ในคืนเดียวกันนั้นสำนักกระบี่หลีซานได้จัดอาหารค่ำในหุบเขา ใช้กองไฟย่างเนื้อ
การจัดเลี้ยงแบบนี้ให้คนอย่างสังฆราชนั้นนับว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพอย่างเลี่ยงไม่ได้
เฉินฉางเซิงไม่คัดค้าน เขารู้ว่าเป็นเพราะชีเจียนอาย ไม่อยากออกจากหุบเขาไปพบกับพวกศิษย์จำนวนมาก
ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อย่างรอบกองไฟก็มีเสน่ห์ที่เขาคิดว่าน่าพอใจไม่น้อย อย่างไรก็ตามมันเตือนให้เขานึกไปถึงคืนนั้นที่ย่างเนื้อดื่มสุราบนคอกม้าผาชัน เขาตระหนักว่าชิวซานจวินไม่ได้ปรากฏตัว ทำให้เขารู้สึกซับซ้อนอยู่บ้าง
ถังซานสือลิ่วมีไหสุราอยู่ในมือตอนที่คุยกับเยี่ยเสี่ยวเหลียน พูดเล่นจนนางหัวเราะตัวสั่น
โก่วหานสือกับฮู่ซานสือเอ้อร์นั่งข้างกัน กระซิบกระซาบพูดคุย พวกเขาน่าจะวางแผนจัดการเรื่องสำคัญในอนาคต
กวนเฟยไป๋และไป๋ไช่นั่งข้างเฉินฉางเซิง ดวงตาจับจ้องไปตรงหน้า ร่างกายไม่ไหวติง
อีกฝั่งของกองไฟ เจ๋อซิ่วกับชีเจียนนั่งอยู่ด้วยกัน
ชีเจียนเอนกายพิงไหล่ของเขา รอยยิ้มบนใบหน้าดูมีความสุขใต้แสงจากกองไฟ
ชุดใหม่บนร่างเจ๋อซิ่วนั้นสะดุดตาอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าทักษะการตัดเย็บไม่โดดเด่นอันใด แต่รอยเย็บถี่แน่นพิสูจน์ว่าคนทำทุ่มเทความพยายามและความคิดมากมายเพียงใด
เฉินฉางเซิงค่อนข้างพอใจที่เห็นภาพนี้ แต่กวนเฟยไป๋กับพวกรู้สึกย่ำแย่ ทำให้พวกเขาจากหุบเขาไปอย่างรวดเร็ว เยี่ยเสี่ยวเหลียนก็ตามพวกเขาไปในไม่ช้า
ในคืนที่เงียบงัน ไฟปะทุในสายลม ชีเจียนพิงกายกับไหล่ของเจ๋อซิ่ว ส่งเสียงฮัมเพลงเบาๆ
เฉินฉางเซิงมองไปรอบๆ จากนั้นเขาก็ใช้ความคิดนำหนานเค่อออกมาจากสวนโจว
เมื่อเห็นหนานเค่อปรากฎกายขึ้นข้างกองไฟอย่างฉับพลัน ชีเจียนก็กระวนกระวายขึ้นมา มือนางแตะกระบี่ที่เอวตามสัญชาตญาณ
“เจ้าควรเรียกนางว่าอาหญิง ไม่จำเป็นต้องกระวนกระวายไป” เฉินฉางเซิงกล่าว
ชีเจียนจ้องมองอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจความหมายของเขา นางมองไปที่หน้าของหนานเค่อด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ถังซานสือลิ่วมองไปมาระหว่างหนานเค่อกับชีเจียน ในที่สุดก็หันไปมองเฉินฉางเซิงยามที่กล่าว “ข้าคิดว่าลำดับอาวุโสนี่ค่อนข้างวุ่นวายไปหน่อย”
เฉินฉางเซิงไม่สนใจเขาตอนที่บอกชีเจียนถึงเจตนาของเขา
ต่อจากวันนี้ไป หนานเค่อจะอยู่ในหลีซานเช่นกัน และเขาหวังว่าชีเจียนจะช่วยดูแลนาง
หลังจากยืนยันเรื่องนี้ได้รับการยอมรับเงียบๆ จากเจ้าสำนัก ชีเจียนก็ย่อมไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ
ทิ้งหนานเค่อไว้ที่สำนักกระบี่หลีซานเป็นการตัดสินใจของเฉินฉางเซิงที่คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนมาเป็นเวลานาน
อันดับแรกก็คือความปลอดภัยของหนานเค่อ คำถามของอู๋ฉยงปี้บนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ยังดังก้องอยู่ในหูของเขา มีแต่สำนักกระบี่หลีซานที่ยินยอมรับองค์หญิงเผ่ามารเอาไว้ นอกจากนี้เพลงกระบี่ดนตรีกระจ่างใสอาจช่วยฟื้นฟูสติปัญญาของหนานเค่อได้
รักษาหนึ่งแล้วจะรักษาสองก็ไม่ยาก ถึงอย่างไรเมื่อเจ๋อซิ่วจำเป็นต้องอยู่ในหลีซานเพื่อรักษาตัว หนานเค่อก็สามารถอาศัยอยู่ได้เช่นกัน
เมื่อเฉินฉางเซิงกับชีเจียนสนทนากัน หนานเค่อจ้องมองเขาอย่างเหม่อลอย สงสัยว่าทำไมพวกเขาต้องแยกจากกัน
นางดึงเสื้อเขาเอาไว้เหมือนกับที่ทำช่วงหลายวันมานี้ แม้ว่าตอนนี้จะรุนแรงกว่าเดิมก็ตาม
เฉินฉางเซิงมองตานาง รู้สึกหดหู่เล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้ หลังจากเกลี้ยกล่อมนางเบาๆ อยู่ครู่หนึ่งเขาก็สามารถทำให้หนานเค่อปล่อยมือได้สำเร็จ
ชีเจียนมองอยู่ตลอดเวลา นางพลันกล่าวอย่างจริงจังมาก “ข้าไม่มีทางเรียกเจ้าว่าอาแน่นอน”
เฉินฉางเซิงตัวแข็งทื่อในขณะที่ถังซานสือลิ่วหัวเราะดังก้องไปทั่วทุ่งหญ้าที่ริมหุบเขา ทำให้นกน้อยนับไม่ถ้วนตกใจ
“พ่อข้าก็ไม่เคยคิดจะเรียกเจ้าว่าน้องเขยเช่นกัน”
ชีเจียนมองไปที่หนานเค่อที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างเฉินฉางเซิงและกล่าว “เจ้าไม่ทำตัวแบบนี้ได้ไหม”
เฉินฉางเซิงมีนิสัยสุภาพเสมอมา แต่ตอนนี้เขาไม่อาจซ่อนความไม่พอใจได้ “เกิดอะไรขึ้น ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
ชีเจียนกล่าว “เจ้าเข้าใจความหมายของข้า”
เจ๋อซิ่วเสริม “นางหมายถึงเจ้าไม่ควรปฏิบัติต่อสตรีอื่นดีเกินไป”
ถังซานสือลิ่วกล่าว “เจ้าคิดว่าเฉินฉางเซิงไม่รู้หรือ เขารู้ดี นี่คือเหตุผลที่เขาอายจนกลายเป็นโกรธขึ้นมา”
……
……
ธุระของพวกเขาที่หลีซานจบลงแล้ว เฉินฉางเซิงและพวกกล่าวลาในเช้าตรู่วันถัดมาและกลับสู่เส้นทางเดิมของพวกเขา
ยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองไป๋ตี้ มีเงาปกคลุมหัวใจของเขาทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
เขานับพบสวีโหย่วหรงในหมู่บ้านที่ตีนเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เขามั่นใจว่ารายงานล่าสุดคงมาถึงแล้วในตอนนั้น
พวกเขาจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรหลังจากนั้น
แสงยามเช้าเพิ่งสัมผัสเทือกเขาเขียวชอุ่ม ดังนั้นลมบนแม่น้ำถงเจียงจึงเย็นอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงมองไปที่หมู่บ้านอีกฝั่งแม่น้ำ เขารู้ว่าสวีโหย่วหรงอยู่ที่นั่นแล้ว ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย
ในตอนนี้เสียงร้องก็ดังมาจากท้องฟ้าเมื่อห่านแดงพุ่งออกจากเมฆทางด้านเหนือและลงสู่พื้นเบื้องหน้าเขา
ฮู่ซานสือเอ้อร์แกะกล่องจดหมายจากเท้าของห่านแดง เขาทำตามขั้นตอนและแกะตราประทับออก เอาจดหมายออกมาและส่งให้เฉินฉางเซิง
สีหน้าของเฉินฉางเซิงไม่เปลี่ยนเมื่อดวงตาเคลื่อนผ่านตัวอักษรถี่ยิบ แต่ทุกคนสัมผัสได้ว่าเขาค่อนข้างกระวนกระวายและมีความโกรธอยู่ด้วย
หญ้าริมแม่น้ำถงเจียงปกคลุมด้วยชั้นน้ำค้างแข็งบางๆ เหมือนกับอารมณ์ในดวงตาเขา
เฉินฉางเซิงเอากระดาษออกมาและเขียนบางประโยคลงไป ให้เยี่ยเสี่ยวเหลียนมอบให้สวีโหย่วหรงที่อีกฝั่งแม่น้ำ “ข้ามีเรื่องเร่งด่วนดังนั้นจึงต้องไปก่อน”
หลังจากกล่าวแล้ว เขาก็ขึ้นรถม้าที่อารามเต๋าแดนใต้จัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้วในทันที รถม้าวิ่งห้อออกไปตามถนนหลวงที่ทอดตัวอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำถงอย่างเร็วรี่ เป้าหมายของมันคือทางเหนือ
เยี่ยเสี่ยวเหลียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางเดินข้ามแม่น้ำไปพบสวีโหย่วหรง ตอนส่งจดหมาย นางก็ไม่ซ่อนความกังวลเอาไว้
ในตอนนี้ สวีโหย่วหรงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางไม่โกรธเฉินฉางเซิงที่จากไปอย่างกะทันหัน อย่างไรก็ตามตอนที่นางเห็นสิ่งที่เขียนบนจดหมาย นางก็อดที่จะไม่พอใจอยู่บ้างไม่ได้
“หากเจ้าต้องไป ข้าก็จะไม่พูดอะไร แต่ขี่กระเรียนของข้าไปหาผู้หญิงอีกคนนี่นะ มากไปหน่อยไหม”
……
……
เมื่อเดินตามแม่น้ำถงเจียงไปทางเหนือ ก็จะไปถึงตีนเขาตะวันออกของเทือกเขาลั่วเหมย พวกเฉินฉางเซิงมาถึงเมืองทางใต้สุดของราชวงศ์ต้าโจว เมืองหรู่หนาน
ตอนที่รถม้าของพวกเขาเข้าสู่จวนหรู่หนานอ๋อง ดวงอาทิตย์เพิ่งจะลอยพ้นยอดไม้ นี่บอกได้ว่าพวกเขาเร่งรีบแค่ไหน
ถังซานสือลิ่วกับฮู่ซานสือเอ้อร์รู้สึกหมดแรงพอๆ กับสงสัย มีคนส่งจดหมายถึงเฉินฉางเซิงนับจากเขาออกจากคอกม้าผาชัน แผนทั้งหมดของพระราชวังหลีเกี่ยวข้องกับจดหมายนี้ ใครคือคนเขียนจดหมาย ทำไมเฉินฉางเซิงถึงได้เชื่อใจจดหมายนี้มากนัก ในจดหมายที่ส่งมาวันนี้เขียนอะไรไว้ทำไมเฉินฉางเซิงถึงได้กังวลนัก มันทำให้พวกเขานึกถึงอารมณ์ของเฉินฉางเซิงในเมืองเฟิ่งหยางหลังจากได้รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นบนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
ใครในโลกที่มีความสำคัญสำหรับเฉินฉางเซิงคล้ายกับสวีโหย่วหรง
ถังซานสือลิ่วกับฮู่ซานสือเอ้อร์ไม่อาจพบคำตอบในจวนหรู่หนานอ๋อง คนที่รอพวกเขาอู่ก็ไม่ใช่หรู่หนานอ๋องแต่เป็น…ลั่วหยางอ๋อง
อ๋องที่ไร้ค่าที่สุดของราชสกุลเฉินดูอ่อนแรงอย่างมาก เนื้อตัวก็เปื้อนไปด้วยฝุ่น เขาน่าจะเร่งรุดมาจากทางเหนือ
เมื่อเห็นเฉินฉางเซิงเข้ามา ลั่วหยางอ๋องก็รีบกราบ หัวเข่าติดพื้น แผ่นหลังหันสู่ท้องฟ้า ดูเคารพนบน้อมอย่างที่สุด