เจตจำนงกระบี่นิ่งเงียบแต่ไม่ได้น่าเกรงขามน้อยลง แต่ใช้ดวงจิตเข้าสัมผัสก็อาจทำให้เกิดความเสียหายในห้วงแห่งจิตได้
ก้อนหินถูกการต่อสู้ของกระบี่ทำให้สั่นสะเทือนและหล่นลงมาจากด้านบน อย่างไรก็ตามมันไม่อาจตกถึงพื้นได้ เพราะมันถูกสับเป็นชิ้นเล็กๆ จนนับไม่ถ้วนด้วยเจตจำนงกระบี่ที่มองไม่เห็น สุดท้ายกลายเป็นเม็ดทรายที่ถูกลมพัดเข้าสู่หุบเขา ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้
เฉินฉางเซิงมองดูภาพนั้นและนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
แล้วเขาก็ก้มหน้าคิดเป็นเวลานาน
เขานึกถึงภาพที่ซูหลีสอนเพลงกระบี่ให้เขาในดินแดนรกร้างและบางสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
ก่อนที่ซูหลีจะจากไปยังดินแดนเซิ่งกวงพร้อมกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เขาได้ทิ้งจดหมายหลายฉบับไว้ในโลกนี้
จดหมายฉบับหนึ่งทำลายลมหายใจสุดท้ายของพรรคฉางเซิงในขณะที่อีกฉบับตัดแขนจูลั่วขาด
จดหมายนี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่าและน่ากลัวที่สุด
เฉินฉางเซิงได้จดหมายมาสองฉบับ
จากเรื่องนี้ก็บอกได้ว่าซูหลีเห็นคุณค่าของเขาอย่างมาก ถึงกับมองว่าเขาเป็นศิษย์ที่จะสืบทอดต่อจากเขา
จดหมายทั้งสองฉบับช่วยชีวิตเฉินฉางเซิงเอาไว้สองครั้งในขณะที่ช่วยให้วิถีกระบี่ของเขาก้าวหน้าอย่างมาก
ตอนนี้ทางเดินนี้เต็มไปด้วยเจตจำนงกระบี่ รอที่จะลงมือ เป็นสิ่งที่แหลมคมที่สุดในโลก สามารถตัดได้ทุกสิ่ง
นี่ทำให้เขานึกถึงภาพตอนที่เขาเปิดจดหมายของซูหลีในครัวของสำนักฝึกหลวง
ในตอนนั้นเขายืนอยู่ท่ามกลางเจตจำนงกระบี่ ไม่กล้าที่จะขยับ
ตอนนี้เขาก็ยังไม่เคลื่อนไหว
เขาจะเดินมาได้แค่นี้อย่างนั้นหรือ
เฉินฉางเซิงพลันจำได้ว่าก่อนที่ซูหลีจะจากไป เขายังทิ้งจดหมายให้ชิวซานจวินอีกด้วย
แต่ชิวซานจวินไม่ต้องการมัน
บางทีนี่คือความแตกต่างระหว่างเขากับชิวซานจวิน
ตอนที่ซูหลีสอนกระบี่ให้เขา ซูหลีบอกว่าเขาไม่เลวห่างจากชิวซานจวินแค่นิดเดียวเท่านั้น
ตอนจากกันที่เมืองสวินหยาง หวังผ้อก็บอกเขาว่าเขาไม่เลวทีเดียว แต่ก็ยังด้อยกว่าชิวซานจวินเล็กน้อย
จากเมืองซีหนิงถึงจิงตู เขาได้ยินคำพูดเช่นนี้มาหลายครั้ง
ในตอนแรกคนอื่นพูดกันว่าความแตกต่างระหว่างเขากับชิวซานจวินกว้างใหญ่ราวฟ้ากับดิน ความแตกต่างนี้ค่อยๆ หดลงเรื่อยๆ แต่จนถึงตอนนี้เมื่อเขาเป็นสังฆราชและชิวซานจวินยังเป็นศิษย์ธรรมดาของสำนักกระบี่หลีซานที่หายตัวไปนานห้าปี ก็ยังไม่มีใครบอกว่าเขาได้ก้าวข้ามชิวซานจวินไปแล้ว
เฉินฉางเซิงมองไปยังเจตจำนงกระบี่ล่องหนราวกับว่ากำลังมองไปที่ตัวซูหลีเอง “ข้ายังต้องการจะลองดู”
เขาต้องการจะลองดูว่าเขาจะก้าวไปอีกก้าวหนึ่งหรือถึงกับเดินออกจากทางเดินแห่งนี้ไปได้หรือไม่
เขาต้องการจะลองดูและพิสูจน์กับซูหลีว่าที่สอนกระบี่ให้เขานั้นเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องแล้ว
เขาอยากจะลองพิสูจน์ต่อโลกว่าบางทีเขาอาจไม่แข็งแกร่งกว่าชิวซานจวิน แต่เขาก็ไม่ด้อยกว่า อย่างน้อยก็ในบางแง่มุม
เขาตัดสินใจแล้ว แผ่กลิ่นอายสงบนิ่งออกมา
จิตใจเขาสะอาดสดใสราวกับกระบี่ที่ถูกล้างน้ำมานานนับปีไม่ถ้วน
กระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งออกจากฝักอย่างเงียบงัน ปลามากมายโดดขึ้นจากนั้นดูราวกับจะกลายเป็นมังกร
ประกายกระบี่นับไม่ถ้วนส่องสว่างทางเดินมืดมน ทำลายสีสันทั้งมวลในโลก ขณะฟันเข้าใส่เจตจำนงกระบี่ที่มองไม่เห็นนี้
เสียงกระบี่ชัดเจนดังขึ้นอย่างฉับพลัน ค่อยๆ ก่อตัวเป็นเส้น เส้นที่แบ่งท้องฟ้ากับทะเล จากนั้นพวกมันก็เงียบลง
……
……
ผู้คนบนหน้าผามองดูทางเดินนี้อย่างกระวนกระวาย
เถาวัลย์บดบังสายตาของพวกเขาและเจตจำนงกระบี่ก็ทำให้แสงปั่นป่วน ทำให้พวกเขาไม่อาจมองเห็นรายละเอียดได้ชัดเจน แต่ก็พอจะมองเห็นประกายกระบี่คร่าวๆ
ทันใดนั้นประกายกระบี่ก็พลันระเบิดแสงออกมา ทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย
เสียงกระบี่ดังขึ้นในเสียงระเบิด ทำให้ยากที่จะได้ยินเสียงอื่นอีก
พวกเขาเห็นแค่ลมพัดฝุ่นหินลอยขึ้นและลอยไปมาอยู่ภายในทางเดินราวกับมังกรที่มีชีวิต
เมื่อพวกเขามองภาพนี้และสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของภูเขา ศิษย์ทั่วไปก็หน้าซีด คิดอย่างตกใจ องค์สังฆราชเป็นผู้สืบทอดของอาจารย์ปู่ซูหลีอย่างแท้จริง วิถีกระบี่ของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าข่าวลือ เขาจะเดินผ่านไปได้จริงหรือ
ไป๋ไช่ถามด้วยความกังวล “เขาตั้งใจจะทำลายทางเดินนี้หรือ”
แม้แต่ตอนที่เฉินฉางเซิงเริ่มใช้กระบี่ทำลายผนังของทางเดิน ชิวซานจวินก็ยังนิ่งเงียบ สีหน้าก็ยังสงบอยู่
ตอนนี้สีหน้าเขาแสดงความกังวลขึ้นมาในที่สุด “หากเขาสามารถทำลายทางเดินนี้ มันก็นับว่าเขาทำได้สำเร็จ”
……
……
ทางเดินนี้สลักอยู่บนยอดเขาหลักของหลีซาน ซูหลีได้ใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งเกินจินตนาการได้ผ่าทางเดินนี้ขึ้นและหลายร้อยปีต่อมา รอยกระบี่บนผนังก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจตจำนงกระบี่ซึมลึกเข้าไปในภูเขา ผนังมั่นคงจนแม้แต่ของวิเศษนิกายหลวงก็ยากที่จะทำลายมันได้ ดังนั้นเฉินฉางเซิงย่อมไม่มีความสามารถเช่นนั้น
แต่เขาเดินออกมา
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็สามารถเดินออกจากทางเดินสู่ทุ่งหญ้าอีกฝั่งหนึ่งได้ในที่สุด
เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยฉีกขาดผ้ารัดผมขาด ทำให้ผมดำของเขาสยายอยู่ด้านหลัง สภาพดูน่าอนาถทีเดียว
เลือดหยดลงจากเสื้อผ้าของเขา กลิ่นของมันค่อยๆ จางลงเมื่อลมเย็นพัดผ่าน โชคยังดีที่หลังจากการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู เขาก็ได้รู้วิธีบางอย่างที่จะป้องกันไม่ให้เรื่องประหลาดเกิดขึ้น
เขาเกิดมาอย่างไร้ราคีและมีดวงจิตที่ทั้งสงบและแข็งแกร่งอย่างที่สุด เส้นลมปราณมีประสิทธิภาพสูงมาก ทำให้เขาสามารถสะสมประกายดาวได้ปริมาณมหาศาล ตอนที่ถอดจิตครั้งแรกเขาได้อาบเลือดแท้ของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง ตอนที่สร้างเขตแดนดวงดาว เขาก็เปิดจุดลมปราณสามร้อยหกสิบห้าจุดพร้อมกัน เขาเรียกได้ว่ามีร่างกายที่สมบูรณ์แบบต่อการบำเพ็ญเพียรที่สุดในโลกนี้
แต่วันนี้ เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บมากมาย
นอกจากร่างกายเขาเต็มไปด้วยแผลกระบี่ ยังมีแผลเล็กๆ หลายแผลบนใบหน้าและคิ้วซ้ายก็ถูกตัดไปบางส่วน หากแผลนี้อยู่ห่างจากนี้ไปอีกนิดเดียวก็จะโดดดวงตาของเขา คงพอจินตนาการได้ว่าสถานการณ์เมื่อครู่อันตรายเพียงใด เจตจำนงกระบี่ที่ซูหลีทิ้งไว้น่ากลัวขนาดไหน
เมื่อเขายืนที่ทางออกของทางเดินและมองไปที่หุบเขาเขียวชอุ่มกับท้องฟ้าครามไร้เมฆ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกสดชื่นอย่างยิ่ง
วันนี้เมื่อเผชิญหน้ากับเจตจำนงกระบี่ที่ซูหลีทิ้งไว้ เขาก็ใช้ทุกอย่างที่เขาได้เรียนรู้มาในชีวิตนี้ ไม่เว้นแม้แต่อย่างเดียว ไม่ซ่อนอะไรเอาไว้
นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่อันตรายที่สุดในชีวิตของเขา แต่มันก็นับว่ามีความสุขที่สุด
เพลงกระบี่นับไม่ถ้วนถูกใช้ออกอย่างเต็มที่ แหวกทางและก็เปิดใจของเขาเช่นกัน
เขาถึงกับอยากตะโกนใส่หุบเขาและท้องฟ้าเลยทีเดียว
แต่ว่ามันไม่สมกับนิสัยของเขา
สุดท้ายเขาก็ไม่ตะโกนแต่หันกลับไปมองทางเดินนั้น
หลังจากเดินผ่านทางเดินนั้น เขาก็ย่อมรู้ว่าเจตจำนงกระบี่และเพลงกระบี่บนผนังไม่ได้มาจากตอนที่ซูหลีตัดทางเดินเท่านั้น มีมากมายที่ซูหลีทิ้งไว้หลังจากนั้น และยังมีอีกมากที่ถูกทิ้งไว้โดยคนอื่นจากสำนักกระบี่หลีซาน
เขามองไปที่ทางเดินนั้นผ่านก้อนหินอยู่เงียบๆ เป็นเวลานาน
เขาดูเหมือนจะมองกลับไปในอดีต
หลายร้อยปีก่อน เมื่อซูหลีกลับมาครั้งหนึ่ง เขามายังที่แห่งนี้และฟันใส่ผนังหินนี้สุ่มๆ
ผู้อาวุโสหอกระบี่ที่มีการบำเพ็ญเพียรล้ำลึกกอดกระบี่ทำสมาธิอยู่ในทางเดินนี้เพื่อแสวงหาความก้าวหน้า เมื่อรู้แจ้งพวกเขาก็ฟาดฟันใส่ผนังทางเดิน
หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี ที่แห่งนี้ก็บรรจุไว้ด้วยแก่นแท้กระบี่ของซูหลีและยังมีจิตวิญญาณของสำนักกระบี่หลีซานอีกด้วย
ทางเดินนี้ถูกศิษย์สำนักกระบี่หลีซานใช้ในการลับจิตกระบี่ของตน
ซูหลีทิ้งลูกสาวตัวเองไว้ในหุบเขาเขียวชอุ่ม คาดว่าเฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วจะต้องเข้าสู่ทางเดินนี้
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นี่เป็นบทเรียนสุดท้ายที่เขามอบให้เฉินฉางเซิง