บทที่ 1,027 อู๋เมิ่งกับหายนะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
เมื่อเห็นว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของฝั่งตนถูกอัดจนกระเด็นราวกับว่าวที่สายป่านขาด
บรรดาอสูรทั้งหลายต่างรีบบินมาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนกทันที “ฟูหวง ท่านเป็นอะไรรึเปล่า?”
“ข้าไม่เป็นไร!” ฟูหวงค่อย ๆ ยันกายขึ้นพร้อมกับส่ายหัว
ตอนนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นตึงเครียด เขาเองไม่นึกเลยว่าร่างของหลิงตู้ฉิงที่ถูกควบคุมด้วยเศษเสี้ยวดวงวิญญาณจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้
เมื่อเห็นว่าร่างของหลิงตู้ฉิงกำลังค่อย ๆ ลอยต่ำลงมา ฟูหวงตะโกนขึ้นสั่งกับอสูรจักรพรรดิเทพทั้งหมดทันที “พวกเจ้าทุกคนเตรียมโจมตีพร้อมกับข้า ราชันแห่งมวลมนุษย์ไม่ใจดีปล่อยให้พวกเรารอดไปได้ง่าย ๆ แน่นอน”
ในทันทีที่ฟูหวงพูดจบ ราชันแห่งมวลมนุษย์บังคับร่างของหลิงตู้ฉิงปล่อยหมัดยักษ์ใส่ค่ายของฝั่งอสูรทันทีหมัดหนึ่ง ซึ่งอสูรช้างที่อยู่ในระดับจักรพรรดิเทพก็รีบเอาตัวมาขวางการโจมตีไว้พร้อมกับปล่อยหมัดสวนออกไป
บึมมมม!!
เสียงปะทะของหมัดดังลั่นไปนับแสนลี้ ส่วนผลลัพธ์ที่ออกมานั้นฝั่งอสูรยังโชคดีที่อสูรช้างสามารถต้านทานการโจมตีของร่างหลิงตู้ฉิงเอาไว้ได้ แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยร่างของอสูรช้างที่หายไปถึงครึ่งซีก
แน่นอนว่าในฐานะที่เป็นถึงจักรพรรดิเทพระดับสูงสุด อสูรช้างจึงยังไม่ตายแต่กว่าที่เขาจะฟื้นฟูร่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมคงจะต้องใช้เวลานานหลายพันปี
เมื่อป้องกันการโจมตีเมื่อครู่ได้แล้ว บรรดาอสูรทั้งหลายต่างก็รีบหันกลับมาดูท่าทีของกองกำลังพันธมิตรคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้ากังวล หากตอนนี้พวกเขาโดนโจมตีพร้อม ๆ กันทั้งบนฟ้าและพื้นดิน พวกเขาจะตกอยู่ในที่นั่งลำบากทันที
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกอสูรเห็นก็คือกองกำลังพันธมิตรคนอื่น ๆ ต่างไม่มีท่าทีว่าจะลงมือทำอะไรเลย
ทางด้านของฝั่งกองกำลังพันธมิตร ในขณะนี้ก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อเห็นว่าร่างของหลิงตู้ฉิงมันแข็งแกร่งเกินที่ใครจะต้านทานไหวแม้แต่กับพวกเขาเอง!
หากในอนาคตไร้หทัยใช้ร่างนี้รังแกพวกเขา พวกเขาจะสู้ได้ยังไง? มันไม่ใช่ว่าไร้หทัยจะกลายเป็นผู้ครองโลกไปโดยปริยายเลยไม่ใช่เหรอ?
นี่ขนาดราชันแห่งมวลมนุษย์เป็นผู้บังคับร่างนี้ยังสามารถอัดฟูหวงจนกระเด็นได้อย่างง่ายดาย แล้วถ้าเป็นหลิงตู้ฉิงบังคับมันเองพวกเขาที่เป็นแค่จักรพรรดิเทพจะไปเหลืออะไร?
เพื่อเป็นการรักษาสมดุลอำนาจให้กับโลกใบนี้เป็นดังเดิมต่อไป ดังนั้นพวกเขาคงจะปล่อยให้ร่างนี้ดำรงอยู่ต่อไปไม่ได้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่คิดจะลงมือทำลายร่างนี้ด้วยตัวเองเพราะถ้าทำแบบนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับการประกาศสงครามกับตำหนักไร้หทัย ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำจึงมีแค่มองดูเหตุการณ์อยู่เฉย ๆ เท่านั้น ปล่อยให้พวกอสูรจัดการกับร่างนี้ไปโดยที่พวกเขาไม่ลงมือแทรกแซง
การทำเช่นนี้มันถือว่าพวกเขาได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ประการแรกพวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการผิดใจกับตำหนักไร้หทัยได้อย่างหมดจด เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นคนลงมือทำลายร่างของหลิงตู้ฉิง ประการที่สองถึงแม้ร่างของหลิงตู้ฉิงจะแข็งแกร่ง แต่มันก็ไม่ได้ไร้เทียมทานขนาดนั้น เพราะมันถูกควบคุมโดยเศษเสี้ยววิญญาณของราชันแห่งมวลมนุษย์เท่านั้นเอง ดังนั้นหากพวกอสูรร่วมมือกันทั้งหมดร่างนี้มันก็น่าจะถูกทำลายลงได้ แต่แน่นอนว่าพวกฝั่งอสูรเองก็จะต้องเสียหายอย่างย่อยยับเหมือนกัน ซึ่งนั่นเป็นผลดีต่อพวกเขา ประการที่สามพวกเขาสามารถใช้โอกาสนี้ที่พวกเขาไม่ต้องต่อสู้กับใครพุ่งสมาธิไปที่การสังเกตอำนาจของตัวตนระดับนิรันดร์กาลได้แบบเต็ม ๆ เพื่อเอามาช่วยทำให้พวกเขามีความเข้าใจกับการบ่มเพาะในอนาคตมากขึ้น
อันที่จริงในตอนแรกพวกเขาเองก็กังวลเหมือนกันกลัวว่าราชันแห่งมวลมนุษย์จะไม่เห็นด้วย แต่เมื่อพวกเขามองไปที่ท่าทีของราชันแห่งมวลมนุษย์ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นพวกเขาต่างก็โล่งใจกันเป็นอย่างมาก
ในเวลาเดียวกัน ทางฝั่งพวกอสูรเมื่อเห็นท่าทีของฝั่งกองกำลังพันธมิตรแบบนี้พวกมันก็เข้าใจเหมือนกันว่าฝั่งตรงข้ามพวกมันต้องการอะไร ดังนั้นพวกมันทั้งหลายจึงไม่สนใจกับพวกกองกำลังพันธมิตรอีก พวกมันรวมพลังกันและพุ่งเข้าไปหาร่างของหลิงตู้ฉิงเพื่อจุดมุ่งหมายในการทำลายร่างนี้ให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ส่งผลให้การต่อสู้รุนแรงขึ้นไปอีกจนฟ้าถล่มแผ่นดินแตกสลายกันเลยทีเดียว
เหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นขนาดนี้ไม่ใช่แค่เพียงผู้คนของโลกเบื้องบนเท่านั้นที่รู้สึก แต่ในโลกเบื้องล่างใครบางคนก็สัมผัสมันได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
หัวหน้าผู้พิทักษ์ประตูสังสารวัฏ ผู้ซึ่งถูกส่งมาเกิดใหม่ในโลกเบื้องล่างก็สัมผัสได้ถึงเหตุการณ์นี้เช่นกัน เขาอดไม่ได้ที่จะแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าพลางส่ายหัวและพึมพำกับตัวเองว่า “ไอ้คนผู้นั้นมันสร้างเรื่องวุ่นวายอีกแล้ว!”
แต่แล้วหลังจากที่เขาคำนวณดูเวลาที่เขายังคงเหลืออยู่ในโลกเบื้องล่างเสร็จ เขาก็ถอนหายใจและพูดว่า “เฮ้อช่างเถอะ ในเมื่อช่วงนี้มันคือช่วงเวลาพักผ่อนของข้า ถ้างั้นข้าจะทำเป็นไม่เห็นอะไรก็แล้วกัน”
เขาตัดสินใจว่าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ท่องเที่ยวในโลกเบื้องล่างให้คุ้มค่าที่สุด เพราะหลังจากนี้เมื่อเขาต้องกลับไปทำหน้าที่เดิมเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีโอกาสได้มามีอิสระแบบนี้อีกรึเปล่า
ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ที่หน้าประตูสังสารวัฏก็กลับมาวุ่นวายอีกครั้ง เพราะเมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นบรรดาอสูรระดับต่ำ ๆ ต่างก็โดนลูกหลงจากการต่อสู้กันขนานใหญ่จนบาดเจ็บล้มตายกันไปเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งมันส่งผลให้จำนวนดวงวิญญาณที่จะต้องไปเกิดใหม่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์อีกรอบ
ทางด้านของหลิงตู้ฉิงก็นั่งบนบัลลังก์มองเหล่าดวงวิญญาณดวงแล้วดวงเล่าที่กำลังไปเกิดใหม่จนท้ายที่สุดเวลาก็ผ่านไปอีก 5,000 ปี
หลังจากนั่งศึกษาประตูสังสารวัฏอยู่ 5,000 ปี ในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็เข้าใจทุกอย่างได้อย่างแจ่มชัดในเรื่องกระบวนการเกิดใหม่
จากนั้นร่างของเขาก็ไปโผล่ในโลกของเขาเองตรงหน้าอู๋เมิ่ง
ในตอนแรกที่ถูกส่งตัวเข้ามาอยู่ในโลกของหลิงตู้ฉิง อู๋เมิ่งรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปหลายพันปีจนมาถึงปัจจุบันความรู้สึกหวาดกลัวในตอนแรกก็ถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้น
เขาไม่นึกเลยว่าโลกของหลิงตู้ฉิงจะไม่เหมือนกับโลกของใครเลยแบบนี้ โลกของหลิงตู้ฉิงมันให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับโลกที่แท้จริงเหมือนกับโลกภายนอก และยิ่งไปกว่านั้นด้วยการที่โลกของหลิงตู้ฉิงกำลังวิวัฒนาการตัวเองอยู่เรื่อย ๆ มันจึงทำให้เขาได้เห็นความลับของหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำเนิดโลกที่น้อยคนนักจะได้รู้
ที่สำคัญในโลกของหลิงตู้ฉิงยังเต็มไปด้วยสรรพชีวิตมากมายรวมไปถึงสมบัติและทรัพยากรในการบ่มเพาะแบบต่าง ๆ จำนวนมาก ซึ่งทรัพยากรเหล่านี้มันล้ำค่าจนถึงขนาดที่แม้แต่ตัวอู๋เมิ่งเองก็ยังต้องการเอาพวกมันมาบ่มเพาะ
ในตอนนี้อู๋เมิ่งเริ่มมีความคิดประหลาด ๆ ในใจขึ้นมาว่าเขาอยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไปด้วยซ้ำ
แต่แล้วจู่ ๆ ความฝันทั้งหมดของเขาก็พังทลายลง เพราะการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของหลิงตู้ฉิง
ในทันทีที่หลิงตู้ฉิงปรากฏกายขึ้น อู๋เมิ่งสั่นเทาไปทั้งร่างด้วยความหวาดกลัวเพราะเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้เวลาตายของเขาได้มาถึงแล้ว
อันที่จริงเขาตายก่อนที่จะได้ทันรู้สึกตัวว่าตายแล้วด้วยซ้ำ!
เมื่อสังหารอู๋เมิ่งไปเรียบร้อย หลิงตู้ฉิงเริ่มการทดลองของเขาทันที เขาควบคุมเต๋าแห่งการเกิดใหม่ในโลกของเขาเองส่งดวงวิญญาณของอู๋เมิ่งเกิดใหม่ในโลกของเขา
ประตูสังสารวัฏที่เขาได้มาจากโลกของแม่น้ำมหาดาราก่อนหน้านี้มันไร้ซึ่งเต๋าแห่งการกำเนิดใหม่ ดังนั้นมันจึงทำได้แค่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตในโลกของหลิงตู้ฉิงที่หมดอายุขัยตายลงและอนุญาตให้มีชีวิตใหม่กำเนิดขึ้นได้ตามธรรมชาติก็เท่านั้น ซึ่งนี่เป็นเพียงสิ่งพื้นฐานเท่านั้น แต่ความต้องการของหลิงตู้ฉิงมันมากกว่านั้น เขาต้องการทำให้โลกของเขาสมบูรณ์แบบเหมือนกับโลกที่แท้จริงโดยการที่โลกของเขาต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดเพิ่มเข้ามาด้วย!