บทที่ 1316 ปีติยินดี

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

เขาสามารถพูดประโยคนี้ออกมาได้ เห็นได้ชัดเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้ยังนับว่าเฉลียวฉลาด เขารู้ดียิ่งว่าความคิดระแวดระวังไปทุกเรื่องนั้นไม่มีประโยชน์กับจอมพลังที่สามารถจับกุมผู้ร่ำร้องสองคนได้สบายๆ และหนีมาได้อย่างปลอดภัยหลังจากชักนำวิญญาณจักรพรรดิมา

โดยคร่าวๆ แล้วในสายตาของอีกฝ่าย ความเป็นความตายของตนขึ้นอยู่กับหนึ่งความคิด สามารถเปลี่ยนได้ทุกเมื่อแค่เพราะเรื่องเล็กๆ บางอย่าง เขาจะเป็นหรือตายเดิมทีก็ไม่อาจคาดเดาได้เลย

แต่ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายวางแผนจะเข้าไปในโลกาชั้นที่สอง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าไม่มีวิธีเข้าไป การกลืนกิน หรือการหลอมรวม หรือการยึดตนเอาไว้ก็น่าจะเป็นตัวเลือกแรกของอีกฝ่าย

หากเปลี่ยนเขาไปอยู่ในตำแหน่งของอีกฝ่าย เขาก็จะทำเช่นนี้เหมือนกัน และความต่างระหว่างทั้งคู่ก็ทำให้เขาไม่มีปัญญาจะต่อกรด้วยอยู่แล้ว ถึงขั้นที่หากกล่าวเกินจริงอีกสักหน่อย แค่ความสามารถจะระเบิดตัวเองต่อหน้าอีกฝ่ายก็เกรงว่าจะไม่มีด้วยซ้ำ

ดังนั้น แทนที่จะรอให้อีกฝ่ายเป็นคนตัดสินใจ ไม่สู้ตนเอ่ยปากเสนอวิธีการแก้ปัญหาอย่างอื่นให้เขาแทนก่อนดีกว่า

ในเมื่อตัดสินใจจะทำตัวเชื่อฟังน่าเอ็นดูแล้ว เช่นนั้นก็จงเชื่อฟังน่าเอ็นดูให้ถึงที่สุด

ขณะเดียวกันเขาก็เชื่อว่า ด้วยความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย การจะสังหารตนหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำหรับผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ การแก้ปัญหาต่างหากถึงจะเป็นจุดสำคัญ

ส่วนกระบวนการ…ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไร

หวังเป่าเล่อคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มปราดหนึ่ง สำหรับความคิดจิตใจของคนผู้นี้ จากประสบการณ์ของเขา แค่มองปราดเดียวก็มองออกได้ทะลุปรุโปร่ง แววตาจึงฉายแววชื่นชมออกมา ไม่ได้พูดตอบทันที แต่ยกมือขวาขึ้นแล้ววาดไปยังไปยังอากาศช้าๆ

เมื่อลดมือลงไป ขณะที่เด็กหนุ่มจากเต๋าแห่งสุขตกตะลึงอยู่นั้น ฉับพลันบนร่างของหวังเป่าเล่อก็มีคลื่นผันผวนปรากฏขึ้น หลังจากเด็กหนุ่มสัมผัสถึงคลื่นผันผวนนี้ ความวิตกในใจของเขาในตอนแรกก็หายไปในชั่วพริบตา และมีความปีติยินดีกำเนิดขึ้นมา สิ่งนี้ทำให้เขาเบิกตากว้างทันที

ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปาก หวังเป่าเล่อก็อาศัยเต๋าลอกเลียนแบบของตนนำเต๋าสายสุขเข้ามา ก่อนก้าวหนึ่งก้าวไปยังความว่างเปล่า ต้องการใช้พลังงานสายนี้เพื่อก้าวเข้าไปในโลกาชั้นที่สอง

แต่ชั่วขณะที่หวังเป่าเล่อก้าวลงไปนั้น เงาร่างของเขาก็พร่าเลือนราวกับจะผสานรวมเข้าไปในพริบตา สีหน้าของหวังเป่าเล่อขยับไหว เท้าที่กำลังจะก้าวลงไปหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ ถอนมันกลับมา

จากนั้น ท่ามกลางความเงียบงัน เขาเงยหน้าทอดมองไปยังอวกาศอันห่างไกล สายตาฉายแววครุ่นคิด

ชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้ แม้ว่าเขาจะเลียนแบบเต๋าสายสุขได้สำเร็จและหลอมรวมเข้าไปในร่างแล้ว แต่เมื่อก้าวเท้า เขากลับสัมผัสได้ถึงสิ่งกีดขวาง ทำให้รับรู้ได้ชัดเจนอย่างยิ่งว่า ขอเพียงตนก้าวออกไปหนึ่งก้าว ก็จะเข้าสู่ภายในสิ่งกีดขวางและเข้าสู่โลกชั้นที่สองตามที่เด็กหนุ่มพูดทันที

สิ่งกีดขวางนั้นคล้ายจะเป็นประตูใหญ่ของโลกชั้นที่สอง และกุญแจสำหรับประตูใหญ่นี้ก็มีอยู่สิบสามชิ้น แบ่งเป็นเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทั้งสิบสามกฎเกณฑ์

ส่วนวิธีการที่คนโบราณเข้ามาในโลกชั้นที่สองนั้น หวังเป่าเล่อก็คาดเดาได้ส่วนหนึ่งเช่นกัน

ดังนั้น เขาจึงใช้เต๋าลอกเลียน แม้ว่าจะได้รับกุญแจมาสำเร็จ แต่ที่แห่งนี้คือมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด สิ่งที่เขาลอกเลียนมา สุดท้ายก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่สุด

ดังนั้นชั่วพริบตาที่กำลังจะก้าวเท้าลงไป ความระแวดระวังในใจของหวังเป่าเล่อก็ตื่นตัวขึ้น เขามีลางสังหรณ์ว่าขอเพียงตนก้าวเท้าลงไป พลังผันผวนที่ดึงดูดมาได้คงจะน่าตะลึงยิ่งกว่าการปรากฏตัวของวิญญาณจักรพรรดิเสียอีก

“ถึงขนาดเป็นไปได้ว่าจะมีวิญญาณจักรพรรดิหลายร้อยหลายพันตนปรากฏขึ้นมาพร้อมกันด้วยซ้ำ” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ตอนนี้เขาวิเคราะห์คาดเดาถึงสาเหตุที่วิญญาณจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นได้แล้ว

นั่นก็เพราะ…เต๋าจากโลกภายนอก

ภายในมิติเต๋าต้นกำเนิดแห่งนี้ กฎเกณฑ์ที่สามารถใช้ได้น่าจะมีอยู่เพียงสิบสี่ชนิด สิบสามชนิดแรกคือเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ส่วนชนิดสุดท้ายเห็นได้ชัดว่าเป็นวิถีฝึกตนของคนโบราณในที่แห่งนี้นั่นเอง แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะยังไม่กระจ่างชัดนักว่ารายละเอียดของมันคืออะไร แต่เขาก็เดาได้คร่าวๆ แล้วว่าน่าจะเป็นเต๋าสารัตถะที่เกี่ยวข้องกับสายเลือด

การถือกำเนิดขึ้นที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนล้วนมีสายเลือดอยู่ในร่างกาย และสายเลือดนี้สามารถทำให้พวกเขาไม่ถูกจำกัดหลังจากฟื้นขึ้นมา

นอกเหนือจากกฎเกณฑ์สิบสี่ชนิดนี้ ทันทีที่มีกฎเกณฑ์อย่างอื่นปรากฏขึ้นภายในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด ก็จะถูกตัดสินให้เป็นผู้ที่มาจากภายนอก และชักนำวิญญาณจักรพรรดิมา

วิญญาณจักรพรรดิ เป็นทั้งวิญญาณเทพ และเป็นทั้งผู้คุ้มครอง

และตามการคาดเดาของหวังเป่าเล่อ จำนวนวิญญาณจักรพรรดินั้นน่าจะขาดแค่ตนเดียวก็จะครบหนึ่งแสนตน

ดังนั้น ว่ากันตามหลักการแล้ว ถ้าหากมีผู้แข็งแกร่งที่สามารถเพิกเฉยต่อวิญญาณจักรพรรดิขั้นที่สี่ชั้นยอดจำนวนหนึ่งแสนตนเดินทางมายังที่แห่งนี้ เช่นนั้นคนผู้นี้ก็สามารถเดินเข้าไปอยู่ต่อหน้ามหาเทพที่กำลังหลับใหลได้ในทันที

เพียงแต่ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าบิดาของหวังอีอีจะทำได้หรือไม่ แต่จากพลังฝึกตนในปัจจุบันของตัวเขาแล้ว หวังเป่าเล่อไม่อาจทำได้เลย

ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็มองไปยังเด็กหนุ่มจากเต๋าแห่งสุขผู้นั้นแล้วพยักหน้า

เด็กหนุ่มข่มกลั้นความตกตะลึงภายในใจจากการที่เต๋าแห่งสุขพุ่งขึ้นมาบนร่างของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้เอาไว้ หลังจากสูดหายใจลึก เขาก็รีบแยกกฎวิชาแห่งสุขภายในร่างออกมาหนึ่งสายโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น แล้วรวมกันเป็นเมล็ดพันธุ์สีแดงเมล็ดหนึ่งลอยออกมาจากหน้าอก

เมื่อเมล็ดพันธุ์นี้ลอยออกมา ก็เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเขาอ่อนแอลง แต่การเคลื่อนไหวทั้งหมดไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่หลังจากส่งเมล็ดเต๋าสายสุขมาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อจนสมบูรณ์แล้ว เขายังตัดการเชื่อมต่อกับเมล็ดพันธุ์นี้อย่างเด็ดขาดอีกด้วย

หวังเป่าเล่อยกมือขึ้น จับเมล็ดเต๋าสายสุขตรงหน้าเอาไว้ด้วยสองนิ้ว ดวงตาฉายประกายแปลกประหลาด ม่านตาแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ทำให้เมล็ดสายสุขตรงหน้าขยายขึ้น แล้วแผ่ขยายอีกครั้ง ขยายใหญ่อีกครั้ง

หลังจากทำแบบเดิมซ้ำๆ อยู่หลายรอบ ในที่สุดเขาก็มองเห็นว่าแกนกลางภายในเมล็ดเต๋าสุขที่รวมตัวขึ้นจากกฎเกณฑ์เต๋าสายสุขเมล็ดนี้กลับมี…อักขระโบราณพิเศษอย่างหนึ่ง

อักขระนี้ดูเหมือนกับใบหน้ายิ้ม

เมื่อเขาผสานจิตลงไป ก็คล้ายได้ยินเสียงหัวเราะมากมายดังออกมา สัมผัสได้ถึงความปีติยินดีของฟ้าดินและสรรพชีวิต ความรู้สึกรุนแรงเช่นนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตกอยู่ในภวังค์ จนกระทั่งผ่านไปพักหนึ่ง เมื่อเมล็ดเต๋าสายสุขที่ปลายนิ้วมือของเขาหายไปเพราะถูกหลอมเข้าไปในร่างเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจลึก

เขาหลับตานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความประหม่าวิตกของเด็กหนุ่มผู้นั้น ความปีติยินดีที่สมจริงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้แพร่กระจายอยู่บนร่างของเขาอย่างเลือนลาง เหมือนกับว่าพอเห็นเขาแล้วก็ยิ้มมีความสุขอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้

ถึงขั้นทำให้เด็กหนุ่มอ่อนแอผู้นั้นมีปฏิกิริยารุนแรงยิ่งกว่าเดิม คนทั้งคนยืนอยู่ตรงนั้นราวกับโง่งม พลางหัวเราะไร้เสียงออกมาคล้ายหยุดตัวเองไม่อยู่ ทั้งร่างของเขาก็ยังผ่อนคลายลงมาก พลังฝึกตนนิ่งสงบ ไม่มีการตื่นตัวแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ตกใจเช่นกัน

“วิถีสุขในเจ็ดอารมณ์ช่างดีนัก ดูเหมือนจะอ่อนโยน แต่ความจริงทรงพลังมาก หากฝึกเต๋านี้จนถึงจุดสูงสุด ก็จะทำให้สรรพชีวิตคลั่งไคล้เพราะมันได้ ผ่านไปที่ใด ทุกชีวิตล้วนสิ้นสติกันทั้งหมด”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็คว้าเด็กหนุ่มที่ยิ้มโง่งมและสูญสิ้นความรู้สึกนึกคิดจนหมดสติไปท่ามกลางความปีติยินดี จากนั้นก็ก้าวเข้าไปยังหมอกแดงตรงหน้า ครั้งนี้เขาไม่รู้สึกถึงความอันตรายเช่นนั้นอีกต่อไป หลังจากก้าวลงไปอย่างราบรื่นแล้ว เขาและเด็กหนุ่มที่ถูกเขาคว้ามาด้วยก็หายตัวเข้าไปในหมอกแดงพร้อมกันทันที

ข้ามผ่านสิ่งกีดขวาง เมื่อปรากฏตัวขึ้น…ภาพของฟ้าดินแห่งใหม่ราวกับผืนภาพวาดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!

……………