ตอนที่ 2343 พวกมันไม่สำคัญเลย!

อัจฉริยะสมองเพชร

“ความสัมพันธ์ของเจ้านายกับลูกน้อง สายสัมพันธ์พี่น้อง ความสนิทแนบแน่นของครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ ความรักความผูกพันระหว่างพ่อแม่กับลูก ความรักที่ร้อยรัดผู้คนเอาไว้ด้วยกัน…สิ่งเหล่านี้ผสมผสานกันจนก่อเกิดเป็นโลกใบนี้ขึ้นมา นั่นคือความหมายของการมีชีวิตอยู่” จางเซวียนพึมพำกับตัวเองและยิ้มออกมา

ในวินาทีที่จิตวิญญาณของเขาเป็นอิสระจากพันธนาการของหอสมุดเทียบฟ้า เขาก็พลันเข้าใจ

โลกนี้มีอยู่เพราะสิ่งมีชีวิตเกิดการรับรู้สภาพแวดล้อมของมัน หรือโลกคือผู้บ่มเพาะสิ่งมีชีวิตลำดับแรก*?*

เป็นลมที่พัดไหว*…หรือหัวใจกันแน่ที่พัดไหว?*

นี่คือคำถามที่ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างขบคิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา

และแน่นอนว่าสำหรับจางเซวียนในเวลานี้…พวกมันไม่สำคัญเลย!

หากปราศจากชีวิตจิตใจ การได้อาศัยอยู่ในโลกใบนี้จะมีความหมายอะไร?

ดังนั้น สิ่งที่เหนือไปกว่าความรักก็คือชีวิตจิตใจของโลก ชีวิตจิตใจของสรรพชีวิตที่ถักทอร้อยรัดเข้าด้วยกันในโลกใบนี้

ทุกอย่างในโลกล้วนมีชีวิตจิตใจ เพราะการมีชีวิตจิตใจเท่านั้นที่ทำให้โลกตั้งอยู่ได้ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ทุกชีวิตยังคงดำรงอยู่

ความรักคือชีวิตจิตใจ

ความเกลียดชังคือชีวิตจิตใจ

ความรื่นรมย์คือชีวิตจิตใจ

ความเจ็บปวดคือชีวิตจิตใจ

ปฏิสัมพันธ์ต่างๆในโลกใบนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับชีวิตจิตใจทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการลาจากหรือการได้กลับมาพบกันใหม่

“เราจะนำชีวิตจิตใจของโลกมาใช้ประโยชน์ให้ได้!”

จางเซวียนคำราม ในที่สุดเขาก็ก้าวข้ามด่านคอขวดที่สกัดกั้นอยู่ได้สำเร็จ กลายเป็นผู้ที่อยู่เหนือความเป็นจอมราชันย์

ในตอนนั้น ราวกับโลกใบใหม่เอี่ยมได้ปรากฏตรงหน้า จิตวิญญาณของเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้การบ่มเพาะ

พลังงานดึกดำบรรพ์พลุ่งพล่านอยู่ในร่างของเขา ทำให้ตัวเขาพัฒนาขึ้นสู่ระดับใหม่

ที่ผ่านมา จางเซวียนจะยกระดับวรยุทธได้ก็ด้วยการซึมซับพลังจิตวิญญาณเท่านั้น แต่การพัฒนาตัวเองในครั้งนี้ทำให้ข้อบังคับนั้นถูกทำลายไป หลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนแห่งมิติ พลังงานดึกดำบรรพ์ที่อบอวลอยู่ในอากาศ หรือแม้แต่แสงสีเขียวที่เกิดจากการเจือจางพลังปราณเทียบฟ้า เขาก็นำมาใช้ได้

“แก…”

ไอ้โหดนึกไม่ถึงว่าการโจมตีของมันจะคร่าชีวิตจางเซวียนไม่ได้ ซ้ำยังช่วยให้หมอนั่นฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จด้วย มันตัวสั่นด้วยความโกรธแค้น จากนั้นก็ตวาดก้องขณะปล่อยการโจมตีอีกครั้ง

“แกโกรธแค้นเหล่าจอมราชันย์ผู้สูงส่งที่ไม่อาจช่วยแกออกจากมิติที่วุ่นวายกับสน นั่นคือชีวิตจิตใจ, แกรู้สึกเสียศักดิ์ศรีและถูกหยามหน้าที่ต้องกลายเป็นคนรับใช้ของฉัน นั่นคือชีวิตจิตใจ, แกปรารถนาจะทำลายโลกใบนี้เพื่อระบายความเคืองแค้น นั่นคือชีวิตจิตใจ, แกอยากจะก้าวไปอยู่ในจุดที่เหนือกว่าใครๆทั้งหมดเพื่อให้ได้พละกำลังและอำนาจสูงสุด นั่นก็คือชีวิตจิตใจเช่นกัน…แกถูกชีวิตจิตใจของตัวเองบงการอยู่ แล้วจะไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฉันได้อย่างไร?” จางเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังก้องไปถึงโลกทุกใบ

เขายกมือ แล้วชีวิตจิตใจทั้งหมดที่ก่อเกิดขึ้นเป็นไอ้โหดก็ร้อยรัดร่างของมันไว้อย่างแน่นหนา สกัดกั้นทุกการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

ด้วยสิ่งนี้ ไอ้โหดผู้ไร้เทียมทานก็สิ้นฤทธิ์

ขอแค่ผู้นั้นยังมีชีวิตจิตใจ ก็ย่อมตกอยู่ใต้คำพิพากษาและการตัดสินใจของเขา

“คุณ…” ไอ้โหดตาเหลือกลานด้วยความพรั่นพรึง “ปรมาจารย์จาง, ผมเป็นคนรับใช้ของคุณนะ ได้โปรดอย่าฆ่าผมเลย…ผมพร้อมแล้วที่จะมอบจิตวิญญาณของผมให้คุณอีกครั้ง…”

“สายไปแล้วล่ะที่จะพูดแบบนี้” จางเซวียนมองไอ้โหดอย่างเย็นชาขณะส่ายหน้า

เจ้านี่คือคนที่ทำร้ายคนรักของเขา หลัวฉีฉี อีกทั้งศิษย์สายตรงและสหายของเขาอีกมากมาย มันพยายามทำลายทั้งสรวงสวรรค์เพียงเพื่อระบายความแค้นของตัวเอง เข่นฆ่าผู้คนล้มตายไปนับไม่ถ้วน

เขาจะปรานีไอ้โหดได้อย่างไร?

“ไม่นะ…”

ไอ้โหดรับรู้ได้ถึงความเด็ดขาดของจางเซวียน มันหรี่ตาขณะพยายามเผ่นหนี แต่เพียงครู่เดียว ก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากการถูกแทงอย่างแรง

ฟึ่บ!

ร่างของไอ้โหดระเบิด กลายสภาพเป็นกระแสพลังจิตวิญญาณนับสายไม่ถ้วนที่แผ่ซ่านออกไปทั่วทั้งสรวงสวรรค์

พลังงานที่ก่อนหน้านี้เคยถูกรอยแยกแห่งมิติกับทะเลท่วมท้นกลืนกินเข้าไปถูกส่งคืนสู่สรวงสวรรค์ มอบชีวิตใหม่ให้กับความแห้งแล้งทุรกันดาร

…..

“เอ่อ…”

“จบแบบนี้หรือ?”

จอมราชันย์มังกรเมฆ จอมราชันย์อมตะ เทพธิดาหลิงหลง และคนอื่นๆถึงกับพูดไม่ออก พวกเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ทุกคนปะทะกับไอ้โหดมาแล้ว จึงรู้ดีว่าพละกำลังของอีกฝ่ายน่าสะพรึงอย่างไร แต่นักรบที่มีพลังล้นเหลือแบบนั้นก็ยังถูกสังหารได้ แล้วจางเซวียนจะต้องทรงพลังขนาดไหนกัน?

ยังมีระดับขั้นที่เหนือกว่าจอมราชันย์ด้วยหรือ?

…..

“เขาทำสำเร็จ…”

ในที่สุด ปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิงก็ได้คลายหมัดที่เคยกำแน่น

…..

“นี่คือเศษเสี้ยวสุดท้ายของสรวงสวรรค์ เราจะคืนมันให้สรวงสวรรค์เดี๋ยวนี้แหละ…”

มลทินสวรรค์ที่จางเซวียนนำออกมาจากร่างของเขากำลังลอยอยู่เหนือศีรษะ

วิ้งงง!

ด้วยการโบกมือ หอสมุดเทียบฟ้าที่อยู่กับเขามาตลอดนับตั้งแต่ทะลุมิติมาก็ลอยขึ้นสู่กลางอากาศ หลอมรวมเข้ากับท้องฟ้าของสรวงสวรรค์

มีเสียงระฆังดังกึกก้อง สรวงสวรรค์ที่พังทลายไม่มีชิ้นดีกลับมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ความเป็นระเบียบเริ่มกลับคืนสู่กระแสพลังจิตวิญญาณที่เคยปั่นป่วนอยู่ในอากาศ

“ดูเหมือนสรวงสวรรค์กำลังจะเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองจากการฟื้นคืนชีพของพลังจิตวิญญาณ…” จางเซวียนหัวเราะหึๆ

รอยแยกแห่งมิติที่เคยมีอยู่ต่างปิดตัวลงหลังจากที่สรวงสวรรค์หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น อีกไม่นานสรวงสวรรค์ก็จะกลับคืนสู่สภาพแข็งแกร่งสูงสุด

…..

“จางเซวียน มานี่เถอะ”

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวสมองของจางเซวียน เขาชะงักไปเล็กน้อยในตอนแรก แต่ก็ก้าวออกไปหนึ่งก้าว เข้าหาทิศทางที่เสียงนั้นแว่วมา

เพียงก้าวเดียวนั้นดูจะนำเขาข้ามพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตมาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มคนหนึ่ง

คือชายหนุ่มที่เคยสอนศิลปะเพลงดาบให้เขาในครั้งนั้น!

“ผู้อาวุโส, คุณ…”

เมื่อเห็นว่าเป็นอีกฝ่าย จางเซวียนถึงกับผงะ

เขาเคยคิดว่าชายหนุ่มคือผู้ทรงพลังเกินหยั่งถึง ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

แม้ตัวจางเซวียนเองในสภาวะนี้ ก็รู้ตัวดีว่าแข็งแกร่งกว่าชายหนุ่มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกฝ่ายเข้าถึงความเป็นสุดยอดของจอมราชันย์แล้ว มีพละกำลังและอำนาจเหนือกว่าหลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงเสียอีก

“ผมชื่อเนี่ยถง คุณเรียกชื่อผมก็ได้” ชายหนุ่มทักทาย

“เนี่ยถง?” จางเซวียนทวนชื่อนั้นอย่างสงสัย

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อนี้

“ตามผมมา ผมจะพาคุณไปพบพี่ชายของผม” เนี่ยถงพูดขณะออกเดินนำ

จางเซวียนตามไปติดๆ

หลังจากเดินทางไปอีกไกลจนไม่อาจกะประมาณระยะทางได้ ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง

ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือชายหนุ่มอีกคนซึ่งมีนัยน์ตาล้ำลึกราวกับหลุมดำ ทำให้แทบไม่อาจมองทะลุเขาได้เลย

“พละกำลังนี้…” จางเซวียนตัวสั่น

เขาดูออกว่าชายหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งกว่าเขามาก อีกฝ่ายเข้าถึงขั้นเหนือขีดจำกัดของจอมราชันย์แล้ว อีกทั้งวรยุทธก็ล้ำลึกและมั่นคงกว่าเขาหลายเท่า

“ผมคือเนี่ยหยุน” ชายหนุ่มแนะนำตัวกับจางเซวียนพร้อมกับยิ้มให้ “และเป็นท่านพ่อของหลินชี หรือบางที…คุณอาจจดจำเธอในชื่อหลัวลั่วชิงมากกว่า!”

“ท่านพ่อของลั่วชิง?” จางเซวียนอัศจรรย์ใจ “คุณคือสวรรค์ของสรวงสวรรค์แห่งนี้?”

หลัวลั่วชิงเคยบอกเขาว่าท่านพ่อของเธอคือสรวงสวรรค์ แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยังหนุ่มขนาดนี้

“ในครั้งนั้น ผมแบ่งเจตจำนงของผมออกเป็น 3 เสี้ยว โดยเสี้ยวหนึ่งกลายเป็นสรวงสวรรค์ อีกอย่าง โลกนี้ผมก็เป็นผู้สร้างขึ้นมา จึงไม่ผิดหรอกหากจะพูดว่าผมคือสวรรค์ของสรวงสวรรค์แห่งนี้” เนี่ยหยุนอธิบายยิ้มๆ

จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ

แท้ที่จริง สรวงสวรรค์ถูกสร้างขึ้นโดยชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา!

แล้วอีกฝ่ายจะต้องทรงพลังขนาดไหน?

“ไม่ใช่ แบบนี้ไม่ถูกแล้วล่ะ ถ้าคุณคือผู้สร้างสรวงสวรรค์ และตัวคุณเองก็คือสวรรค์…แล้วทำไมคุณถึงทนดูเจ้าสารเลวอย่างไอ้โหดทำลายสรวงสวรรค์ได้?” จางเซวียนถาม

ถ้าไม่ใช่เพราะการฝ่าด่านวรยุทธของเขา สรวงสวรรค์คงล่มสลายไปแล้ว อีกฝ่ายคิดจะนิ่งดูดายและเฝ้าดูทุกอย่างที่ตัวเองสร้างล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาหรือ?

ไม่ห่วงลูกสาวของตัวเองบ้างหรือไง?

เนี่ยหยุนไม่ตอบ เขาจับจ้องจางเซวียนและตั้งคำถามกลับ “คุณคิดว่ายังมีผู้ที่แข็งแกร่งเหนือชั้นกว่าสรวงสวรรค์อีกไหม?”

“ผู้ที่แข็งแกร่งกว่า?” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ผมว่ามี…”

เขายังไม่เคยพบใครที่เป็นแบบนั้น แต่ในเมื่อตัวเขาฝึกฝนวรยุทธมาถึงระดับนี้ได้ ก็ต้องมีคนอื่นทำได้เหมือนกัน

ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง

“ผมสงสัยเรื่องนี้มาตลอด จึงพยายามใช้พละกำลังและอำนาจที่มีเพื่อคอยเฝ้าดู แต่การกระทำของผมนำมาซึ่งการลงทัณฑ์จากโลกใบที่สูงกว่า…คือฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ยื่นลงมาเพื่อฉีกกระชากสรวงสวรรค์ในครั้งนั้น” เนี่ยหยุนพูด “ถ้าผมหลบ สรวงสวรรค์จะต้องพังพินาศเพราะการโจมตีนั่น สรรพชีวิตจะล้มตายสาบสูญ ผมจึงรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อต้านทานพลังจากฝ่ามือ แต่ผลที่ได้ก็คือสวรรค์ลงเอยด้วยการแตกออกเป็น 3 เศษเสี้ยว”

“เพียงแค่ใช้ความคิดแวบเดียว ผมก็เรียกพละกำลังกลับคืนมาได้ แต่ผมรู้ดีว่าถ้าผมอยากก้าวข้ามขีดจำกัดของสรวงสวรรค์ ค้นหาต้นกำเนิดของฝ่ามือ และสำรวจโลกที่อยู่เหนือกว่าสรวงสวรรค์ไปอีก ก็คงไม่อาจทำตามลำพัง ผมจึงอยากเห็นว่าในโลกนี้, มีใครอื่นอีกไหมที่จะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของจอมราชันย์และมาอยู่ในระดับขั้นเดียวกับผมได้”

“ดังนั้น ผมจึงส่งเศษเสี้ยวสวรรค์ลงไปยังโลกเบื้องล่าง ให้เศษเสี้ยวหนึ่งอยู่กับจิตวิญญาณดวงหนึ่งในโลกใบนี้และอีกเศษเสี้ยวหนึ่งอยู่กับจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งในโลกอีกใบ ซึ่งคุณก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง” เนี่ยหยุนอธิบาย

“จิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งในโลกอีกใบ…แปลว่าการที่ผมทะลุมิติมายังโลกใบนี้ก็เป็นฝีมือคุณหรือ?” จางเซวียนตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ

คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้รู้ที่มาที่ไปของการทะลุมิติของตัวเอง

“ฮ่าฮ่า!” เนี่ยหยุนหัวเราะ “ประชากรดั้งเดิมของโลกใบนี้น่ะมีความยำเกรงต่อโลกและสวรรค์อยู่มาก ทำให้การก้าวข้ามขีดจำกัดของธรรมชาติเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจอย่างปัจจุบันทันด่วนของผมก็จริง แต่คุณก็ทำได้ดีกว่าที่ผมคิดไว้หลายเท่า”

“ผม…” จางเซวียนหน้าแดงก่ำ “ถ้าไม่ใช่เพราะปรมาจารย์ขง ผมก็มาถึงขั้นนี้ไม่ได้หรอก”

ความสำเร็จของเขาอยู่บนรากฐานของคำชี้แนะจากบรรพบุรุษ ถ้าไม่ใช่เพราะผู้คนมากมายได้แผ้วถางเส้นทางไว้ให้ ก็คงยากจะมาถึงขั้นนี้ได้