บทที่ 1317 เข้าสู่โลก

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ท้องนภาสีฟ้า แผ่นดินใหญ่สีดำ

บนภูเขาอุดมไปด้วยสีเขียวขจี ลมพัดอ่อนโชย พาให้ต้นไม้ใบหญ้าพลิ้วไหว พร้อมกับทำให้อาภรณ์ของเงาร่างที่นั่งอยู่บนยอดเขาและกำลังทอดมองไปที่ไกลๆ ปลิวไสว พัดผมยาวสยาย ทำให้เกิดความรู้สึกล่องลอยสง่างามแบบหนึ่งขึ้นมา

ใต้ภูเขาคือหุบเขาแห่งหนึ่ง มองเห็นบ้านซึ่งสร้างจากไม้จำนวนหนึ่งและผู้คนที่อยู่อาศัย เหมือนกับหมู่บ้าน

ขนาดของหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก บ้านเรือนมีอยู่เพียงไม่กี่สิบหลัง จำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ก็ไม่ถึงหนึ่งร้อยคน ดูแล้วสงบสุขอย่างยิ่ง ราวกับทั้งหมู่บ้านล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นมื่น

เมื่อมองลงมาจากยอดเขาก็จะมองเห็นเด็กน้อยสามถึงห้าคนกำลังวิ่งไปมาอยู่ในหมู่บ้านอย่างเริงร่า บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นแล้วแอบลอบมองไปยังยอดเขา

“เต๋าแห่งสุข ดีงามยิ่งนัก” บนยอดเขา เงาร่างที่นั่งอยู่ตรงนั้นถอนสายตาที่มองไปยังที่ไกลๆ กลับมา ขณะมองดูหมู่บ้านเชิงเขาและเอ่ยพึมพำนั้น ก็สัมผัสได้ว่าที่เชิงเขามีคนกำลังก้าวเข้ามาช้าๆ

ไม่นาน ด้านหลังของเขาก็มีเสียงแสดงความเคารพดังขึ้น

“ผู้อาวุโส เหล่าเด็กๆ ที่เชิงเขาได้เก็บดอกไม้ภูเขามาให้ท่าน พวกเขาอยากจะมามอบให้ท่านด้วยมือตัวเอง แต่ไม่กล้าขอรับ” ผู้ที่เอ่ยขึ้นก็คือเด็กหนุ่มสายเต๋าแห่งสุขผู้นั้นที่ถูกหวังเป่าเล่อจับตัวมานั่นเอง

ตอนนี้สีหน้าท่าทางของเขาเปี่ยมความเคารพ ในมือถือดอกไม้สดกำหนึ่ง

เงาร่างบนยอดเขาหันหน้ากลับมายิ้มบางเบา หลังจากฝึกฝนเต๋าแห่งสุข รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เพิ่มขึ้นมากตามไปด้วย ความปีติยินดีทั่วร่างของเขาแพร่กระจายมากขึ้น ต่อให้เป็นเด็กหนุ่มที่พบเจอมาหลายครั้งก็ยังสิ้นสติจนต้องยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

“ขอบคุณพวกเขาแทนข้าด้วย” เงาร่างบนยอดเขาโบกมือ ดอกไม้ก็เคลื่อนเข้ามาแล้วถูกเขาวางเอาไว้ข้างเท้า เขาควบคุมกฎแห่งสุขภายในร่างไว้ จึงพอทำให้เด็กหนุ่มผู้นั้นมีสติขึ้นมาได้แล้วรีบคำนับ จากนั้นก็ลงเขาไป

เมื่อเดินลงจากเขาแล้ว เขาก็อดหันไปมองเงาร่างบนภูเขาอีกหลายรอบไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมองไปยังภาพที่ใบหญ้าเขียวขจีรอบตัวอีกฝ่ายพลิ้วไหวอัตโนมัติท่ามกลางสายลม ภายในใจเขาก็เต็มไปด้วยความทอดถอนใจ ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีความสามารถสูงอยู่แล้วหรือว่าเหมาะสมจะฝึกฝนเต๋าสายสุขเป็นพิเศษกันแน่ สรุปคือ เขาฝึกฝนวิชาเต๋าสายสุขมาได้ไม่กี่เดือน กลับฝึกฝนจนความปีติสุขพุ่งระดับที่สามารถแทรกซึมไปยังสรรพชีวิตได้แล้ว

แม้ว่าระดับนี้จะไม่ใช่ระดับที่สูงที่สุด แต่ทั่วทั้งสำนักนี้ ก็มีเพียงผู้อาวุโสชั้นสูงเท่านั้นถึงจะทำได้

และเงาร่างบนยอดเขาผู้นั้นก็คือหวังเป่าเล่อนั่นเอง

เขามายังโลกาชั้นที่สองของมิติเต๋าต้นกำเนิดได้หลายเดือนแล้ว

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาเก็บงำกลิ่นอายทั้งหมด ไม่ได้ใช้พลังกฎจากโลกภายนอกเลยสักนิด จมจ่อมอยู่ท่ามกลางการตระหนักรู้เต๋าสายสุขและได้รับประโยชน์มามากมาย

ขณะเดียวกัน ในช่วงไม่กี่เดือนนี้เอง ในที่สุดเขาก็รับรู้และเข้าใจในโลกใบนี้ได้ค่อนข้างรอบด้านแล้ว

โลกใบนี้ มีอยู่เพียงสิบสี่กฎเกณฑ์จริงๆ ซึ่งก็คือเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาและวิชาโบราณแบบดั้งเดิม และมีเพียงกฎเกณฑ์ทั้งสิบสี่อย่างนี้เท่านั้นถึงจะถูกอนุญาตให้ใช้ออกมาในที่แห่งนี้

นอกเหนือจากนี้ หากใช้เต๋าของกฎเกณฑ์อย่างอื่นก็จะดึงดูดให้วิญญาณจักรพรรดิปรากฏตัวออกมาไล่ฆ่าอย่างแน่นอน และเมื่อเกิดเรื่องประเภทนี้มากขึ้น หวังเป่าเล่อก็เดาได้ว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้แน่

ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้มหาเทพตื่นจากการหลับใหล

ดังนั้น หากไม่มีเหตุสุดวิสัย หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจใช้วิชาจากโลกภายนอกได้ นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขามายังที่แห่งนี้ได้หลายเดือนและรั้งอยู่ที่นี่มาโดยตลอด และเต๋าสายสุขก็จะกลายเป็นวิชาที่เขานำมาใช้แทน

กฎเกณฑ์ทั้งสิบสี่ชนิดของโลกใบนี้ก็ไม่ได้ผุดขึ้นมาจากอากาศ มันไม่ต่างจากคำแนะนำก่อนหน้านี้ของเด็กหนุ่มสักเท่าไร โลกใบนี้มีขุมอำนาจสามฝ่าย แบ่งเป็นเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนา และยังมีเมืองโบราณอีก

แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่หวังเป่าเล่อเพิ่งเข้าใจหลังจากมาถึงที่แห่งนี้ นั่นก็คือ…ความขัดแย้งของเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนา

กล่าวให้ถูกคือ โลกใบนี้เคยมีเจ็ดอารมณ์เป็นผู้ครอง จากนั้นหกปรารถนาก็เกิดตามมา หลังจากเจ็ดอารมณ์พ่ายแพ้ครั้งใหญ่ก็ถูกตัดสินให้เป็นกบฏ จากนั้นถูกหกปรารถนาไล่ล่า ตอนนี้เวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายปี สายเลือดทั้งเจ็ดของเจ็ดอารมณ์ก็เสื่อมสลายกันจนถึงที่สุดแล้ว

ตัวอย่างเช่นเจ้าแห่งสุขของเต๋าสายสุข เขาถูกเจ้าปรารถนาของเมืองปรารถนาเสียงจัดการผนึกเอาไว้ ส่วนเจ็ดอารมณ์ที่เหลือ ส่วนใหญ่กระจัดกระจายกันอยู่ในโลกแห่งนี้ แต่ละแห่งพากันเก็บซ่อนตัวเอง

ส่วนหกปรารถนาก็พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแข็งแกร่งมากขึ้นจนกลายเป็นเจ้าที่ทรงพลังที่สุดในโลกใบนี้ แต่น่าแปลกที่เมืองซึ่งเกิดขึ้นจากหกปรารถนากลับไม่ใช่หกเมือง แต่เป็นห้าเมือง

เจ้าปรารถนาก็เช่นกัน มีเพียงห้าคน

เมืองปรารถนาอารมณ์ที่เป็นหนึ่งในนั้นไม่มีอยู่แล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือไม่มีอยู่ในโลกแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังมีข่าวลือว่า ในหมู่หกปรารถนา เจ้าปรารถนาอารมณ์ก็ยังไม่มาถึง

เรื่องภายในโดยละเอียดนั้น หวังเป่าเล่อยังไม่รู้ สิ่งที่เขารู้ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้รู้เท่านั้น ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็คาดเดาเกี่ยวกับการฝึกตนของเจ้าแห่งหกปรารถนาได้บ้าง

แต่ละคนน่าจะมีพลังเกือบถึงขั้นห้าทั้งสิ้น ถึงขั้นที่ไม่แน่ว่าอาจแข็งแกร่งกว่า เพราะว่า…นอกจากสถานะเจ้าปรารถนาของพวกเขาแล้ว ยังมีสถานะอีกหนึ่งอย่างด้วย

นั่นก็คือ…ศิษย์แห่งจักรพรรดิ

เรื่องเหล่านี้มีบางอย่างบันทึกไว้ในตำรา บางอย่างหวังเป่าเล่อก็ได้ยินมาจากปากของผู้อาวุโสชั้นสูงในหมู่บ้านตอนที่มาถึงเมื่อไม่กี่เดือนก่อนแล้วลงเขาไปคารวะ

โลกใบนี้มีวิญญาณเทพเจ้าหนึ่งองค์มาตั้งแต่สมัยโบราณ

นามของวิญญาณเทพเจ้าองค์นี้มีอยู่นามเดียว

จักรพรรดิ!

วิญญาณจักรพรรดิคือองครักษ์ผู้คุ้มครองเทพองค์นี้ และเจ้าแห่งหกปรารถนาก็คือศิษย์ของเทพองค์นี้

แต่ว่าวิญญาณเทพหลับใหลมาโดยตลอด บางครั้งบางคราวจึงจะตื่นขึ้นมา ดังนั้นมนุษย์โลกจึงไม่อาจสัมผัสได้ แต่สถานที่ที่วิญญาณเทพองค์นี้หลับใหลนั้นมีผู้พิทักษ์อยู่คนหนึ่ง ผู้พิทักษ์คนนี้อยู่เหนือกว่าศิษย์แห่งจักรพรรดิ ยามที่วิญญาณเทพหลับใหล เขาก็ควบคุมโลกทั้งใบไว้

พลังฝึกตนของเขา…ไม่อาจคาดคะเน ตามที่ผู้อาวุโสชั้นสูงในหมู่บ้านท่านนั้นบอกมา เมื่อนานมาแล้ว เจ้าแห่งเจ็ดอารมณ์เคยร่วมมือกันต่อสู้กับผู้พิทักษ์ผู้นี้ แต่กลับพ่ายแพ้ ถูกผู้พิทักษ์ผู้นี้ทำให้บาดเจ็บสาหัส

จึงได้สร้างโอกาสให้หกปรารถนารุ่งเรืองขึ้น

ทุกอย่างนี้ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งไม่อาจกระทำบุ่มบ่ามได้ เขาเดาได้ว่าวิญญาณเทพที่ว่านี้ก็คือมหาเทพ ส่วนผู้พิทักษ์…เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นร่างแยกของมหาเทพหรือไม่ แต่เมื่อคาดเดาจากพลังแล้ว คล้ายจะไม่ใช่ เห็นได้ชัดว่าผู้พิทักษ์คนนี้แข็งแกร่งกว่า

ถึงขั้นเป็นรองแค่มหาเทพก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ดังนั้น เขายังต้องตรวจสอบอีกที คิดจะหลอมรวมเข้ากับโลกใบนี้ให้ได้อย่างสมบูรณ์ มีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะมีโอกาสไปอยู่ตรงหน้ามหาเทพแล้วผสานเข้าไปในหมุดไม้ดำเพื่อแก้ไขเหตุต้นผลกรรมกับเขา

“บางทีหากมองจากโลกภายนอก จักรวาลทั้ง 108 แห่งของมิติเต๋าต้นกำเนิดแห่งนี้อาจไม่มีอยู่จริง แต่ความจริงที่นี่ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์ไปแล้ว”

ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็หลับตาลง ตระหนักรู้ถึงกฎเกณฑ์แห่งเต๋าสายสุขต่อไป

ขณะเดียวกันนั้น ในระดับชั้นที่สูงยิ่งกว่าโลกใบนี้ โลกชั้นที่หนึ่งในตำนาน ‘โลกนิทรา’ ที่แห่งนี้ไม่มีกลางวัน แผ่นดินใหญ่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังและซากศพ ราวกับว่าความตายและความแห้งแล้งคือท่วงทำนองหลักของสถานที่แห่งนี้

ท่ามกลางกองซากปรักหักพังผืนนี้มีรูปสลักตั้งตรงอยู่ที่นั่น รูปสลักนี้คือนกแก้วขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง

บนหัวนกแก้วมีคนชุดคลุมดำนั่งขัดสมาธิอยู่ ชุดคลุมยาวของเขาตัวใหญ่มาก ไม่เพียงครอบคลุมส่วนหัวของคนผู้นี้เท่านั้น แต่ยังแผ่กระจายลงมาคลุมรูปสลักไปเสียครึ่งตัว

ราวกับว่าวันเวลาในที่นี้ไร้ที่สิ้นสุด และชั่วขณะนี้เอง คนชุดคลุมดำก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ความดำมืดที่ถูกชุดคลุมดำปกคลุมอยู่นั้นพลันมีแววตาปรากฏขึ้นมา มันจ้องมองไปยังแผ่นดินใหญ่ ราวกับกำลังเสาะหา

ผ่านไปพักหนึ่ง ดวงตาที่เปิดขึ้นและคล้ายค้นหาไม่สำเร็จผลก็ปิดตาลงอย่างช้าๆ อีกครั้ง

…………………