ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 109 หากเขาต้องการจะเข้าประตูมา เขาก็ต้องผ่านกระบี่นี้ให้ได้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

แล้วเจ๋อซิ่วล่ะ เฉินฉางเซิงคิดในใจ หรือว่าซูหลีต้องการจะบีบให้เจ๋อซิ่วเดินผ่านทางเต็มไปด้วยเจตจำนงกระบี่นี้เพื่อสั่งสอนเขา

หรือว่านี่เป็นบททดสอบลูกเขยจากพ่อตา

“เจตนาของพ่อข้าไม่ได้งดงามแบบที่เจ้าคิดหรอก เขาแค่ไม่อยากให้เจ๋อซิ่วเจอข้า อันที่จริงเขาไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถฝ่ามาได้จริงๆ”

เมื่อได้ยินเสียงนี้เฉินฉางเซิงก็หันมา

จากนั้นเขาก็เห็นบางคนที่เขาไม่เคยเห็นมาหลายปี ชีเจียน

ชีเจียนที่เขาจำได้จากสุสานเทียนซูและสวนโจวนั้นเตี้ยผอม เป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนแอขี้ขลาด ดังนั้นแม้ว่าเขาจะรู้ว่านางเป็นผู้หญิงมานานแล้ว การได้เห็นนางสวมชุดยาวสีเขียวก็ยังทำให้เขาตะลึงไปครู่หนึ่ง

“ไม่พบกันนาน” เขาเอ่ยปากในที่สุด

ชีเจียนดันผมยุ่งเหยิงไปหลังหูและถาม “กี่ปีแล้ว อยู่ในภูเขานี้ยากจะบอกได้ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหน ข้าก็ขี้เกียจเกินจะนั่งนับ”

นางในตอนนี้เป็นหญิงสาวที่สดใสร่าเริง ดูสุขภาพดีกว่าที่นางเคยเป็นในอดีต ไม่มีภาพความโศกเศร้าที่เฉินฉางเซิงจินตนาการไว้

เฉินฉางเซิงมองไปรอบๆ พบว่าหุบเขาเขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า เขามองเห็นน้ำตกอยู่ไกลออกไป บ่อน้ำอยู่ในดงไม้ในขณะที่นกร้องอยู่เนืองๆ เป็นภาพที่งดงามยิ่ง

แต่การติดอยู่ในสรวงสวรรค์ตลอดปีก็ยังเป็นเรื่องลำบากมาก

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้และได้ยินคำพูดของนาง เขาก็ยิ่งไม่พอใจซูหลีและพวกหลีซานทั้งหมด

ชีเจียนเห็นสีหน้าเขา ก็กล่าวเบาๆ “องค์สังฆราชคงเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป”

เฉินฉางเซิงถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่ได้ถูกขังอยู่นี่หรอกหรือ”

ชีเจียนตอบ “ข้าใช้เวลาหลายปีนี้ฝึกกระบี่เงียบๆ อยู่ที่นี่จริงๆ”

เฉินฉางเซิงถาม “แล้วทำไมเจ้าต้องแก้ตัวให้สำนักด้วย การเข้าออกที่แห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

เขายังรู้สึกกลัวเจตจำนงกระบี่อันตรายที่อยู่บนผนังหินอยู่เลย

หากเขาต้องทนการทดสอบนี้ทุกครั้งที่เขาต้องการมาเยี่ยม แม้แต่สาวงามล่มเมืองก็ไม่อาจทำให้เขามาเยือนหุบเขานี้ได้เลย

ชีเจียนรู้ว่าเขาเป็นห่วงนางและยิ้มจาง “นอกจากวิธีของเจ้า มันย่อมมีทางอื่นอีก”

เฉินฉางเซิงตัวแข็งไป คิดในใจ ที่แห่งนี้มีเส้นทางอื่นจริงหรือ เขาถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะออกไปเมื่อไหร่ เขา…อยู่อีกด้านหนึ่ง”

รอยยิ้มชีเจียนจางลงเมื่อนางกล่าวอย่างสุขุมและหนักแน่น “หากเขาต้องการที่จะพบข้า เขาย่อมต้องมาหาข้า”

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของนางอยู่บ้าง แม้ว่าจะไม่มีทางแน่ใจได้เลย

……

……

มังกรฝุ่นค่อยๆ จางลงและแสงตะวันก็เริ่มสาดส่องลงมาบนหน้าผาอีกครั้ง ทางเดินผ่านผนังหินกลับคืนสู่ความสงบอย่างแท้จริง

ทุกคนมีสีหน้าวิตก ไม่รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น

เจ๋อซิ่วจ้องมองทางเดินนั้นเงียบๆ ดูเหม่อลอยอยู่บ้าง

ชิวซานจวินประกาศ “เขาผ่านไปแล้ว”

โก่วหานสือมองไปที่ดวงอาทิตย์และสีหน้าตกใจก็ฉายขึ้นบนใบหน้า “เขาใช้เวลาแค่สามเค่อเองหรือ”

ถังซานสือลิ่วไม่เข้าใจว่ามันยากแค่ไหนในการเดินผ่านทางเดินนี้ แต่จากปฏิกิริยาของกวนเฟยไป๋เขาก็บอกได้ว่าเฉินฉางเซิงใช้เวลาสั้นมาก เขากล่าวอย่างภูมิใจ “หากเจ้าคิดดูแล้ว วิชากระบี่ของเขาก็เป็นอาจารย์ปู่เจ้าสอนมาเองกับมือ แล้วมันจะยากแค่ไหนกันเชียวที่เขาจะเดินผ่านทางเดินนี้”

ไป๋ไช่เย้ย “ตอนที่พี่ใหญ่เดินผ่านทางนี้เมื่อห้าปีก่อน เขาใช้เวลาแค่สองเค่อเท่านั้น”

คำพูดนี้ทำให้เจ๋อซิ่วมองไปที่ชิวซานจวินและถังซานสือลิ่วก็เงียบไปด้วยความตกตะลึง

ชื่อเสียงของชิวซานจวินดังก้องโลก แต่น้อยคนนักที่จะได้เห็นเขาลงเมือกับตาตัวเอง เจ๋อซิ่วกับเฉินฉางเซิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

อันที่จริง พวกเขาอยากรู้มาตลอดว่าชิวซานจวินแข็งแกร่งเพียงใด

เสียงตะโกนในเมืองเวิ่นสุ่ยและภาพวาดบนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พิสูจน์ว่าชิวซานจวินเป็นคนที่ยอดเยี่ยมแต่ก็ยังไม่เกี่ยวกับเรื่องการต่อสู้หรือการบำเพ็ญเพียร

ตอนนี้เองที่พวกเขารู้ว่าเขานั้นแข็งแกร่งอย่างมากจริงๆ

ห้าปีก่อน ชิวซานจวินอายุน้อยกว่าเฉินฉางเซิงในตอนนี้และการบำเพ็ญเพียรก็ย่อมอ่อนกว่าเล็กน้อย แต่เขากลับใช้เวลาแค่สองเค่อในการเดินผ่านเส้นทางนี้

โก่วหานสืออธิบาย “ศิษย์พี่เรียนกระบี่บนเขานี้ตั้งแต่เขายังเด็ก นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพยายามผ่านทางเดินนี้ เขาย่อมได้เปรียบอยู่บ้าง”

ศิษย์สำนักกระบี่หลีซานรู้ว่าศิษย์พี่รองเป็นคนเช่นใด จึงไม่ประหลาดใจที่เขาพูดแทนเฉินฉางเซิง

เป็นถังซานสือลิ่วที่ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร

เจ๋อซิ่วไม่สนใจคำพูดพวกนี้ เดินตรงไปยังทางเดินนั้น

เจตจำนงกระบี่พุ่งออกมาจากเถาวัลย์บนผนังหินลอยอยู่รอบตัวเขา ตัดผ่านเสื้อผ้าเขาในทันที

แต่เขาไม่สน ใบหน้ายังคงแน่นิ่ง

พวกศิษย์และถังซานสือลิ่วจับตามอง

หลายคนเดาได้แล้วว่าเฉินฉางเซิงสามารถเดินผ่านทางเดินนี้ เพราะเขาได้ศึกษาวิถีกระบี่ของหลีซาน

แต่ยอดฝีมือเผ่าหมาป่าที่ชื่อเสียงไม่ดีคนนี้เล่า

เขาเป็นตัวหลักที่แท้จริงของเรื่องนี้

……

……

สำหรับเฉินฉางเซิง การเดินผ่านทางนี้คือการต่อสู้

สำหรับเจ๋อซิ่ว การเดินผ่านเส้นทางนี้คือการล่า

ในบางแง่มุม เจ๋อซิ่วมีกลิ่นอายที่ค่อนข้างป่าเถื่อน

ในฐานะครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ เขามีร่างกายที่แข็งแกร่งดั่งเหล็ก ประสาทรับรู้ทรงพลังอย่างยิ่ง ความฉลาดก็สูงมาก ดวงจิตน่าเกรงขามยิ่ง ปราณแท้ที่สะสมไว้ก็มหาศาล

เมื่ออาการทันใดใจคิดแย่ลง เส้นลมปราณหนาขึ้น ดวงจิตแข็งกร้าวยิ่งขึ้น ปราณแท้ก็พลุ่งพล่าน

มันเหมือนกับสัตว์อสูรบนทุ่งหิมะพวกนั้น ตอนใกล้ตายพวกมันจะกลายเป็นแข็งแกร่งหาใดเปรียบ

เจ๋อซิ่วในตอนนี้แข็งแกร่งมากและตอนที่เฉินฉางเซิงเดินผ่านทางนี้เขาก็สังเกตมันราวกับสัตว์อสูรที่แท้จริง ไม่พลาดรายละเอียดแม้แต่อย่างเดียว

เขามั่นใจว่าเขาหาจุดอ่อนของเหยื่อพบแล้ว ดังนั้นตอนนี้ย่อมเป็นเวลาที่จะออมกำลังและหยุดใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น เขาจำเป็นต้องพุ่งตรงไปและกัดใส่ลำคอของเป้าหมาย

เขาถึงเถาวัลย์และเดินเข้าไปในทางเดิน เขามองไปที่เจตจำนงกระบี่ซึ่งออกมาจากทั้งฟ้าและดิน แต่เขาก็ไม่ตั้งท่าต่อสู้ “ข้าไม่ได้มาเพื่อเรียนวิถีกระบี่จากเจ้า หรืออยากจะพิสูจน์ว่าข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า ข้าแค่ต้องการพบนาง ไม่มีใครหยุดข้าได้”

เขาพูดกับรอยกระบี่ที่อยู่บนผนังทางเดิน แต่เขาย่อมรู้ว่าจะพูดให้เจ้าของมันฟัง

……

……

เสียงกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ดูเหมือนโกรธเกรี้ยว ทว่าในเวลาอันสั้น เสียงนั้นหยุดนิ่งไป

ทางเดินเงียบงัน ไม่ว่าจะเป็นถังซานสือลิ่วบนหน้าผาหรือเฉินฉางเซิงที่อีกฝั่งของทางเดิน ทุกคนต่างก็เป็นกังวล

หลังจากไม่ได้ยินเสียงกระบี่เป็นเวลานาน เฉินฉางเซิงก็เข้าใจและถาม “นี่คืออีกทางที่ว่าหรือ”

ชีเจียนอธิบายอย่างใจเย็น “กระบี่พวกนี้สามารถสัมผัสความคิดของเจ้าและไม่อาจที่จะหลอกลวงได้ หากเจ้าจริงใจ เจ้าก็สามารถส่งข้อความถึงมัน เมื่อเจ้าไม่ใช่ศัตรู ก็ไม่มีเหตุผลที่จะหยุดเจ้า”

เฉินฉางเซิงถาม “แล้วจะอธิบายเสียงกระบี่คำรามนั้นอย่างไร มันเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าที่ข้าพบเจอเสียอีก”

ชีเจียนเบะปาก ดูเหมือนไม่สน อันที่จริงนางเป็นกังวลมาก

เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา

เจ๋อซิ่วออกมาจากทางเดินนั้น