้ว ข้ารู้วิธีเปิดขุนเขาของสมบัติหนักตระกูลเซียนชิ้นนี้ ยามที่เก็บเอามา ตำหนักวารีแห่งนี้ก็จะมีขนาดเท่าแค่รถม้าคันหนึ่งเท่านั้น สามารถย้ายขึ้นไปบนเรือข้ามฟากได้ แต่เรือมังกรลำนั้นอยู่ในระดับหลอมเล็กมาโดยตลอด คิดอยากจะนำกลับไปเขตการปกครองหลงเฉวียน ก็ได้แต่ต้องผลาญเงินเทพเซียน เอาเรือมังกรมาทำเป็นเรือข้ามฟาก อาจจะเป็นการโอ้อวดตัวเกินไป”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร ทางฝั่งของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะมีคนที่มาช่วยคุ้มกันพวกเราตามหาสมบัติโดยเฉพาะ หลังจากนั้นพวกเราโดยสารเรือมังกรกลับภูเขาลั่วพั่วก็มีแต่จะราบรื่นไร้อุปสรรค”

หลิวจ้งรุ่นยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ท่านจูไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ หรือ?”

จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าเกาะหลิวคือเจ้าสำนักคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นเซียนดินโอสถทองที่ขี่เมฆทะยานหมอกได้ ข้าเป็นตาเฒ่าแก่ๆ คนหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าทำเรื่องบุ่มบ่าม”

หลิวจ้งรุ่นจึงคิดว่าคงได้แต่เดินหนึ่งก้าวดูกันไปหนึ่งก้าวแล้ว

ตำหนักวารีและเรือมังกรสองอย่างนี้เป็นโรคทางใจของหลิวจ้งรุ่นมาโดยตลอด

ไม่ว่าจะมอบให้ใครก็ล้วนถือเป็นความรู้ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ต่อให้มอบไปแล้ว ไม่ทันระวังมอบให้ผิดคน นั่นก็จะกลายเป็นจุดจบอนาถที่ทำให้เกาะจูไชอยู่อย่างไม่เป็นสุขไปอีกร้อยปี จะสามารถรักษาศาลบรรพจารย์ไว้ได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก

ก่อนที่จะทำการค้ากับภูเขาลั่วพั่ว เพื่อให้มีพื้นที่หยัดยืนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนได้ต่อโดยไม่ถูกสำนักเจินจิ้งควบรวมให้กลายเป็นเกาะใต้อาณัติ หลังจากหลิวจ้งรุ่นชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียดีแล้วก็ได้บอกกล่าวเรื่องตำหนักวารีแก่สำนักเจินจิ้ง เกาะจูไชอาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ไม่อยากก้มหัวก็จำต้องก้มหัวให้ หลิวจ้งรุ่นจึงถือเสียว่าจ่ายเงินฟาดเคราะห์ สำนักเจินจิ้งก็ไม่เสียแรงที่เป็นสำนักใหญ่เบื้องล่างสำนักกุยหยกที่เป็นผู้นำของใบถงทวีป ไม่ได้ทำเรื่องต่ำช้าอย่างเกิดจิตคิดร้ายฆ่าคนปิดปาก ยึดครองสมบัติล้ำค่าไว้เพียงคนเดียวจริงๆ เกาะจูไชไม่เพียงแต่รักษาศาลบรรพจารย์เอาไว้ได้ ยังสามารถอาศัยเรื่องนี้แลกเปลี่ยนป้ายสงบสุขปลอดภัยที่ทางกรมอาญาของต้าหลีเป็นผู้แจกจ่ายให้แก่ผู้ฝึกตนบนภูเขามาได้อีกชิ้นหนึ่ง นี่ก็คือสาเหตุที่หลิวจ้งรุ่นไม่ได้มาเยือนภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเองตั้งแต่ครั้งแรก เพียงแค่ส่งลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเกาะจูไชสองสามคนที่เฉินผิงอันค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตามาเท่านั้น

เพียงแต่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลังอยู่เหนือการคาดการณ์ของนาง แปลกประหลาดยากจะเดาได้ เพราะสำนักเจินจิ้งกลับละทิ้งโอกาสช่วงชิงตำหนักวารีแห่งนั้น ไม่เพียงเท่านี้ ป้ายปลอดภัยก็ไม่ได้ถูกเก็บไปจากเกาะจูไชด้วย ด้วยเรื่องนี้หลิวจ้งรุ่นยังไปเยือนเกาะกงหลิ่วอย่างกล้าๆ กลัวๆ มาครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ได้พบกับเจ้าสำนักเจียงที่เป็นดั่งมังกรเทพเห็นแต่หัวไม่เห็นหางผู้นั้น ได้พบแค่หลิวเหล่าเฉิงผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเจินจิ้ง หลิวเหล่าเฉิงบอกว่านี่คือประสงค์ของเจ้าสำนัก ให้หลิวจ้งรุ่นวางใจได้ ป้ายปลอดภัยแผ่นนั้นไม่ร้อนลวกมือ หลิวเหล่าเฉิงเอ่ยแค่สองสามคำก็ไล่หลิวจ้งรุ่นกลับมาได้แล้ว

ตอนที่ออกจากเกาะกงหลิ่ว วางใจ? หลิวจ้งรุ่นไม่วางใจเลยแม้แต่น้อย

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะจะยัดเยียดให้สำนักเจินจิ้งรับตำหนักวารีเอาไว้ก็ไม่ได้

ดังนั้นสุดท้ายแล้วหลิวจ้งรุ่นถึงได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียน เดินทางไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเอง เลือกภูเขาหลังอ๋าวเป็นที่ตั้งสำนัก และบอกความลับนี้แก่ภูเขาลั่วพั่ว หลิวจ้งรุ่นไม่ได้จงใจปิดบังเรื่องที่สำนักเจินจิ้งรู้ข่าวเรื่องตำหนักวารีและเรือมังกร ยังบอกถึงการตัดสินใจของสำนักเจินจิ้งด้วย ตอนนั้นจูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่คลี่ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ค่อนข้างประหลาด แล้วก็พูดว่าเจ้าเกาะหลิววางใจได้ อีกทั้งจูเหลี่ยนยังรับรองด้วยว่าต่อให้ภูเขาลั่วพั่วไม่ไปขุดหาสมบัติ อย่างน้อยก็ไม่มีทางแพร่งพรายข่าวนี้ให้คนนอกเด็ดขาด ไม่ถึงขั้นทำให้ผู้ฝึกตนเกาะจูไชที่มีสมบัติหนักติดกายชักนำภัยมาสู่ตัว

หลิวจ้งรุ่นยังคงไม่กล้าวางใจอยู่เช่นเดิม

และเวลานี้เมื่อได้มาเดินอยู่บนเส้นทางตามหาสมบัติของแคว้นบ้านเกิดอย่างแท้จริง ความรู้สึกนับน้อยนับพันก็ประดังประเดเข้าหาหลิวจ้งรุ่น หากไม่เป็นเพราะต้องการให้ตำหนักวารีและเรือมังกรเปิดเผยตัวบนโลกอีกครั้ง ชีวิตนี้หลิวจ้งรุ่นก็คงไม่มีทางกลับมาเหยียบสถานที่แห่งความเสียใจแห่งนี้

เกี่ยวกับการเก็บหรือละทิ้งตำหนักวารีและเรือมังกร หลิวจ้งรุ่นไม่ได้มีความลังเลอะไรมากนัก

ตำหนักวารีคือรากฐานในการหยัดยืนของสำนักหนึ่ง สามารถพูดได้ว่าเป็นถ้ำสถิตเทพเซียนตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง ศาลรวมบรรพจารย์ สถานที่ฝึกตนของเซียนดินและค่ายกลภูเขาสายน้ำ สามอย่างนี้มารวมอยู่ที่เดียวกัน หากนำไปวางไว้ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่ใกล้ชิดกับสายน้ำ ต่อให้เจ้าจะเป็นเซียนดินก็ยังต้องน้ำลายสออยากครอบครอง แล้วก็มากพอจะประคับประคองให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งยึดครองไว้เป็นพื้นที่ฝึกตน ดังนั้นตอนแรกที่สำนักเจินจิ้งไม่พูดพร่ำทำเพลงก็มอบป้ายสงบสุขปลอดภัยที่มูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่งให้กับหลิวจ้งรุ่นโดยตรง ก็ถือเป็นการแสดงความจริงใจอย่างหนึ่ง

ส่วนเรือมังกรลำมโหฬารที่แม้จะไม่ถึงขั้นข้ามทวีปได้ แต่ก็มากพอจะบรรทุกสินค้าปริมาณมหาศาลเดินทางไปกลับบนพื้นที่ของหนึ่งทวีปได้ สำหรับเกาะจูไชที่เป็นสำนักเล็กๆ แล้ว ถือเป็นซี่โครงไก่ แต่สำหรับภูเขาลั่วพั่วที่มีใจทะเยอทะยานแล้วกลับช่วยคลี่คลายปัญหาเร่งด่วนที่เป็นดั่งไฟไหม้ลามขนคิ้วได้

ในขณะที่หลิวจ้งรุ่นใจลอยไปไกลหมื่นลี้ หลูป๋ายเซี่ยงก็ใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธสื่อสารกับจูเหลี่ยนอย่างลับๆ หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “ต่อให้ได้เรือมังกรมาอย่างราบรื่น เจ้าก็ยังต้องวิ่งวุ่นไปมาอีกหลายที่ จะไม่ถ่วงการฝึกตนของเจ้าหรือ? กลายเป็นบุคคลที่เป็นดั่งหน้าตาของภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ยิ่งไม่อาจกลับไปเป็นคนคลั่งวรยุทธที่ทำตัวกำเริบเสิบสานไร้ความกริ่งเกรงอย่างในอดีตได้อีก ทุกวันจะไม่อึดอัดใจแย่หรือ?”

จูเหลี่ยนยิ้มตอบ “มีเรื่องให้ยุ่งวุ่นวายทุกวัน ข้าสบายใจนักล่ะ”

หลูป๋ายเซี่ยงกล่าว “หากเจ้าจูเหลี่ยนมีแผนการร้าย ขอแค่เผยพิรุธออกมา ต่อให้เฉินผิงอันจะยอมละเว้นเจ้า แต่ข้าก็จะฆ่าเจ้ากับมือตัวเองอยู่ดี”

จูเหลี่ยนเอ่ย “เจ้าไม่มีโอกาสเช่นนั้นหรอก”

หลูป๋ายเซี่ยงถาม “จะบอกว่าข้าไม่อาจฆ่าเจ้าได้ หรือจะบอกว่าเจ้ายอมอยู่บนภูเขาลั่วพั่วอย่างสงบแล้วจริงๆ?”

จูเหลี่ยนย้อนถาม “เจ้าลัทธิหลูคือวีรบุรุษผู้มากความสามารถ หลูป๋ายเซี่ยงในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว แต่ไหนแต่ไรมาสังหารคนอย่างเด็ดขาดเสมอ เหตุใดถึงกลายเป็นคนจู้จี้จุกจิกแบบนี้ได้เล่า?”

หลูป๋ายเซี่ยงไม่เอ่ยอะไรอีก

อยู่ในใต้หล้าแห่งนั้น หลูป๋ายเซี่ยงคือคนในอดีต จูเหลี่ยนคือคนรุ่นหลัง

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “มีเพียงนายน้อยของข้าที่เข้าใจข้าที่สุดจริงๆ ขนาดชุยตงซานยังเข้าใจข้าได้แค่ครึ่งเดียว ส่วนพวกเจ้าสามคนที่เป็นคนบ้านเดียวกัน ก็ยิ่งไม่เข้าใจอะไรเลย”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มรับ ฝ่ามือลูบด้ามดาบแคบเบาๆ

จูเหลี่ยนชำเลืองตามองความเคลื่อนไหวเล็กๆ นี้ของหลูป๋ายเซี่ยง “เชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้แม้แต่จะชักดาบออกจากฝักเจ้าก็ยังทำไม่ได้”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มตอบ “ไม่ค่อยเชื่อ”

จูเหลี่ยนเอ่ย “มีโอกาสแล้วข้าจะลองซ้อมมือเป็นเพื่อนเจ้าดีไหมล่ะ?”

หลูป๋ายเซี่ยงส่ายหน้า “เอาไว้ก่อนเถอะ ให้ผ่านไปอีกสองสามปีก่อนค่อยว่ากัน”

จูเหลี่ยนยิ้ม “นี่ข้าก็กลัวว่าเจ้าลัทธิหลูตัวคนเดียว ฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ห่างไปไกล (หมายถึงพื้นที่ที่ห่างไกลจากศูนย์กลางการปกครองในอดีต คนในพื้นที่มักจะไม่หวั่นเกรงอำนาจของผู้ปกครองที่แท้จริง) ไปอยู่ในพื้นที่กันดารแร้นแค้นจนชิน ใช้ชีวิตแต่ละวันสุขสบายเกินไป ย่อมง่ายที่จะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำน่ะสิ”

หลูป๋ายเซี่ยงหันหน้ามามองจูเหลี่ยน

จูเหลี่ยนหันมาสบตา “หลูป๋ายเซี่ยง จากพื้นที่มงคลดอกบัวที่แทบจะไม่มีผู้ฝึกตน มาถึงใต้หล้าไพศาลที่เทพเซียนภูตผีวิ่งกันให้ควั่กบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลายปีหลังที่ผ่านมานี้ เจ้าพกดาบติดตัวอยู่ตลอดเวลาเลยใช่ไหม? ทำไม? มีดาบอาคมอยู่ในมือ ใต้หล้าก็เป็นของข้าแล้วอย่างนั้นรึ? ทำไมเจ้าไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาด เลียนแบบสุยโย่วเปียนที่ไปฝึกตนหวังเป็นเซียนโดยตรงเลยเล่า แบบนั้นจะไม่ยิ่งดีกว่าหรือ”

หลูป๋ายเซี่ยงขมวดคิ้ว “เจ้าไปหลบอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ต้องระมัดระวังเรื่องการเข่นฆ่าอยู่ตลอดเวลาด้วยรึ? เจ้าจะมาเปรียบเทียบกับข้าได้อย่างไร?”

จูเหลี่ยนหลุดหัวเราะพรืด “ฝึกหมัดคือเรื่องในบ้านตัวเอง เจ้าอย่ามาถามข้า คำตอบ เอาแบบที่น่าฟังหรือไม่น่าฟัง เจ้าอยากฟังแบบไหน ข้าล้วนตอบได้ตามที่เจ้าต้องการ ส่วนความจริงเป็นเช่นไร เจ้าก็ต้องถามตัวเองแล้ว”

หลูป๋ายเซี่ยงถอนหายใจ “ค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่สักหน่อย”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “อยู่ในสถานที่เล็กๆ แห่งหนึ่ง คุณสมบัติดี โชควาสนาไม่เลว บางอย่างที่ไม่บริสุทธิ์ก็จะแสดงออกมาไม่ชัดเจน แต่พอมาถึงสถานที่ที่ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว พวกเราสี่คนในม้วนภาพ ก็เป็นเจ้าที่ข้าพอจะถูกชะตาอยู่บ้าง คำพูดเอาใจน่าฟังก็จะพูดให้น้อยลงหน่อย”

หลูป๋ายเซี่ยงพยักหน้ารับ ถือว่าฟังเข้าหูแล้ว

แม้หลิวจ้งรุ่นจะไม่รู้ว่าคนทั้งสองกำลังคุยกันเรื่องอะไร แต่ปราณสังหารเสี้ยวหนึ่งที่หลูป๋ายเซี่ยงแสดงออกมาเมื่อครู่นี้กลับทำให้เซียนดินโอสถทองอย่างนางเกิดหวาดหวั่นขึ้นมาได้

แล้วหลูป๋ายเซี่ยงเป็นใคร? ก็แค่ชื่อหนึ่งที่อยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น

อารมณ์ของหลิวจ้งรุ่นหม่นหมองเล็กน้อย เมื่อไหร่ที่เกาะจูไชจะกลายเป็นสำนักตระกูลเซียนที่สงบสุขมั่นคงได้อย่างแท้จริง? ทั้งไม่ต้องคอยดูสีหน้าคนอื่น แล้วก็ไม่ต้องเช่าภูเขาของผู้อื่น?

พาผู้สืบทอดทั้งหมดออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนด้วยกัน ทิ้งไว้เพียงศาลบรรพจารย์ที่เหลือเพียงโครงว่างเปล่า มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียน บุกเบิกภูเขาสร้างจวนอยู่บนภูเขาหลังอ๋าว เป็นทางเลือกที่ฉลาดจริงๆ หรือ?

ตอนนี้หลิวจ้งรุ่นไม่รู้คำตอบ

นางรู้แค่ว่าจูเหลี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงที่อยู่ห่างไปไม่ไกลคือปรมาจารย์วิถีวรยุทธอันดับหนึ่ง หากนำไปวางไว้ในราชวงศ์ใดๆ ในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปก็คือแขกผู้ทรงเกียรติที่จักรพรรดิอัครเสนาบดีล้วนไม่กล้าเพิกเฉย หมัดแข็งคือสาเหตุหนึ่ง ทว่ากุญแจสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามหลอมจิตได้เกี่ยวพันกับโชคชะตาบู๊ของแคว้นหนึ่งแล้ว เมื่อเทียบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำที่สร้างความมั่นคงให้แก่โชคชะตาในพื้นที่ปกครองแล้ว ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันแม้แต่น้อย ถึงขั้นยังมีประโยชน์มากกว่าด้วยซ้ำ

เพียงแต่ว่าจูเหลี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงสองคนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเท่าไรกันแน่ หลิวจ้งรุ่นไม่ค่อยแน่ใจนัก ส่วนข้อที่ว่าสองคนนี้ใครร้ายกาจกว่ากัน หลิวจ้งรุ่นก็ยิ่งไม่อาจรู้ได้ เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นพวกเขาลงมืออย่างแท้จริง

สำหรับความทรงจำที่มีต่อจูเหลี่ยน ส่วนใหญ่ก็คือภาพลักษณ์ของผู้ดูแลใหญ่บนภูเขาลั่วพั่ว ไม่ว่าพบใครก็มีรอยยิ้มส่งให้ หลายครั้งที่ไปมาหาสู่กัน นอกจากรับรองคนได้อย่างรัดกุมไร้ข้อบกพร่องและยังทำการค้าเก่งแล้ว อันที่จริงหลิวจ้งรุ่นก็ไม่ได้รู้จักเขาไปมากกว่านี้ ราวกับว่ายิ่งพบเจอกันบ่อยเท่าไร นางกลับยิ่งมองเขาไม่ออกเหมือนคนมองดอกไม้ในสายหมอกมากเท่านั้น

กลับเป็นหลูป๋ายเซี่ยงที่แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย พลังอำนาจไม่ธรรมดา หากไม่ใช่คนตาบอดก็ล้วนมองเห็น

หลิวจ้งรุ่นค้นพบว่าดูเหมือนภูเขาลั่วพั่วจะอำพรางความลับมากมายที่ไม่มีใครรู้เอาไว้ มีเพียงมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับพวกเขาถึงจะโผล่มาให้เห็นเรื่องแล้วเรื่องเล่า แล้วก็ล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้คนไม่อาจละสายตาได้ทั้งสิ้น

เว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีก็คือแขกประจำของภูเขาลั่วพั่ว ชายฉกรรจ์หลังค่อมที่สายตาล่อกแล่กไม่อยู่นิ่งคนนั้น ตอนอยู่กับเว่ยป้อกลับไม่มีความเคารพนับถือให้แม้แต่น้อย

เถ้าแก่แซ่สือของร้านยาสุ้ยในตรอกฉีหลงมีเนื้อหนังมังสาที่ประหลาด ราวกับว่ามีกลิ่นอายของวัตถุหยินอยู่เสี้ยวหนึ่ง ทำให้หลิวจ้งรุ่นมองตื้นลึกของตบะอีกฝ่ายไม่ออก

เฉินหรูชู เฉินหลิงจวิน โจวหมี่ลี่ ภูตทั้งสามตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กชายชุดเขียวที่ใกล้จะไปถึงคอขวดของขอบเขตประตูมังกรแล้ว หากมันเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตโอสถทองได้เมื่อไหร่ ปีศาจโอสถทองที่เป็นเผ่าพันธุ์เจียวหลงก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนโอสถทองทั่วไปสามารถทัดเทียมได้ สามารถมองเป็นก่อกำเนิดครึ่งตัวได้เลย แต่ดูจากท่าทางแล้ว เฉินหลิงจวินกลับเป็นคนที่ไม่ได้รับความใส่ใจมากที่สุดบนภูเขาลั่วพั่ว และดูเหมือนว่าตัวมันเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่ถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา หากไปอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ป่านนี้คงก่อกบฏไปนานแล้วกระมัง?

บางครั้งหลิวจ้งรุ่นก็คิดว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นั้นคงอยากจะเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว จะสร้างสำนักอักษรจงขึ้นมาบนภูเขาลั่วพั่วที่เดิมทีไร้แซ่ไร้นามอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนเลยกระมัง? คิดจะช่วงชิงอันดับสูงต่ำกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนกับอริยะหร่วนฉง?

คิดแบบนี้ออกจะเพ้อเจ้อไปหน่อยหรือไม่?

เพราะถึงอย่างไรบนภูเขาลั่วพั่วก็มีผู้ฝึกยุทธเยอะ มีผู้ฝึกตนน้อย แล้วก็มองไม่ออกด้วยว่าใครที่มีโอกาสจะเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินผู้แข็งแกร่งของห้าขอบเขตบน

หันกลับมามองสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่เป็นเพื่อนบ้านของภูเขาลั่วพั่ว บวกรวมกับลูกศิษย์ที่รับมา แม้ผู้ฝึกตนจะยังมีน้อยจนนับนิ้วได้ แต่หากไม่นับตัวของอริยะหร่วนฉงเอง ต่งกู่ก็ได้เป็นโอสถทองแล้ว ส่วนหร่วนซิ่วบุตรสาวโทนของหร่วนฉง เพราะหลิวจ้งรุ่นมาจากทะเลสาบซูเจี่ยน คืนวันนั้นนางจึงได้เห็นภาพปรากฎการณ์ประหลาดบนเกาะแห่งนั้นไกลๆ กับตาตัวเอง อีกทั้งยังมีป้ายสงบสุขปลอดภัยติดตัว จึงเคยได้ยินข่าวเล็กๆ ที่ค่อนข้างจะน่าเหลือเชื่อมาบ้าง บอกว่าหร่วนซิ่วกับเด็กหนุ่มชุดขาวที่ไม่รู้ที่มาคนหนึ่งเคยร่วมมือกันสังหารผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเฒ่าคนหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋ง เป็นข่าวที่ชวนให้ตะลึงพรึงเพริดอย่างแท้จริง

นอกจากนี้โอสถทองสองคนก็ยากจะอยู่ร่วมภูเขาลูกเดียวกันได้ ห่างไกลคือพันธมิตร อยู่ใกล้คือศัตรูคู่อาฆาต ก็คือกฎเกณฑ์บนภูเขาที่ไม่เคยเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

อาณาเขตของเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ต่อให้จะไม่ถือว่าเล็ก อีกทั้งปราณวิญญาณยังเปี่ยมล้น แต่กระนั้นก็ยังไม่มากพอจะประคับประคองตระกูลเซียนอักษรจงที่เจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วันพร้อมกันถึงสองแห่งได้

ทั้งๆ ที่จูเหลี่ยนไม่เคยมาเยือนท่าเรือตระกูลเซียนมาก่อน แต่กลับดูคุ้นเคยรู้เส้นทางเป็นอย่างดี เขานำทางหลิวจ้งรุ่นและหลูป๋ายเซี่ยงไป คนทั้งสามเพิ่งจะออกมาจากท่าเรือจ้างอวิ๋น หลิวจ้งรุ่นก็ได้เห็นทหารม้ากลุ่มหนึ่งที่จำนวนไม่มาก มีประมาณยี่สิบกว่าคนเท่านั้น

แต่กลับทำให้หลิวจ้งรุ่นขนพองสยองเกล้าได้ในเสี้ยววินาที

ม้าสามตัวที่เป็นผู้นำ คนกลางคือคนหนุ่มท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง สีหน้านิ่งขรึม ไม่ได้สวมเสื้อเกราะ ทว่าตรงเอวกลับพกดาบรบเล่มใหญ่ของต้าหลี

ม้าตัวที่อยู่ด้านข้างคือคุณชายที่สวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่ง ตรงเอวห้อยดาบคู่สั้นยาว กำลังนั่งหาวอยู่บนหลังม้า

อีกฝั่งหนึ่งคือชายฉกรรจ์เรือนกายกำยำ

หลิวจ้งรุ่นรู้สึกว่านอกจากแม่ทัพหลักที่อยู่ตรงกลางแล้ว อีกสองคนที่เหลือล้วนอันตรายอย่างมาก

ส่วนกองทหารม้าต้าหลีเหล่านั้น ในฐานะองค์หญิงสิ้นแคว้น หลิวจ้งรุ่นเคยออกว่าราชการอยู่หลังม่าน จัดการงานบ้านงานเรือน หรือแม้แต่ปกครองบ้านเมืองก็ยังเคยทำมาหลายปี แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง แค่มองก็รู้ถึงความแกร่งกล้าเชี่ยวชาญการรบของทหารม้ากลุ่มนั้นแล้ว

การที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีต่อสู้เก่งนั้น ไม่ใช่แค่พวกเขากล้าหาญยินดีกระโจนเข้าหาความตายบนสนามรบเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะบนตัวพวกเขามีกลิ่นอายของกฎเกณฑ์บางอย่างที่เป็นระเบียบแผ่ออกมาด้วย

ล้วนเป็นร่องรอยที่ราชครูชุยฉานขัดเกลามาอย่างละเอียดตั้งใจ