บทที่ 560.2 อยากพูด แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร

กระบี่จงมา! Sword of Coming

จูเหลี่ยนเงยหน้ามองชายฉกรรจ์ผิวดำเมี่ยมแล้วถูมือยิ้มกล่าว “นี่มันใต้เท้าเว่ยอู่เซวียนหลางของพวกเราไม่ใช่หรือ!”

ชายฉกรรจ์ที่ถูกจูเหลี่ยนเรียกว่าอู่เซวียนหลางไม่สะทกสะท้าน

คนหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกลางหันหน้ามายิ้มเอ่ย “พี่ใหญ่เว่ย ผู้อาวุโสท่านนี้คือ?”

ชายฉกรรจ์ตอบไปตามตรงอย่างจริงจัง “แซ่จูนามเหลี่ยน เป็นคนรู้จักของที่บ้านเกิด คือคนบ้าคลั่งวรยุทธคนหนึ่ง ตอนนี้มีขอบเขตเดินทางไกล ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียน”

คนหนุ่มรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

ปรมาจารย์ขอบเขตแปด?

เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน? ในท้องถิ่นของต้าหลีมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนใดบ้าง เขารู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใคร เพราะว่าคนส่วนใหญ่ล้วนเข้าร่วมสนามรบหมดแล้ว แทบไม่มีใครอยู่ต่อในยุทธภพ

ส่วนผู้ฝึกลมปราณขอบเขตแปดอะไรนั่น เขากลับไม่ค่อยเคยได้ยินมามากนัก

เขามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลแม่ทัพอันดับหนึ่งของต้าหลี ถือกำเนิดในตรอกฉือเอ๋อร์ของเมืองหลวงที่มีเมล็ดพันธ์แม่ทัพมากมายราวก้อนเมฆ แต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ ต่อผู้ฝึกตน มีเพียงผู้ฝึกยุทธเท่านั้นที่ไม่ว่าจะอยู่บนสนามรบหรืออยู่ในยุทธภพก็ล้วนเกิดความรู้สึกใกล้ชิดมาตั้งแต่เกิด

บรรพบุรุษของเขาล้วนใช้หนึ่งหมัดหนึ่งดาบต่อสู้เพื่อแผ่นดินและกิจการของราชวงศ์ต้าหลี เพื่อแซ่ตระกูลของตัวเอง

พอมาถึงตัวเขาเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เขาหลิวสวินเหม่ยไม่ได้ต่างจากสหายรักอย่างกวนอี้หรานที่ต่างก็ดูแคลนพวกมดปลวกที่ดีแต่เสวยสุขอยู่บนสมุดคุณความชอบของรุ่นบรรพบุรุษในตรอกอี้ฉือกลุ่มนั้นมากที่สุด ชื่อหลิวสวินเหม่ยนี้ของเขาก็เป็นนายท่านผู้เฒ่ากวนที่ตั้งให้ด้วยตัวเอง

ลูกหลานคนมีเงินในตรอกอี้ฉือและตรอกฉือเอ๋อร์จำนวนมาก หากไม่เอาถ่าน ส่งเสริมไม่ขึ้นจริงๆ ภายใต้การจัดการของคนรุ่นบิดา ก็จะไปหาค่าน้ำร้อนน้ำชาจากในที่ว่าการ ช่วยตระกูลเศรษฐีในพื้นที่สร้างสะพานสานความสัมพันธ์ หรือไม่ก็แนะนำเซียนซือบนภูเขาให้ไปรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานในตระกูลที่สนิทสนมกัน ตลอดทั้งปีคอยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ไม่มีวันจบสิ้น อย่าเห็นว่าตอนอยู่ในวงการขุนนาง อยู่ในงานเลี้ยงน้อยใหญ่ คนกลุ่มนี้ล้วนเป็นนายท่านใหญ่กันทุกคน สาวใช้ข้างกายจำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกตนตระกูลเซียน องค์รักษ์ผู้ติดตามก็จำเป็นต้องเป็นเทพเซียนบนภูเขา แต่ลองให้พวกเขาไปที่ถนนฉือเอ๋อร์ดูสิ? มีใครบ้างที่ไม่หดคอ พูดจาเสียงแผ่วเบา?

หลิวสวินเหม่ยพลิกตัวลงจากหลังม้า กุมหมัดคารวะจูเหลี่ยนแล้วยิ้มกล่าวว่า “หลิวสวินเหม่ยคารวะผู้อาวุโสจู!”

จูเหลี่ยนรีบกุมหมัดคารวะกลับคืน หัวเราะร่าเอ่ยว่า “แม่ทัพหลิวอายุน้อยมีความสามารถ ยามจุดธูปไหว้บรรพบุรุษในศาลบรรพชนย่อมต้องมีความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้นแน่นอน”

หลิวสวินเหม่ยหัวเราะร่าทันใด ไม่ได้รู้สึกสักนิดเลยว่าอีกฝ่ายเอาเรื่องควันธูปของบรรพบุรุษมาพูดแล้วจะเป็นการเสียมารยาทตรงไหน

แม่ทัพหลักลงจากหลังม้า เว่ยเซี่ยนจึงลงตามมา ทหารกล้าคนอื่นๆ ก็พากันลงจากหลังม้าด้วย

มีเพียงมือกระบี่หนุ่มชุดดำนัยน์ตาหงส์คนนั้นที่ยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าต่อ เขาพยักหน้าจุ๊ปากพูด “เป็นขอบเขตทะยานลมที่ร้ายกาจมากแล้ว เว่ยเซี่ยน บ้านเกิดของเจ้ามีคนมีความสามารถเยอะจริงๆ ข้อนี้เหมือนตรอกหนีผิงบ้านพวกเรา”

ผู้ฝึกกระบี่เฉาจวิ้น

เฉาจวิ้นคือผู้ฝึกตนที่เกิดและเติบโตมาในทักษินาตยทวีป แต่เฉาซีผู้เป็นบรรพบุรุษกลับมีชาติกำเนิดมาจากตรอกหนีผิงของถ้ำสวรรค์หลีจู

หลูป๋ายเซี่ยงที่เดินอยู่ด้านหลังจูเหลี่ยนและหลิวจ้งรุ่นมาตลอด เวลานี้เดินมายืนอยู่เคียงบ่ากับจูเหลี่ยน

เว่ยเซี่ยนผงกศีรษะให้หลูป๋ายเซี่ยง หลูป๋ายเซี่ยงคลี่ยิ้มพยักหน้าตอบรับ

หลังจากที่เว่ยเซี่ยนจากชุยตงซานมาเข้าร่วมกองทัพของต้าหลี ก็ได้กลายเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพม้าเหล็กต้าหลีคนหนึ่ง อาศัยการเข่นฆ่าอันตรายที่จริงแท้แน่นอน ตอนนี้จึงรับหน้าที่เป็นอู่จ่าง (หัวหน้าของกองทหารที่มีกันห้าคน) ชั่วคราว รอให้เอกสารแต่งตั้งของกรมกลาโหมส่งมาถึง เว่ยเซี่ยนที่ได้รับตำแหน่งอู่เซวียนหลางก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นเปียวจ่าง แน่นอนว่าหากเว่ยเซี่ยนยินดีนำทัพออกรบด้วยตัวเอง ก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพระดับหกชั้นเอก มีค่ายเป็นของตัวเอง ปกครองทหารม้าพันกว่านายได้ตามกฎ

อู่จ่างของต้าหลีนี้น่าจะเป็นอู่จ่างที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้าไพศาล เพราะเมื่อพบเจอกับแม่ทัพทุกคนที่ระดับขั้นต่ำกว่าแม่ทัพระดับสามชั้นโทผู้มีอำนาจที่แท้จริงลงไป ก็ไม่จำเป็นต้องคารวะ หากมีอารมณ์แค่กุมหมัดก็พอ หากไม่ยินดี จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นก็ยังได้

ตอนนี้เว่ยเซี่ยนอยู่ในลำดับที่หกของตำแหน่งอู่ซ่านสิบสองอันดับของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี อู่เซวียนหลางที่มีอักษรอู่ (บู๊) นำหน้านี้ อู่ซ่านห้าคนแรกโดยทั่วไปแล้วจะเป็นแม่ทัพบู๊ผู้มีคุณูปการผลงานการสู้รบที่ห้าวหาญบนสนามรบ ราชสำนักต้าหลีที่มีสายบู๊เป็นรากฐานของบ้านเมือง แต่ไหนแต่ไรมาตำแหน่งอู่ซ่านอันดับหนึ่งก็คือตำแหน่งนายพลเอกเสาค้ำยันแคว้น เพียงแต่ว่ายศพลเอกค้ำยันแคว้นที่ได้รับความเคารพเลื่อมใสอย่างถึงที่สุดนี้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะมอบให้แค่ขุนนางสายบู๊อย่างเดียวเท่านั้น

เฉาจวิ้นคือผู้บัญชาที่อยู่เหนือหัวเว่ยเซี่ยนมาโดยตลอด อาศัยคุณความชอบทางการทหารคอยดูแลผู้ฝึกตนติดตามกองทัพทั้งหมดในกองทัพม้าเหล็กกองหนึ่งของต้าหลีที่มีทหารพันนาย แม้ว่าเว่ยเซี่ยนจะเป็นแค่อู่จ่าง แต่กลับมีหน้าที่คล้ายกับผู้ช่วยของเฉาจวิ้น ตามคำบอกของชายขี้เกียจอย่างเฉาจวิ้นผู้นี้ หากไม่ต้องใช้สมองได้เขาก็จะไม่ใช้ ดังนั้นเรื่องยุ่งยากวุ่นวายอย่างการโยกย้ายหรือส่งกำลังทหาร จึงชอบโยนไปให้กับเว่ยเซี่ยนที่เขาไม่รู้ที่มาที่ไปผู้นี้ เว่ยเซี่ยนบอกว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหาร แต่เขากลับเหมือนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมากกว่า แรกเริ่มยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยผู้คนรู้สึกว่าไอ้หมอนี่จะต้องเป็นพวกที่ปรึกษาที่นายท่านใหญ่ในที่ว่าการกรมกลาโหมบางคนเลี้ยงเอาไว้มากกว่า พอเห็นว่าศึกใหญ่ปิดฉากลงแล้วก็เลยทำหน้าหนามาขอคุณความชอบทางการทหาร เพียงแต่ว่าพอผ่านการเข่นฆ่ากันไปหลายครั้ง ก็ไม่มีถ้อยคำซุบซิบนินทาอะไรอีก เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่กับเว่ยเซี่ยน เดิมทีควรจะรบตายไปแล้ว แต่กลับมีชีวิตรอดกันทุกคน

กองทัพม้าเหล็กต้าหลีได้เตรียมม้ามาไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังพื้นที่ซ่อนสมบัติด้วยกัน อยู่ห่างจากท่าเรือจ้างอวิ๋นไม่ไกลนัก มีระยะทางสองร้อยกว่าลี้ ตำหนักวารีและเรือมังกรซ่อนอยู่ใต้แม่น้ำสายหนึ่ง เส้นทางลับนั้นถูกอำพรางไว้อย่างลึกลับ มีเพียงหลิวจ้งรุ่นเท่านั้นที่ได้ครอบครองวิธีทำลายตราผนึกภูเขาสายน้ำมากมาย ไม่อย่างนั้นต่อให้หาคลังสมบัติเจอแล้ว เว้นเสียแต่ว่าทุบทำลายชะตาน้ำรากฐานภูเขาจนแหลกลาญ หาไม่แล้วก็อย่าหวังว่าจะได้เข้าไปในพื้นที่ลับ แต่หากทำเช่นนี้จะไปแตะต้องกลไก ทำให้ตำหนักวารีและเรือมังกรถูกทำลายตามไปด้วย

เมื่อหลิวจ้งรุ่นรู้ว่าแม่ทัพของกองทหารม้าหนุ่มอย่างหลิวสวินเหม่ยอายุไม่ถึงสามสิบปี แต่กลับเป็นแม่ทัพบู๊ระดับสี่ชั้นเอกของต้าหลี ก็ยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม

ด้านหนึ่งตะลึงที่คนผู้นี้ก้าวเดินไปบนเส้นทางอนาคตได้อย่างราบรื่น การเลื่อนขั้นของแม่ทำบู๊ต้าหลีจำเป็นต้องมีคุณความชอบทางการทหารเป็นพื้นฐาน นี่คือกฎเหล็ก ตระกูลเมล็ดพันธ์แม่ทัพที่มีร่มเงาใบบุญของบรรพบุรุษปกป้องคุ้มกาย บางทีจุดเริ่มต้นอาจจะสูงสักหน่อย แต่ก็มีจำนวนน้อยมาก นอกจากนี้อีกด้านหนึ่งก็ตะลึงกับความสัมพันธ์ควันธูปในวงการขุนนางของภูเขาลั่วพั่ว คนที่ออกหน้าคือแม่ทัพบู๊หลิวสวินเหม่ย ถ้าอย่างนั้นคนที่พยักหน้าอนุญาตเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นแม่ทัพใหญ่ที่มีอำนาจสูงอย่างแท้จริงคนหนึ่งแน่นอน ต่อให้ไม่ใช่เฉาผิงหรือซูเกาซานที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตผู้ตรวจตราแล้ว ก็น่าจะเป็นแม่ทัพบู๊ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่อยู่แค่ใต้คนทั้งสองเท่านั้น

อันที่จริงไม่ใช่แค่หลิวจ้งรุ่นเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ แม้แต่ตัวหลิวสวินเหม่ยเองก็ยังสับสนอยู่เหมือนกัน ครั้งนี้ให้เขาเป็นผู้นำขบวนกองทหารม้า คือประสงค์ที่คนสนิทคนหนึ่งของแม่ทัพใหญ่ผิงเป็นผู้ถ่ายทอดมาเอง ในกองทหารม้ากองนี้ยังมีสายลับใหญ่ของศาลาคลื่นมรกตอีกสองคนติดตามมาตรวจตรากองทัพด้วย ดูจากท่าทางแล้วคงไม่ได้มาจับตามองว่าสามคนของฝ่ายตรงข้ามเคารพกฎเกณฑ์หรือไม่ แต่มาจับตามองว่าเขาหลิวสวินเหม่ยจะทำให้อะไรให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนหรือไม่

นี่ชวนให้ขบคิดอย่างมาก หรือว่าเฉาผิงทูตผู้ตรวจตราคนใหม่มีวิธีการโดดเด่นไม่เหมือนใคร คิดจะร่วมมือกับหัวหน้าใหญ่บางคนของศาลาคลื่นมรกตฮุบเอาสมบัติเข้ากระเป๋าตัวเอง? จากนั้นแม่ทัพใหญ่เฉาก็เลือกที่จะหลบอยู่เบื้องหลัง แล้วส่งคนสนิทมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง? หากเขาใจกล้าแบบนี้จริงๆ ก็ไม่ควรจะเปลี่ยนเขาหลิวสวินเหม่ยไปเป็นแม่ทัพบู๊ใต้บังคับบัญชาคนอื่นที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อเขาหรอกหรือ? หากหลิวสวินเหม่ยรู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดต่อกฎกองทัพต้าหลี เขาย่อมต้องรายงานไปยังราชสำนักแน่นอน ต่อให้จะถูกเฉาผิงแอบมาฆ่าปิดปากอย่างลับๆ แต่เขาจะเก็บกวาดเรื่องเละเทะที่เหลืออยู่ได้อย่างไร? ตระกูลหลิวบนถนนฉือเอ๋อร์ไม่ใช่ตระกูลที่เขาเฉาผิงจะจัดการได้ตามใจชอบ ประเด็นสำคัญคือการทำเช่นนี้เป็นการทำลายกฎ ตลอดร้อยปีที่ผ่านมาขุนนางบุ๋นบู๊ของต้าหลี ไม่ว่าขนบธรรมเนียมประจำตระกูล วิธีการ และนิสัยเป็นเช่นไร ถึงอย่างไรก็ล้วนเคยชินกับการรักษากฎกับเรื่องใหญ่ๆ

หากถูกราชสำนักซักไซ้เอาความผิด ก็จะสังหารแม่ทัพคนสนิทเพื่อให้รับความผิดแทนอย่างนั้นหรือ? ไม่เหมือนนิสัยของแม่ทัพใหญ่เฉาเลยนี่นา

แต่หากจะบอกว่ามีคนที่มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่จนสามารถทำให้เฉาผิงรับฟังคำสั่ง ให้ทูตผู้ตรวจตราซึ่งระดับเท่าเทียมกับนายพลเอกของราชสำนักลงมือวางแผนด้วยตัวเอง หลิวสวินเหม่ยก็ยิ่งไม่กล้าเชื่อ ถึงอย่างไรก็คงไม่ใช่ความต้องการของใต้เท้าราชครูหรอกกระมัง?

เพื่อสมบัติลับแห่งขุนเขาสายน้ำที่มีคนนำทางไปตามหา ต้องทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ด้วยหรือ?

กองทัพม้าเหล็กต้าหลีมุ่งหน้าลงใต้ไปตลอดทาง วัตถุบนภูเขาที่เก็บรวบรวมมาได้มีมากมายจนกองพะเนินเป็นภูเขา ศาลภูเขาสายน้ำที่ถูกสั่งห้ามหรือถูกทุบทิ้งก็มีมากหลายพันแห่ง ซึ่งล้วนดำเนินงานไปตามกฎที่ต้าหลีตั้งไว้ทั้งสิ้น

แต่เรื่องครั้งนี้กลับไม่ใช่?

หลิวสวินเหม่ยรู้สึกสงสัยใคร่รู้อยู่เต็มหัวใจ

อีกทั้งยังหวังว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่รอดจนได้รู้คำตอบนี้

หลิวสวินเหม่ยขี่ม้าเคียงไปกับหลิวจ้งรุ่นเพื่อปรึกษากันเรื่องเส้นทาง

เว่ยเซี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงตามมาด้านหลัง พูดคุยเรื่องในอดีต

ในบรรดาคนทั้งสี่ของม้วนภาพ ภายนอกหลูป๋ายเซี่ยงถือว่าเป็นคนที่อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ง่ายที่สุด เพราะไม่ว่ากับใครก็ล้วนพูดคุยด้วยได้

คนที่เหลืออีกสามคนแทบจะคุยกันไม่รู้เรื่อง

ฝ่ายจูเหลี่ยนก็ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหนถึงได้ขี่ม้ารั้งอยู่ท้ายขบวนร่วมกับเฉาจวิ้น คนทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอ เรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คุยกันได้หมด แน่นอนว่าบุรุษตัวโตๆ สองคน หากไม่คุยเรื่องสตรีให้มากหน่อยคงไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร

ไม่ว่าเจ้าเฉาจวิ้นจะพูดเรื่องอะไร หากถ้อยคำที่ข้าจูเหลี่ยนตอบคำถามไม่แทงเข้าไปในใจของเจ้า ก็ถือว่าฝีมือของข้าผู้เป็นพ่อครัวเฒ่าไม่เลิศล้ำพอ ถึงได้ทำกับข้าวไม่ถูกปากคนกิน

เขาพูดจนเฉาจวิ้นดวงตาเป็นประกาย อยากจะออกจากกองทัพไปเป็นผู้ถวายงานที่ภูเขาลั่วพั่วซะเสียเดี๋ยวนี้

……

หลี่ซีเซิ่งพาชุยซื่อผู้เป็นเด็กรับใช้ออกจากยอดเขาสิงโตมาแล้วก็ย้อนกลับไปที่เมืองแห่งหนึ่งของแคว้นชิงเฮา แคว้นชิงเฮาคือแคว้นเล็กที่อยู่ห่างไกลของอุตรกุรุทวีป แต่ว่าไม่ใช่แคว้นใต้อาณัติของแคว้นใหญ่อะไร

ในเมืองแห่งนั้น หลี่ซีเซิ่งซื้อเรือนเล็กหลังหนึ่งในสถานที่ที่ชื่อว่าถนนถ้ำเซียน ฝั่งตรงข้ามคือบ้านของตระกูลแซ่เฉิน เป็นครอบครัวที่พอจะมีกิน ไม่ถือว่าเป็นตระกูลสูงร่ำรวยอะไรของเมืองหลวง มีคนวัยเดียวกันกับหลี่ซีเซิ่ง ในชื่อมีอักษรว่าเป่าอยู่พอดี เขาชื่อว่าเฉินเป่าโจว คือปัญญาชนว่างงานที่ไม่ได้สอบติดเคอจวี่มียศมีตำแหน่งอะไร ฝีมือด้านการเล่นพิณ หมากล้อม เขียนพู่กันและวาดภาพล้วนไม่ธรรมดา หลี่ซีเซิ่งมักจะออกเดินทางไปท่องเที่ยวพร้อมกับคนผู้นี้เป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้เดินทางไปไกลมากนัก

ก่อนหน้านี้จากแจกันสมบัติทวีปมาถึงอุตรกุรุทวีป หลี่ซีเซ่งเดินทางขึ้นเหนือมาตลอดทาง จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่นี่ และยังอาศัยความสัมพันธ์บางอย่างจนได้งานตำแหน่งค่อนข้างต่ำในที่ว่าการของหน่วยการศึกษาในเมือง ก่อนจะไปที่สำนักชิงเหลียง ทุกวันหลี่ซีเซิ่งจะต้องเดินผ่านข้างซุ้มหินประตูหน้าที่ว่าการที่เขียนคำว่า ‘เปิดฟ้าชะตาบุ๋น’ ที่ว่าการเป็นเรือนสิบสองชั้น นับว่าไม่เล็กแล้ว

ใต้เท้าเซวี๋ยเจิ้ง (ขุนนางที่ดูแลเรื่องการศึกษาและทำหน้าที่เป็นผู้คุมสอบ) ชื่นชอบหลี่ซีเซิ่งมาก ด้วยรู้สึกว่าคนหนุ่มจากต่างถิ่นผู้นี้มีความรู้ไม่ธรรมดา แน่นอนว่าใต้เท้าเซวี๋ยเจิ้งเป็นขุนนางมือสะอาดที่ขึ้นชื่อว่าชายแขนเสื้อสองข้างมีลมเย็น สามารถเปลี่ยนจากที่ว่าการน้ำใสเลื่อนขั้นสู่จุดศูนย์กลางการปกครองของราชสำนัก รับหน้าที่เป็นรองเจ้ากรมพิธีการได้ แน่นอนว่าเขายังต้องมี ‘ความรู้’ อย่างอื่นเพิ่มเติมด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาผลัดชนจอกดื่มสุราดับทุกข์กับหลี่ซีเซิ่ง หลี่ซีเซิ่งจึงแอบทิ้ง ‘ความรู้’ เหล่านั้นเอาไว้ให้ ส่วนใต้เท้าเซวี๋ยเจิ้งก็แอบเก็บเอาไป

วันต่อมาหลี่ซีเซิ่งก็กลายมาเป็นเสมียนคนหนึ่งของที่ว่าการหน่วยการศึกษา

แรกเริ่มชุยซื่อยังรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางหัว เหตุใดอาจารย์ที่สง่างามมีคุณธรรมของตนถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ เหตุใดบัณฑิตถึงได้มีการกระทำราวกับชนชั้นตลาดล่างเช่นนี้?

หลี่ซีเซิ่งไม่ได้อธิบายอะไรให้ชุยซื่อฟัง

ย้อนกลับมาในเมืองครั้งนี้ ที่ว่าการของหน่วยการศึกษาแห่งนั้นไม่มีตำแหน่งของหลี่ซีเซิ่งอยู่แล้ว พวกเขาหาข้ออ้างง่ายๆ ก็สามารถลบตำแหน่งเสมียนของหลี่ซีเซิ่งไปได้แล้ว

หลี่ซีเซิ่งเองก็ไม่ได้สนใจ

ระหว่างที่เดินทางมาชุยซื่อถามว่าครั้งนี้อาจารย์จะมาอยู่ที่แคว้นชิงเฮานานแค่ไหน หลี่ซีเซิ่งตอบว่านานมาก อย่างน้อยก็สามสิบสี่สิบปี

แรกเริ่มชุยซื่อยังใจไม่ดี กลัวว่าจะเป็นหลายร้อยปี แต่พอได้ยินว่าแค่เวลาสั้นๆ สามสิบสี่สิบปี เขาก็โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก

เพราะถึงอย่างไรเขากับอาจารย์ก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาด้านล่างภูเขาอีกแล้ว

ส่วนตัวของชุยซื่อเองนั้น พอคิดถึงประวัติความเป็นมาของตนก็มักจะมีความกลัดกลุ้มที่ไม่ว่าปัดเป่าอย่างไรก็ไม่จางหาย เพียงแต่ว่าทุกวันต้องกลัดกลุ้มอยู่กับเรื่องนี้ เด็กหนุ่มก็ไม่คิดกลัดกลุ้มเพิ่มอีก เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องกลัดกลุ้มอยู่แล้ว

วันนี้หลี่ซีเซิ่งคลี่ม้วนอักษรภาพออกอีกครั้งเพื่อดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ

ชุยซื่อรู้ถึงความเคยชินของอาจารย์ตัวเองดี จึงจุดธูปไว้ด้านข้างนานแล้ว อันที่จริงหลี่ซีเซิ่งไม่ได้มีรสนิยมบ้านๆ เช่นนี้ เพียงแต่ชุยซื่อชอบทำ เขาก็เลยไม่ห้ามปราม

บนม้วนภาพวาดคืออาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่กำลังนั่งสอนตำรา อาจารย์ผู้เฒ่าคือปราชญ์ของของสำนักศึกษาอวี๋ฝู ครั้งแรกๆ ที่มองภาพอักษร ชุยซื่อยังฟังอย่างตั้งใจ ภายหลังรู้สึกว่าน่าเบื่อหน่าย เพราะเรื่องที่เขาพูดถึงเป็นเรื่องโบราณคร่ำครึ ทุกครั้งที่ถ่ายทอดความรู้ก็อธิบายแค่หลักการเหตุผลข้อเดียว จากนั้นก็พลิกกลับไปกลับมา อ้อมไปอ้อมมา สรุปก็คือพูดถึงหลักการเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ แต่ละอย่างของหลักการเหตุผลใหญ่ข้อนี้แค่นั้นเอง ชุยซื่อรู้สึกว่าจืดชืดไร้ความน่าสนใจอย่างยิ่ง หลักการเหตุผลพวกนี้ แค่เป็นคนที่เคยอ่านตำรามาบ้าง ใครเล่าจะไม่เข้าใจ? จำเป็นต้องให้อาจารย์ผู้เฒ่าอธิบายละเอียดยิบแบบนี้ด้วยหรือ?

มิน่าเล่าภายหลังตอนที่อาจารย์พาเขาไปเที่ยวที่สำนักศึกษาอวี๋ฝู ถึงได้รู้ว่าอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ถูกคนหัวเราะเยาะว่าเป็นหนอนหนังสือแก่ที่พยามยามเก็บหาแต่ถ้อยคำสำนวนที่ไพเราะ อาจารย์ผู้เฒ่ายังถูกมองว่าเป็นนักปราชญ์ที่ไม่มีความรู้ที่แท้จริงในสำนักศึกษาอีกด้วย ภายหลังในด้านการถ่ายทอดความรู้ พวกลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่มาขอศึกษาต่อในสำนักศึกษาก็ทนกันไม่ไหว อาจารย์ผู้เฒ่าจึงถูกทางสำนักศึกษามอบหมายงานนี้มาให้ นั่นคือให้รับผิดชอบดูแลบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ช่วยอบรมสั่งสอนผู้ฝึกตนบนภูเขา ไม่เพียงแค่สำนักศึกษาเท่านั้นที่รู้ว่านี่เป็นงานที่ให้ทำแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น คาดว่าแม้แต่ตัวอาจารย์ผู้เฒ่าเองก็คงรู้ดีว่าไม่มีทางมีใครมาฟังเขาพูดจาไร้สาระ แต่กระนั้นเขาก็ยังอธิบายมาเป็นเวลานานถึงสามสิบปี อาจารย์ผู้เฒ่ามีความสุขกับความสงบที่ตัวเองได้รับอยู่ไม่น้อย บางครั้งยังเอาตำรา บทประพันธ์ เทียบตัวอักษรที่ตัวเองชอบมาแล้วคัดเลือกประโยคหนึ่งในนั้นมาสอดแทรกเข้าไปในคำสอนตามอารมณ์ของตัวเองด้วย

ชุยซื่อได้ยินเรื่องราวเก่าแก่เป็นกระบุงโกยของอาจารย์ผู้เฒ่าจากบนถนนใหญ่ของสำนักศึกษาอวี๋ฝูที่เต็มไปด้วยร้านหนังสือ ว่ากันว่าตอนนั้นการที่เขาได้รับยศนักปราชญ์ ก็เพราะโชคช่วยล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สักเท่าไร แรกเริ่มยังพอมีคนเฉลียวฉลาดจากฝ่ายต่างๆ มาผูกมิตรเป็นสหายร่วมประพันธ์บทกลอนกับอาจารย์ผู้เฒ่าที่ตอนนั้นยังไม่แก่เฒ่า วงการนักประพันธ์ของแต่ละแคว้น สำนักศึกษาใหญ่ของแต่ละพื้นที่ต่างก็เชื้อเชิญให้คนผู้นี้ไปถ่ายทอดวิชาความรู้กันอย่างกระตือรือร้น ถึงท้ายที่สุดแม้แต่วงการขุนนางที่ชอบประจบสอพลอผู้ที่ยังไม่มีอำนาจก็ยังหมดความสนใจ แรกเริ่มเทียบตัวอักษร ลายมือบนหน้าพัด กลอนคู่ที่มาจากลายมือของคนผู้นี้ยังสามารถขายได้หลายพันตำลึง ภายหลังกลายเป็นไม่กี่ร้อยตำลึง ไม่ถึงร้อยตำลึง จนมาถึงวันนี้ อย่าว่าแต่สิบตำลึงก็ยังไม่มีใครซื้อเลย ยกให้เปล่าๆ ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีคนยินดีรับไว้

แต่ชุยซื่อกลับสังเกตเห็นว่าอาจารย์ของตนเข้าฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ทุกครั้งไม่มีขาด ต่อให้เป็นช่วงเวลาระหว่างที่สอนหนังสือให้กับลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อเก้าคนของเจ้าสำนักเฮ้อแห่งสำนักชิงเหลียง ก็ยังจะคอยมองดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำอยู่เสมอ