บทที่ 1026 ตัวตนที่น่าหวาดหวั่นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 1,026 ตัวตนที่น่าหวาดหวั่นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
บทที่ 1,026 ตัวตนที่น่าหวาดหวั่นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

สิ่งที่ราชันแห่งมวลมนุษย์เห็นและสัมผัสได้ในขณะนี้ก็คือภาพและกลิ่นอายของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่เหนือโลกนี้ไปอีก ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่มีทางที่จักรพรรดิเทพผู้ใดมีสิทธิ์จะได้เห็นมาก่อน

ในเวลานี้เขารู้สึกได้ว่าดวงวิญญาณครึ่งหนึ่งที่เขาสูญเสียไปนั้นมันไม่มีค่าอะไรให้พูดถึงเลยหากเทียบสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นและสัมผัสไป

นับจากนี้มุมมองของเขาต่อสิ่งต่าง ๆ ในโลกจะเหนือกว่าผู้คนทั้งหมด ไม่มีผู้ใดเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ในโลกมากไปกว่าเขาแล้ว ยกเว้นหลิงตู้ฉิง ซึ่งเป็นเจ้าของร่าง

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ราชันแห่งมวลมนุษย์ก็เอ่ยขึ้นกับต้วนฉิงว่า “ข้าไปก่อนล่ะ มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องดับฝันไอ้พวกอสูรสารเลวเหล่านั้น!”

หลังจากพูดจบ ทั้งร่างหลักของราชันแห่งมวลมนุษย์และร่างเดิมของหลิงตู้ฉิงก็บินมุ่งหน้าไปที่แม่น้ำโลหิตเทพพระเจ้าทันที

เมื่อราชันแห่งมวลมนุษย์จากไป จิ๋นหลงและเสี่ยวเฟิงก็ปรากฏกายขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อนและเอ่ยขึ้นว่า “พันธะสุดท้ายใกล้จะได้รับการปลดเปลื้องแล้วสินะ…”

ต้วนฉิงถอนหายใจ “มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว พวกเราจำเป็นต้องจบมันลง และอีกอย่างร่างของท่านอาจารย์แข็งแกร่งเกินไป ยิ่งมันอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่มันก็ยิ่งมีความเสี่ยงว่ามันจะให้กำเนิดจิตสำนึกของตัวเองได้มากเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นโลกจะวุ่นวายอย่างไม่รู้จบในทันที โชคยังดีที่ดวงวิญญาณของอาจารย์ได้ออกไปจากร่างเดิมของเขาอย่างหมดจดแล้ว และไปเกิดใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นต่อให้ร่างนี้จะถูกทำลายลงมันก็ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีก”

อันที่จริงหากเป็นตามปกติ ตัวตนระดับนิรันดร์กาลคือผู้ที่ไม่มีวันตายทั้งร่างกายและดวงวิญญาณ ต่อให้ร่างกายจะแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงหรือดวงวิญญาณจะมอดไหม้เหลือแต่เถ้าถ่าน ร่างและดวงวิญญาณของตัวตนระดับนิรันดร์จะฟื้นกลับมาได้เสมอ

อย่างไรก็ตาม สำหรับในกรณีของหลิงตู้ฉิงนั้นนับได้ว่าเป็นกรณีพิเศษ เพราะตัวเขาจริง ๆ นั้นยังไม่ตายแถมร่างกายที่เขาใช้อยู่ตอนนี้มันถูกนับว่าเป็นร่างกายหลักไปแล้ว ดังนั้นต่อให้ร่างระดับนิรันดร์จะถูกทำลายไปมันก็จะไม่ฟื้นกลับมาอีก ซึ่งนี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่องโหว่หนึ่งของร่างกายหลิงตู้ฉิง

ในขณะเดียวกันที่บริเวณแม่น้ำโลหิตเทพพระเจ้า ทั้งฝ่างกองกำลังพันธมิตรและฝ่ายอสูรต่างก็จดจ้องกันพร้อมที่จะกระโจนเข้าหากันได้ทุกเมื่อ แต่แล้วหลังจากจดจ้องกันอยู่ไม่นาน พวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามาและสิ่งนั้นมันเป็นตัวตนที่เหนือล้ำกว่าพวกเขาทั้งหมด

บรรดาตัวตนเก่าแก่ที่เคยเจอกับหลิงตู้ฉิงในอดีตมาก่อนต่างขมวดคิ้วทันที เพราะพวกเขาต่างสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเดิม ๆ ที่พวกเขาเคยหวาดกลัวเมื่อหลายหมื่นปีที่ผ่านมากำลังมุ่งหน้าเข้ามาหา!

“เขามาแล้ว!”

บรรยากาศในตอนนี้ของทั้งสองฝั่งแม่น้ำโลหิตเทพพระเจ้าต่างเงียบกริบราวกับเป็นป่าช้า

บรรดาจักรพรรดิเทพทั้งหลายต่างไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงต่อ เนื่องจากตอนนี้พวกเขาทั้งหลายต่างรู้เหมือนราวกับว่าหลิงตู้ฉิงมาปรากฏตัวขึ้นด้วยตนเอง

ในเวลานี้ไม่ใช่แค่ฝั่งอสูรที่ตื่นตระหนก แต่บรรดาฝั่งกองกำลังพันธมิตรก็ตื่นตระหนกด้วยเช่นกัน

ไม่ใช่เจ้าบอกว่าจะยืมมาแต่ร่างไม่ใช่เหรอ? ทำไมไอ้ร่างนี้มันถึงยังดูมีชีวิตชีวาเหมือนเดิมราวกับว่าเขาผู้นั้นเดินทางมาด้วยตัวเองแบบนี้!

แผนในตอนแรกของพวกเขาคือการยืมร่างของหลิงตู้ฉิงมาศึกษาก่อน จากนั้นถึงค่อยใช้ร่างนี้ไปจัดการกับเผ่าอสูร

แต่ตอนนี้ร่างที่ควรจะไม่มีชีวิตอยู่กลับกลายเป็นร่างที่มีดวงวิญญาณสมบูรณ์พร้อมมาปรากฏกายซะอย่างนั้น แล้วแบบนี้พวกเขาจะกล้าเข้าใกล้ได้ยังไง?

แน่นอนว่าในตอนนี้พวกเขาเชื่ออย่างหมดใจแล้วว่า หลิงตู้ฉิงพิสูจน์เต๋าสำเร็จจริง ๆ เมื่อชีวิตที่แล้ว

กลิ่นอายอันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากร่างระดับนี้มันไม่ใช่ของผู้เชี่ยวชาญที่กำลังพิสูจน์เต๋าแน่นอน แต่มันก็ทำให้พวกเขาวนกลับไปที่ข้อสงสัยเดิมอีกรอบก็คือ ในเมื่อพิสูจน์เต๋าได้สำเร็จแท้ ๆ แล้วหลิงตู้ฉิงจะไปเกิดใหม่ทำไมกัน?

ในเวลาเดียวกัน สีหน้าของพวกอสูรก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันทีเมื่อเห็นว่าร่างของหลิงตู้ฉิงปรากฏขึ้น ซึ่งพวกมันแทบจะทั้งหมดเข้าใจว่าหลิงตู้ฉิงมาที่นี่ด้วยตัวเอง

พวกมันต่างเข้าใจดีว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงตู้ฉิง หลายสิ่งหลายอย่างมันจะยากขึ้นกว่าเดิมมากและชัยชนะของพวกมันก็จะไม่แน่นอนอีกต่อไป

“ไร้หทัย ข้าว่าพวกข้าก็แสดงออกอย่างชัดเจนไปตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกข้าไม่ต้องการมีเรื่องบาดหมางกับเจ้า ไม่งั้นพวกข้าก็คงส่งกองทัพบุกไปทางเจ้าด้วยแล้วจริงไหม? แล้วทำไมตอนนี้เจ้าถึงต้องมาแทรกแซงเรื่องของพวกข้าด้วย?” อสูรเก้าพักตร์เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าตรึงเครียด

“ดูเหมือนสายตาของเจ้าจะไม่ได้เรื่องเอาซะเลยนะ อสูรเก้าพักตร์เจ้าลองดูดี ๆ ว่าตอนนี้ ไร้หทัยมาด้วยตัวเองจริงรึเปล่า?” ราชันแห่งมวลมนุษย์เอ่ยขึ้น

เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาอสูรทั้งหลายต่างแสดงสีหน้างุนงงไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไง ยกเว้นฟูหวงแค่เพียงผู้เดียวที่ถอนหายใจและพูดว่า “ราชันมวลมนุษย์พูดถูกแล้ว นั่นไม่ใช่ ไร้หทัย สิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้เป็นแค่เพียงร่างของไร้หทัยที่ถูกควบคุมโดยเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของราชันมวลมนุษย์เท่านั้น”

ในฐานะที่เขาคือผู้ที่กำลังพิสูจน์เต๋า ดังนั้นเขาจึงเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ทะลุปรุโปร่งมากกว่าจักรพรรดิเทพแน่นอน

“แต่…” คุนเป๋งยังคลางแคลงใจอยู่ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนี้เศษเสี้ยวดวงวิญญาณของราชันแห่งมวลมนุษย์ถึงได้น่ากลัวขนาดนี้?

“ข้าเกรงว่าเมื่อในอดีต ไร้หทัยคงจะพิสูจน์เต๋าสำเร็จไปแล้ว และด้วยการไปสิงอยู่ในร่างกายระดับนิรันดร์กาลมันจึงทำให้เศษเสี้ยวดวงวิญญาณของราชันแห่งมวลมนุษย์กลายเป็นดูแข็งแกร่งมากขนาดนี้ เอาล่ะในเมื่อฝั่งตรงข้ามเอาร่างของไร้หทัยออกมาแบบนี้มันก็แสดงว่าวันนี้คือศึกตัดสิน พวกเจ้าทั้งหลายรับมือกับจักรพรรดิเทพคนอื่น ๆ ของฝั่งตรงข้ามไป ส่วนข้าจะรับมือกับร่างของไร้หทัยด้วยตัวเอง!” ฟูหวงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น

สาเหตุที่เขาตื่นเต้นเป็นเพราะเขาเพิ่งจะอยู่ในก้าวแรกของการพิสูจน์เต๋า ซึ่งการได้เจอกับร่างของหลิงตู้ฉิงที่อยู่ในระดับนิรันดร์กาลเช่นนี้มันเป็นเหมือนดั่งการพบสมบัติอันล้ำค่า

เขาสามารถใช้การต่อสู้นี้ศึกษาความลับระดับนิรันดร์กาลได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะช่วยให้เขาพิสูจน์เต๋าได้ง่ายขึ้นในอนาคต

เมื่อพูดจบ ฟูหวงบินขึ้นไปบนฟ้าทันทีและส่งสัญญาณให้ราชันแห่งมวลมนุษย์บังคับร่างของหลิงตู้ฉิงบินขึ้นมาสู้กับเขา

แน่นอนว่าราชันแห่งมวลมนุษย์ไม่ปฏิเสธ เขารีบบินตามขึ้นไปทันทีเหนือหมู่เมฆ

เมื่อเห็นว่าการต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว บรรดาผู้เชี่ยวชาญของฝั่งกองกำลังพันธมิตรก็เตรียมพร้อมจู่โจมพวกอสูรทันทีเช่นกัน

อย่างไรก็ตามบรรดาตัวตนเก่าทั้งหลายต่างไม่ทำเช่นนั้น พวกเขากลับยืนอยู่เฉย ๆ ไม่มีท่าทีว่าจะลงมือเลย

เจ้าแห่งพรตเต๋า จักรพรรดินีฟีนิกซ์ จักรพรรดิเทพของภูเขาเบญจธาตุต่งชิง จักรพรรดิเทพเงานิรันดร์และจักรพรรดิเทพเก่าแก่อีกหลายคนต่างเอาแต่ยืนมองการต่อสู้บนท้องฟ้าของราชันแห่งมวลมนุษย์และฟูหวงอย่างเงียบ ๆ อันที่จริงแม้แต่ร่างหลักของราชันแห่งมวลมนุษย์ก็ไม่ได้ลงมือบุกพวกอสูรเลยด้วยซ้ำ เขาบินกลับมารวมกลุ่มอยู่กับกองทัพของเขาเอง และบังคับร่างของหลิงตู้ฉิงให้สู้กับฟูหวงเพียงอย่างเดียว

เมื่อบรรดาจักรพรรดิเทพคนอื่น ๆ ที่กำลังจะลงมือโจมตีเห็นเช่นนี้ พวกเขาต่างก็ชะงักงัน จากนั้นเมื่อครุ่นคิดได้อยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาจึงบินกลับไปรวมกลุ่มกับคนของพวกเขาเหมือนเดิม

ในเมื่อพวกเจ้าไม่คิดจะลงมือทำอะไรแบบนี้มันดีเหมือนกัน!

พวกเขาเองต่างก็อยากดูอำนาจของร่างกายระดับนิรันดร์กาลอย่างละเอียดเช่นกัน เพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ เอาไปทำความเข้าใจกับการบ่มเพาะในอนาคต

“บึม!!!!”

ทันทีที่เสียงระเบิดดังขึ้น ร่างสีขาวดิ่งลงมาจากท้องฟ้าและกระแทกลงไปที่พื้นบริเวณค่ายของฝั่งอสูรอย่างรุนแรงจนเป็นหลุมลึกไม่ต่ำกว่า 20 เมตร

คนอื่น ๆ ต่างหรี่ตามองขึ้นไปที่ร่างของหลิงตู้ฉิงที่ลอยอยู่บนฟ้าพลางคิดในใจว่า ร่างกายของหลิงตู้ฉิงที่ถูกควบคุมโดยราชันแห่งมวลมนุษย์สามารถสำแดงอำนาจได้ถึงระดับนี้เลยงั้นเหรอ?