บทที่ 1046 ช้าก่อน เจ้าไม่มีค่ามากพอ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,046 ช้าก่อน เจ้าไม่มีค่ามากพอ

บัดนี้ สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังจับจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน…

ด้วยความหวาดกลัว…

ด้วยความดีใจ…

ด้วยความตกตะลึง…

ด้วยความตื่นตระหนก…

ด้วยความรู้สึกทุกรูปแบบ!

และสีหน้าของหลินเป่ยเฉินก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเขาจ้องมองไปยังก้อนหินใหญ่หลังโต๊ะบูชาของฮันปู้ฟู่

“ไม่ได้”

เขาพึมพำกับตัวเอง

ทุกคนล้วนประหลาดใจ

เด็กหนุ่มหมายความว่าอย่างไร?

ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินหลินเป่ยเฉินพึมพำต่อไปว่า “เจ้าไม่ใช่ชาวจี้กวง ไม่มีคุณสมบัติมาอยู่ตรงนี้”

พูดจบ เด็กหนุ่มก็โยนศีรษะทิ้งไปโดยไม่ลังเล

ศีรษะของหลิวเซิงฉางลอยออกจากโต๊ะบูชา

โผละ!

มันลอยไปกระแทกกับขอบหน้าผาและแตกกระจายโดยทันที

ทุกคนที่เห็นภาพนี้ได้แต่หัวใจกระตุกวูบ

ศีรษะของยอดฝีมือขั้นเซียนระดับห้ายังไม่มีค่าคู่ควรที่จะอยู่บนโต๊ะบูชาได้อีกหรือ?

บรรดาแม่ทัพและขุนพลผู้กล้าจากทั้งสองจักรวรรดิอดเศร้าเสียใจแทนหลิวเซิงฉางขึ้นมาไม่ได้

นี่คือความตายที่น่าอนาถใจเหลือเกิน

แม้แต่ศีรษะของเขาก็ไม่มีค่าให้อยู่บนโต๊ะบูชาด้วยซ้ำ

นับเป็นวันที่น่าเศร้า

หลินเป่ยเฉินเคลื่อนไหววูบวาบ แล้วเขาก็ไปปรากฏตัวอยู่บนแท่นประลองอีกครั้ง

“คนต่อไป”

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางเรือเหาะสีขาว “ผู้ใดจะออกมา?”

กลุ่มคนจากกองทัพจี้กวงพร้อมใจกันก้มหน้าหลบสายตา

เพราะพวกเขารู้สึกว่าสายตาของหลินเป่ยเฉินไม่ต่างไปจากคมเคียวยมทูต สามารถข่มขวัญได้ลงลึกถึงกระดูกดำ และในเวลาที่ถูกจ้องมองนั้น หัวใจก็จะรู้สึกเหมือนมีมือปริศนายื่นเข้ามาบีบเค้นทำให้หายใจไม่ออก…

เด็กหนุ่มชุดขาวหนึ่งคนกับกระบี่หนึ่งเล่มยืนโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนหน้าผาที่สูงเสียดฟ้า

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินผู้ยืนอยู่บนแท่นประลองมีความน่ากลัวเสียยิ่งกว่ายมทูตแห่งความตาย

องค์ชายอวี่หรี่ตาลง

ความรู้สึกหวาดกลัวแทรกซึมไปทุกอณูร่างกาย

นี่คือสถานการณ์ที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน

ความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉินรุดหน้าเกินกว่าที่ผู้ใดจะจินตนาการ

ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับห้าสมควรเป็นผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในการประลองประจำวันนี้

แต่ภายใต้กระบี่ของหลินเป่ยเฉิน ยอดฝีมือขั้นเซียนระดับห้าผู้นั้นกลับไม่ทันได้มีโอกาสชักกระบี่ตอบโต้เลยสักครั้ง

กระบี่ของหลิวเซิงฉางยังคงเสียบอยู่กับฝักที่เหน็บอยู่ข้างเอวของร่างไร้วิญญาณ

นี่แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด?

นี่แสดงให้เห็นว่าถึงจะเป็นขั้นเซียนระดับห้า แต่เมื่อมาเผชิญหน้าหลินเป่ยเฉิน เขาก็ไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะได้ชักกระบี่ด้วยซ้ำ

แล้วใครยังจะเป็นคู่ต่อสู้ของหลินเป่ยเฉินได้อีก?

ดังนั้น เมื่อได้ยินคำท้าจากหลินเป่ยเฉิน ผู้คนบนเรือเหาะสีขาวจึงไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาสักคนเดียว

บนแท่นประลอง

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงคำรามด้วยความเหยียดหยาม “ล้วนแต่เป็นพวกตาขาวทั้งสิ้น”

เสียงของเขาไม่ดัง

แต่ผู้คนทั้งสองฝ่ายกลับได้ยินชัดเจน

บนเรือเหาะสีดำ เหล่าแม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าพร้อมใจกันระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ

นี่เหมือนฝันที่เป็นจริง

ตัวแทนจากจักรวรรดิของพวกเขา เพียงหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ก็สามารถสยบตัวแทนของฝ่ายตรงข้ามได้ทุกคน

บนเรือเหาะสีขาว สีหน้าของผู้คนแสดงออกถึงความโกรธแค้นและอับอาย

แม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าจำนวนมากอยากจะออกไปต่อสู้

แต่มีเหตุผลข้อหนึ่งที่ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนใจ

การประลองเดิมพันชีวิตในครั้งนี้มีชะตากรรมของประเทศชาติเป็นเดิมพัน

ผู้ที่ชนะสามจากห้ารอบการประลองจะได้กลายเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้ทันที

หลินเป่ยเฉินชนะมาแล้วสองรอบ

หากฝ่ายจี้กวงพ่ายแพ้อีกครั้ง นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้โดยปริยาย

เหล่าทหารกล้าของกองทัพจี้กวงไม่กลัวตาย

แต่สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวก็คือความตายของตนเองอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประเทศชาติ และชื่อของพวกเขาก็จะกลายเป็นตราบาปของจักรวรรดิจี้กวงตลอดไป

“อะไรกัน? ชาวจี้กวงไม่มีใครกล้าหาญเลยสักคนอย่างนั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ ยกกระบี่ในมือขึ้นชี้หน้าชายชราผู้มีนามว่าอวี้จูอวี่ ผู้เป็นทูตสวรรค์อันดับหนึ่งจากมหาวิหารเทพแห่งธนู ก่อนกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าท่านทูตสวรรค์มีความกล้าหาญมากพอหรือไม่?”

สีหน้าของอวี้จูอวี่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขาไม่เคยได้รับคำท้าอย่างหยาบคายเช่นนี้มาก่อน

หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย ในที่สุด ชายชราก็ให้คำตอบ

“เหตุไฉนจึงไม่กล้า?”

พลัน แสงสีเงินเป็นประกายใต้เท้าของอวี้จูอวี่

พลังวิเศษพวยพุ่ง

แล้วร่างของทูตสวรรค์อวี้จูอวี่ก็หายวับจากกลางอากาศมาปรากฏกายอยู่บนแท่นประลองในลมหายใจต่อมา

เขามีแต่ต้องรับคำท้า

ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

เพราะหลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวงของเทพีกระบี่

นี่แทบไม่ต่างจากการต่อสู้ระหว่างจักรพรรดิของทั้งสองจักรวรรดิ

หากมีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปว่าอวี้จูอวี่ผู้เป็นทูตสวรรค์อันดับหนึ่งจากมหาวิหารหลวงไม่กล้ารับคำท้า มหาวิหารเทพแห่งธนูก็คงกลายเป็นตัวตลกให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ ดีไม่ดี สาวกของเทพแห่งธนูอาจจะเปลี่ยนใจกลายเป็นสาวกของเทพีกระบี่ก็เป็นได้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่องค์ชายอวี่และซูถิงฟาง รวมไปถึงขุนพลผู้กล้าคนอื่น ๆ ไม่ได้คัดค้านอีกแล้ว

นี่คือคำท้าทายจากหลินเป่ยเฉินถึงท่านทูตสวรรค์อวี้จูอวี่โดยตรง หากปฏิเสธคำท้า ผลที่ตามมาก็อาจจะร้ายแรงเกินคาดคิด

บนแท่นประลอง

อวี้จูอวี่โคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง

ทันใดนั้น ชุดเกราะสีเงินวาววับก็ปรากฏขึ้นตลอดร่างกายของเขาจากความว่างเปล่า เช่นเดียวกับหอกเงินอีกเล่มหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในมือ

นี่คือชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ประจำกายทูตสวรรค์แห่งมหาวิหาร

เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉินด้วยสองตาของตนเอง อวี้จูอวี่ก็ไม่กล้าประมาทฝ่ายตรงข้ามอีกแล้ว

หลังสวมใส่ชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ พลังในร่างกายของชายชราก็ยิ่งพุ่งสูงมากขึ้น…

เช่นเดียวกับความมั่นใจของอวี้จูอวี่

บรรดาแม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าบนเรือเหาะสีขาวส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น

“นี่แหละความรู้สึกที่คุ้นเคย…”

“ครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นท่านทูตสวรรค์สวมใส่ชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นตอนที่ท่านพิชิตมารผู้บุกรุกจักรวรรดิของพวกเรา…”

“และนั่นคือสงครามครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อ 60 ปีที่แล้ว…”

“มารผู้บุกรุกตนนั้นก็ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มคนนี้ มันมีพลังน่าหวาดกลัว สามารถสังหารผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสามได้ด้วยมือเปล่า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับท่านทูตสวรรค์ที่สวมใส่ชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ การต่อสู้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น เจ้ามารร้ายก็ต้องพ่ายแพ้ไป…”

เหล่านายทหารผู้เป็นสาวกเทพแห่งธนูพากันส่งเสียงกระซิบกระซาบ…

ยิ่งพลังศรัทธาของพวกเขามากเท่าไหร่ อวี้จูอวี่ก็ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากเท่านั้น

ในไม่ช้า แสงสว่างที่แผ่ออกมาจากร่างกายของอวี้จูอวี่ก็ทำให้เขามีความสว่างไสวไม่ต่างไปจากดวงอาทิตย์ขนาดย่อม

ภายใต้แสงสว่างจากพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ บรรยากาศก็เกิดความปั่นป่วน สายลมกระโชกแรง ก้อนกรวดที่อยู่บนพื้นดินลอยตัวขึ้นมา ต้นไม้ใบหญ้าและกิ่งไม้ค่อย ๆ หันปลายของมันชี้ไปยังหลินเป่ยเฉิน ดูเหมือนความสามารถของอวี้จูอวี่ก็คือเขาสามารถเปลี่ยนให้ทุกอย่างกลายเป็นลูกธนูเพื่อทำลายเป้าหมายได้ทั้งสิ้น!

ความแข็งแกร่งที่แสดงออกมาของอวี้จูอวี่ทำให้ผู้คนของกองทัพจี้กวงรู้สึกประทับใจและมั่นใจมากขึ้น

ความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นจากฝีมือของหลินเป่ยเฉินตลอดการประลองสองรอบที่ผ่านมาเริ่มเลือนลางจางหายไปบ้างแล้ว

ในเวลาเดียวกันนี้ ผู้คนบนเรือเหาะสีดำก็เริ่มกลับมาหนักใจอีกครั้ง

คู่ต่อสู้ของหลินเป่ยเฉินในรอบนี้มีสถานะเป็นถึงทูตสวรรค์

ระดับพลังสูงล้ำเหนือธรรมดา

ยิ่งเป็นศาสนาที่มีสาวกศรัทธาอย่างแน่นแฟ้นมากเท่าไหร่ ทูตสวรรค์ก็ยิ่งมีระดับพลังแข็งแกร่งมากเท่านั้น

ณ จุดนี้ อวี้จูอวี่อาจจะน่ากลัวกว่าผู้มีพลังขั้นเซียนระดับห้าจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยนด้วยซ้ำ

หลินเป่ยเฉินไม่พูดอะไรมาก

คมกระบี่สาดประกาย

รังสีกระบี่พวยพุ่ง

ยังคงเป็นกระบวนท่าเดียวกับที่ใช้สังหารหลิงเซิงฉางในระยะประชิดตัว

เงากระบี่รวมตัวครอบคลุม

เคร้ง!

ได้ยินเสียงโลหะปะทะกันดังขึ้น

แสงและเงาตัดผ่านกัน

รังสีกระบี่ทะลวงเข้าใส่รัศมีแสงตะวันบนเวทีประลอง

ทันใดนั้น แสงตะวันก็ระเบิดตัวออก กลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้าขยายตัวออกไปรอบบริเวณ

ทุกคนเบิกตาโต

เศษกระบี่เงินปลิวออกมา

ร่างของหลินเป่ยเฉินล่าถอยกลับไปยืนอยู่ที่เดิม

เขาก้มมองกระบี่ที่อยู่ในมือ หน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย