ตอนที่ 1051 โครงกระดูกวิหคที่ไม่ทราบชนิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

จู่ ๆ ร่างมหึมาที่บดบังทั่วท้องฟ้าก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ โดยที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน

มันคือโครงกระดูกของวิหคที่ไม่ทราบชนิดซึ่งมีขนาดใหญ่ยักษ์และมีลักษณะเหมือนวิหคไม่มีผิด อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และคนทั้งสามไม่เคยพบเห็นวิหคขนาดใหญ่เช่นนี้มาก่อน

เพียงปีกข้างเดียวของมันก็มีขนาดใหญ่เท่าภูเขาทั้งลูก ทั่วทั้งร่างของมันก็ใหญ่ยิ่งกว่าเมืองรองบางเมืองในโลกภายนอกซึ่งน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก

“นี่คือหมิงหวง—อสูรมายายุคโบราณที่เป็นสิ่งมีชีวิตอันดับต้น ๆ ของเผ่าพันธุ์หงส์ มันหายสาบสูญไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อนและแม้แต่ร่องรอยสายเลือดของมันก็ไม่มีเหลืออยู่ ไม่คิดเลยว่ามันจะล้มตายกลายเป็นซากศพอยู่ในสมรภูมิรบโบราณแห่งนี้เช่นกัน”

เสียงของหานอวี้ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่และมันระบุชนิดของโครงกระดูกตรงหน้าได้ทันที

กล่าวกันว่าหมิงหวงเป็นอสูรมายาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและแม้แต่มังกรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเผ่ามังกรก็มีขนาดเล็กกว่าสองในสามส่วนของร่างหมิงหวงเสียด้วยซ้ำ ในอดีตหานอวี้เองก็ไม่ปักใจเชื่อนัก ทว่าเมื่อเห็นด้วยตาของตนเองในตอนนี้ มันก็เชื่ออย่างไร้ข้อกังขา หมิงหวงเป็นหนึ่งในอสูรมายาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอย่างแท้จริง ซึ่งแม้แต่เผ่ามังกรของมันก็เทียบไม่ได้ !

“เหอะ พวกจอมยุทธ์ปีศาจลงมือกันเร็วจริง ๆ”

ฉินอวี้โม่แค่นเสียงในลำคอและคาดเดาได้ไม่ยากว่าซากของหมิงหวงน่าจะได้รับการฟื้นคืนชีพด้วยวิธีการพิเศษของจอมยุทธ์ปีศาจ

จอมยุทธ์ปีศาจมีวิธีการที่หลากหลายและประหลาดเกินคาดเดามากมาย ไม่มีทางเลยที่จะป้องกันจากพวกมันได้ทั้งหมด แม้จ้าวสำนักจะส่งพวกนางเข้ามาที่นี่อย่างรวดเร็ว มันก็ยังถือว่าสายเกินไปเล็กน้อย

หมิงหวงขนาดมหึมาหยุดลงเหนือศีรษะของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก่อนก้มลงมองพวกนางด้วยแววตาเรียบเฉย แรงกดดันอันหนักอึ้งและกลิ่นอายแห่งความตายที่แผ่ออกมาทำให้ฉินอวี้โม่และทั้งสามรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง

ในเวลานี้ก็ราวกับว่ามันได้รับคำสั่งบางอย่างมา จู่ ๆ หมิงหวงก็อ้าปากกว้างและพ่นลูกเพลิงร้อนระอุตรงมาที่กลุ่มคนทั้งสี่ทันที

“มันพ่นลูกเพลิงได้ด้วยรึ ?”

หานโม่ฉือกล่าวอย่างประหลาดใจพลางโบกมือเล็กน้อยและก้อนพลังมายาก็ถูกปล่อยออกจากมือของเขาก่อนพุ่งเข้าปะทะกับลูกเพลิงดังกล่าวอย่างรวดเร็ว การปะทะนี้ทำให้เกิดแสงสว่างเจิดจ้าจนทุกคนอดหรี่ตาไม่ได้ จากนั้นลูกเพลิงและก้อนพลังมายาของหานโม่ฉือก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน

“เจ้าหงส์ต่ำต้อยซึ่งตายไปนานแล้วริอาจทำตัวโอหังต่อหน้านายน้อยผู้นี้งั้นรึ ? ท่านแม่ ข้าจะทำลายมันเอง !”

หานอวี้ปรากฏตัวออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวและตรงเข้าไปประจันหน้ากับหมิงหวงทันที

แม้เมื่อครั้งยังมีชีวิต หมิงหวงก็มิใช่คู่ต่อสู้ของมังกรทองห้าเล็บ นับประสาอะไรกับการที่มันตายไปแล้วและเป็นเพียงร่างที่ถูกทำให้ฟื้นคืนชีพกลับมา

ร่างของบุรุษหนุ่มอายุสิบสามถึงสิบสี่ปีที่เหาะตรงเข้าหาหมิงหวงซึ่งมีขนาดมหึมาและแทบจะปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางขนาดระหว่างทั้งสองได้อย่างชัดเจน

ในเวลานี้ทุกคนก็มองเห็นตรงกันว่าร่างของหมิงหวงเหมือนจะสั่นเทิ้มอยู่เล็กน้อย ราวกับว่ามันกำลังหวาดกลัวหานอวี้ แม้ว่าจะตายไปแล้ว ความกลัวโดยธรรมชาติก็ยังส่งผลต่อหมิงหวงไม่เปลี่ยนแปลง ทันทีที่หานอวี้ปรากฏตัวก็ดูเหมือนว่ามันจะตกกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม ร่างของมันเพียงสั่นสะท้านเล็กน้อยเท่านั้นและหมิงหวงรวบรวมความกล้ากลับมาได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็ตรงเข้าโจมตีหานอวี้ราวกับได้รับคำสั่งอีกครา

แน่นอนว่าหานอวี้ไม่มีทีท่าหวาดหวั่นแม้แต่น้อยและไม่ได้กลับคืนร่างเดิมของตนขณะต่อสู้กับหมิงหวงด้วยร่างมนุษย์

หลังจากการฝึกวิชาและสั่งสมประสบการณ์นานหลายปี ความแข็งแกร่งของมังกรตัวน้อยก็พัฒนาจนเกือบจะบรรลุระดับสูงสุดของมันแล้วและมีประสิทธิภาพในการต่อสู้ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าก่อนมาก เมื่อต่อสู้กับหมิงหวง หานอวี้จึงไล่ต้อนอีกฝ่ายไปได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง

หมิงหวงในตอนนี้ไม่มีสติสัมปชัญญะเป็นของมันเองอีกต่อไป เพราะเหตุนั้นมันจึงได้เพียงต่อสู้โดยสัญชาตญาณและไม่สามารถโจมตีเฉียดใกล้เสื้อผ้าอาภรณ์ของหานอวี้ได้ด้วยซ้ำ ในทางตรงกันข้าม หานอวี้ใช้กระบวนท่าโจมตีอย่างหลากหลายและต่อเนื่องจนหมิงหวงตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเห็นใจ

ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของมันก็มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะหลบหลีกการโจมตีของหานอวี้ได้ ภายในเวลาเพียงสั้น ๆ กระดูกหลายชิ้นในร่างของมันก็แตกออกและไม่สามารถบินได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนเดิมด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม หานอวี้ไม่หยุดเพียงแค่นั้นและยังคงปลดปล่อยการโจมตีต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน

หมิงหวงไม่อาจคิดหาหนทางตอบโต้ได้ขณะที่สภาพของมันดูน่าเวทนามากขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การโจมตีของหานอวี้

“ท่านแม่ เพลิงของพี่ซิวและพลังศักดิ์สิทธิ์สามารถทำให้มันสลายกลายเป็นเถ้าถ่านได้ !”

หานอวี้กล่าวย้ำเตือนฉินอวี้โม่ว่าเพลิงแห่งชีวิตของซิวและไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของโครงกระดูกผีดิบเหล่านี้

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็ไม่ลังเลและหยิบไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมา ก่อนโยนให้กับหานอวี้ทันที

ปลายนิ้วของหานอวี้ขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อยก่อนแรงกดดันที่แกร่งกล้าจะแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งร่างของหมิงหวงและทำให้มันไม่มีหนทางหลบหนีเอาตัวรอดได้เลย จากนั้นไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในมือของหานอวี้ก็ส่องแสงศักดิ์สิทธิ์เป็นประกายออกมาและกระทบลงบนโครงกระดูกขนาดมหึมานี้

ภายในเวลาเพียงครู่เดียว โครงกระดูกของหมิงหวงก็เปลี่ยนกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านและสลายหายไปในอากาศราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

กลิ่นอายแห่งความตายที่หนาแน่ทั่วบริเวณก็หายไปพร้อมกับมันเช่นกันและแสงสว่างจ้าส่องประกายในท้องฟ้า

หานอวี้ลอยลงเหยียบบนพื้นอีกครั้งก่อนนำไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เข้าไปเก็บไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัวเช่นเดิม

“เห็นทีพลังของพวกผีดิบเหล่านี้จะไม่ได้น่าสะพรึงกลัวอย่างที่คิดไว้”

อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวขึ้นเบา ๆ การที่หานอวี้กำจัดหมิงหวงที่ดูทรงพลังได้อย่างง่ายดายทำให้นางตระหนักถึงสิ่งนี้ได้ทันที

“ไม่เสมอไปหรอก หมิงหวงตัวนี้คงจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพียงไม่นานเท่านั้นและพลังของมันก็อ่อนแอมาก นอกจากนี้ หานอวี้ก็ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของมันจึงยิ่งทำให้มันดูอ่อนแอลงไปอีก หากจอมยุทธ์ปีศาจฟื้นคืนชีพสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวอื่น ๆ และฟื้นคืนพลังของพวกมันได้ถึงห้าในสิบส่วน เกรงว่าการกำจัดพวกมันคงไม่ง่ายนัก”

ซิวก้าวออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวและกล่าวอธิบายกับทุกคน

“เป็นอย่างนี้นี่เอง”

ทุกคนพยักศีรษะและสีหน้าแสดงถึงความระแวดระวังมากขึ้น หมิงหวงที่เพิ่งฟื้นคืนชีพเพียงไม่นานก็มีพลังที่ถือว่าอยู่ในระดับสูงแล้ว ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าซากศพที่ถูกฟื้นคืนชีพโดยจอมยุทธ์ปีศาจตั้งแต่เนิ่น ๆ จะทรงพลังเพียงใด

ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งพลังเดิมของซากศพนั้นแข็งแกร่งเพียงใด พลังที่ฟื้นฟูกลับขึ้นมาหลังจากการฟื้นคืนชีพก็จะทรงพลังมากเพียงนั้น ในสมรภูมิรบโบราณแห่งนี้ก็มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังยิ่งกว่าหมิงหวงอยู่เป็นจำนวนมาก หากจอมยุทธ์ปีศาจฟื้นคืนชีพพวกมันได้สำเร็จ มันจะเป็นภัยร้ายแรงต่อดินแดนมหาเทพอย่างแน่นอน…

ในเวลานี้หมิงหวงสลายกลายเป็นเถ้าถ่านและไม่หลงเหลือแม้แต่ร่องรอยอีกต่อไป มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายไปนานนับหมื่นปีแล้ว หากมิใช่เพราะพลังพิเศษในสมรภูมิรบโบราณ มันก็คงจะสลายหายไปตามกาลเวลาแล้ว การที่หานอวี้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เมื่อครู่เป็นเพียงการส่งมันไปสู่ที่ที่ควรอยู่เท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น โดยปกติแล้วเผ่าพันธุ์เช่นนี้ย่อมมีทายาทสืบทอดไปรุ่นสู่รุ่น อย่างไรก็ตาม หมิงหวงไม่เคยปรากฏให้เห็นตลอดระยะเวลานับหมื่นปีที่ผ่านมาเนื่องจากร่างของบรรพบุรุษจากยุคโบราณยังคงถูกคงสภาพไว้ในสมรภูมิรบโบราณ ทว่าตอนนี้การที่ร่างของมันสลายกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว นั่นอาจหมายความว่าหลังจากนี้จะมีทายาทรุ่นใหม่ของมันถือกำเนิดขึ้นมา

“ไม่อาจทราบได้เลยว่าผู้ใดกันที่ปิดผนึกสมรภูมิรบโบราณแห่งนี้ไว้และทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร หากสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากมายฟื้นคืนชีพได้สำเร็จจริง ทั่วทั้งดินแดนมหาเทพจะตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน”

เซิ่งเซียวขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาไม่เข้าใจว่าผู้ที่ปิดผนึกสมรภูมิรบโบราณแห่งนี้ในอดีตมีจุดประสงค์อันใดกันแน่

โดยปกติแล้วผู้คนและสิ่งมีชีวิตที่ล้มตายไปในสงครามก็ควรที่จะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ทว่าการปิดผนึกสมรภูมิรบโบราณไว้และรักษาซากศพทั้งหมดให้อยู่ในสภาพเดิมเช่นนี้เป็นการทิ้งอันตรายไว้ให้กับคนรุ่นหลัง

ฉินอวี้โม่เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน หากซากศพสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเหล่านี้สลายไปตั้งแต่ต้น สถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น

อวิ๋นซื่อเทียนและหานโม่ฉือก็ไม่กล่าวสิ่งใด ทว่าพยายามนึกหาเหตุผลของคนผู้นั้นเช่นกัน

“อย่ามัวแต่คิดให้ปวดหัวเลย เราอาจจะได้ทราบความจริงเมื่อพบกับจอมยุทธ์ปีศาจพวกนั้น”

ฉินอวี้โม่ขัดจังหวะความคิดของทุกคนและคาดว่าอาจได้ทราบบางสิ่งบางอย่างเมื่อพบกับคนของจอมยุทธ์ปีศาจ ตราบใดที่พบคนเหล่านั้น พวกนางก็จะได้ทราบจุดประสงค์ในการดำรงอยู่ของสมรภูมิรบโบราณ และสิ่งที่สำคัญคือพวกนางต้องขัดขวางแผนการของคนเหล่านั้นให้ได้และไม่ปล่อยให้สิ่งมีชีวิตใด ๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีก…