บทที่ 562.1 ฝ่าทะลุสองขอบเขต

กระบี่จงมา! Sword of Coming

การป้อนหมัดครั้งสุดท้ายที่หลี่เอ้อร์มีต่อเฉินผิงอัน แตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก

หลี่เอ้อร์บอกให้เฉินผิงอันออกแรงเต็มกำลัง ไม่ต้องเลือกวิธีการ ดูสิว่าทำแบบไหนถึงจะสามารถประคองตัวอยู่ภายใต้หมัดของเขาได้นานยิ่งขึ้น

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาเป็นผู้ฝึกยุทธคอขวดขอบเขตหก แต่หลี่เอ้อร์กลับเป็นขอบเขตสิบกลับคืนสู่ความจริง ต่อให้ไม่เลือกวิธีการ แต่จะมีความหมายอะไรเล่า?

หลี่เอ้อร์ยิ้มกล่าว “การออกหมัดของข้าครั้งนี้จะมีการกะน้ำหนักให้เหมาะสม เพียงแค่สะบั้นจุดเชื่อมโยงของวิธีการมากมายของเจ้า พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้าลงมือได้ตามสบาย คิดเสียว่ากำลังคุมเชิงเข่นฆ่าอยู่กับศัตรูตัวฉกาจที่จะตัดสินเป็นตายกับเจ้า อีกฝ่ายอาศัยว่ามีขอบเขตสูงกว่าเจ้ามากก็เลยเกิดใจดูแคลน ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ถึงรากฐานของเจ้าในตอนนี้ จึงเพียงแค่มองเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธที่พื้นฐานไม่เลวคนหนึ่ง คิดแค่ว่าจะเผาผลาญปราณวิญญาณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของเจ้าให้หมด จากนั้นก็ทารุณเจ้าช้าๆ เพื่อระบายความโกรธแค้น”

เฉินผิงอันยิ่งไม่เข้าใจ หรือว่าความนัยในคำพูดนี้ก็คือ นอกจากที่ตนจะสามารถออกหมัดได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิธีการที่ฉกฉวยโอกาสเอาเปรียบ ชั่วร้ายหรือต่ำช้าแค่ไหนก็ล้วนสามารถนำมาใช้ได้?

หลี่เอ้อร์ไม่ได้อธิบายไปมากกว่านั้น “อย่าได้ไม่เห็นเป็นสำคัญ ไม่อย่างนั้นหากทำให้ข้ารู้สึกว่าเจ้ากล้าดูแคลนศัตรูที่จะมาเอาชีวิตเจ้า หมัดสุดท้ายของข้าก็สามารถทำให้เจ้านอนกระอักเลือดอยู่บนเตียงของยอดเขาสิงโตได้นานเป็นครึ่งๆ ปี”

หลี่เอ้อร์หมุนตัวเดินไปทางท่าเรือ ทิ้งเฉินผิงอันไว้ตรงหน้าประตูกระท่อม

มือของหลี่เอ้อร์ถือไม้ไผ่ถ่อเรือ ยืนอยู่บนปลายด้านหนึ่งของเรือลำเล็ก แล้วเริ่มกลั้นหายใจทำสมาธิ ครึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันก็เดินไปที่ท่าเรือ

หลี่เอ้อร์เห็นแล้วก็กลั้นยิ้ม

คนหนุ่มเปลือยเท้า ม้วนชายขากางเกง แต่กลับไม่ได้ม้วนชายแขนเสื้อ

ยังไม่ลืมสะพายเจี้ยนเซียนที่ได้มาจากตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าเล่มนั้นไว้ด้วย

หลี่เอ้อร์พยักหน้ารับ “ขึ้นเรือ”

ทันใดนั้นไม้ถ่อเรือในมือของหลี่เอ้อร์ก็พุ่งเข้ามาแสกหน้า เฉินผิงอันที่คีบยันต์ย่อพื้นที่ไว้ในชายแขนเสื้อนานแล้วจึงหายวับไปจากที่เดิม เท้าข้างหนึ่งของเขาเหยียบลงบนผนังหินของเส้นทางน้ำถ้ำตระกูลเซียน อาศัยแรงดีดพุ่งกลับไปมาหลายครั้ง เพียงชั่วพริบตาก็ห่างไกลออกมาจากหนึ่งเรือหนึ่งคนหนึ่งไม้พายนั้น เมื่อเฉินผิงอันร่วงลงบนผิวน้ำเขาก็ค้อมเอวเหยียบน้ำแล้วกลิ้งไถลตัวออกไป มือหนึ่งกดผืนน้ำเอาไว้ ทำให้เกิดริ้วคลื่นเป็นระลอก แล้วทันใดนั้นก็พลันหยุดชะงัก แสงศักดิ์สิทธิ์ของแก่นยันต์ขยุ้มดินและแก่นยันต์มหานทีไหลสะพัดระเบิดแตกทันใด เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือเบาๆ มือขวาก็มีมีดสั้นสองเล่มโผล่ขึ้นมา บนมีดสลักสองคำว่า ‘น้ำค้างรุ่งอรุณ’ และ ‘แสงสายัณห์’ ล้วนได้มาจากนักฆ่าของภูเขาเกอลู่

มองดูเหมือนว่าปลายด้านหน้าของไม้พายร่วงลงพื้น แต่กลับไม่ได้แตะพื้นจริงๆ พายุลมกรดไม่เพียงแต่ไม่ได้ผ่าพื้นดินให้เป็นร่องลึก กลับกันยังไม่มีฝุ่นตลบขึ้นมาแม้แต่น้อย นี่ก็คือการปล่อยและเก็บปณิธานหมัดของปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทางวิถีวรยุทธคนหนึ่งที่ไต่ไปถึงระดับที่สามารถทำได้ตามใจปรารถนาแล้ว

ด้านหน้าของเรือลำเล็ก ผืนน้ำโถมตัว เศษหินแตกปลิวกระจาย มีคนชุดเขียวมือสองข้างถือมีดผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาเป็นเส้นตรงประหนึ่งสายฟ้าผ่า

หลี่เอ้อร์เก็บไม้พาย หันหน้ามามองแล้วยิ้มกล่าวว่า “ลูกเล่นเยอะนัก แต่ก็น่าตกใจไม่น้อย”

จากนั้นหลี่เอ้อร์ก็ทิ่มไม้พายออกไปง่ายๆ เรือเล็กใต้ฝ่าเท้าค่อยๆ เคลื่อนไปด้านหน้า เฉินผิงอันหันหน้าเบี่ยงหลบไม้พายอันนั้น มือซ้ายที่อยู่ในชายแขนเสื้อคีบยันต์ย่อพื้นที่ ร่างก็วูบหายไป

หลี่เอ้อร์ปล่อยฝ่ามือออกจากไม้พาย แล้วกำอีกครั้ง ทั้งไม่ได้หันตัวกลับ แล้วก็ไม่ได้หันหน้าไปมอง เพียงทิ่มไม้พายไปด้านหลัง เฉินผิงอันที่มาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขาถูกไม้พายทิ่มเข้าที่หน้าอกอย่างจัง เสียงกระแทกดังปังร่างก็ร่วงลงไปใต้น้ำ หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันเบี่ยงตัวเล็กน้อยจึงมีเพียงแค่จุดที่ชุดเขียวปริแตกเท่านั้นที่มีรอยเลือดและกระดูกขาวโผล่ ไม่อย่างนั้นคาดว่าไม้พายนี้ของหลี่เอ้อร์ที่ปากบอกว่า ‘ประมาทศัตรู’ ก็คงแทงทะลุหน้าอกเฉินผิงอันไปโดยตรงแล้ว

เรือลำน้อยใต้ฝ่าเท้าของหลี่เอ้อร์ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปด้านหน้า ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้พายแม้แต่น้อย ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสิบก็เป็นดั่งคำที่หลี่เอ้อร์กล่าวไว้ว่า ‘พลังชีวิตจิตวิญญาณเปี่ยมล้น คนคือคนที่สมบูรณ์’ หากเอาพละกำลังที่แท้จริงออกมาเมื่อไหร่ หลี่เออร์ก็สามารถปล่อยพายุลมกรดปณิธานหมัดไว้ได้เต็มเส้นทางน้ำสายนี้ได้อย่างสบายๆ

หลี่เอ้อร์ยิ้ม ดีนักนะ ถือว่าเจ้าได้เปรียบด้านชัยภูมิ ถึงได้ใช้ยันต์น้ำรวดเดียวหลายสิบแผ่น ให้มันระเบิดพร้อมกัน ก็พอจะถือว่าทำให้แม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำได้

หลี่เอ้อร์กำไม้พายเบาๆ เสียงลมดังอื้ออึง พายุลมกรดสะเทือนเลือนลั่น หนึ่งคนหนึ่งเรือพุ่งทะยานไปด้านหน้าไม่ช้าไม่เร็ว หยดน้ำไม่อาจสัมผัสโดนคนและเรือได้แม้แต่น้อย

หลี่เอ้อร์กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ใต้ท้องน้ำก็เกิดเสียงกัมปนาททุ้มหนัก เขารู้สึกตกตะลึงนิดๆ แล้วก็ไม่ได้สนใจเฉินผิงอันที่อยู่ใต้น้ำอีก ขยับตัวเลื่อนจากท้ายเรือมายังหัวเรือ ชำเลืองตามองผนังด้านหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล เรือน้อยใต้ฝ่าเท้าพุ่งไปดั่งลูกธนู ก่อนที่ไม้พายจะถูกขว้างใส่ผนังแถบนั้น

จิตหยินที่ออกจากช่องโพรงอย่างเงียบเชียบใช้ยันต์แบกศิลาของตำหนักขวานผีมาซ่อนตัวอยู่บนผนังนานแล้ว และวิธีการทั้งหลายก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วก็เป็นแค่เวทอำพรางตาเท่านั้น

คิดไม่ถึงว่าจะยังคงถูกหลี่เอ้อร์มองทะลุได้อย่างง่ายดาย

จิตหยินจึงได้แต่เบี่ยงหลบไม้พายที่พุ่งมาพร้อมพละกำลังหนักอึ้งนั้น และการขยับครั้งนี้ก็ทำให้ร่างจริงปรากฏ คือคนหนุ่มชุดขาวที่เหน็บพัดพับไว้ตรงเอวคนหนึ่ง ต่อให้จะต้องเผ่นหนีด้วยสภาพกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังมีรอยยิ้ม เรือนกายล่องลอยดุจเทพเซียนบนภูเขา ตอนที่ออกมาจากผนังหิน จิตหยินของเฉินผิงอันประกบสองนิ้วทำมุทรากระบี่ แสงกระบี่สีขาวหิมะเส้นหนึ่งพุ่งออกจากหว่างคิ้ว ก็คือกระบี่บินชูอีที่ยังหลอมให้กลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ไม่สำเร็จ แม้จะไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ แต่เมื่อผ่านการขัดเกลาคมกระบี่ของแท่นสังหารมังกรมาตลอดการเดินทางครั้งนี้ เมื่อกลับมาเผยกายสู่บนโลกอีกครั้งก็ยังมีพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามอยู่ดี

ก่อนหน้านี้ไม้พายของหลี่เอ้อร์ยังคงไม่สัมผัสโดนผนังหิน แขนของเขางอลงน้อยๆ เก็บไม้พายกลับมา แล้วฟาดเข้าใส่กระบี่บินชูอีจนอีกฝ่ายสั่นสะเทือนส่งเสียงดังไม่หยุด สุดท้ายกระแทกปักเข้าใส่ผนังหิน ทว่าไม้พายธรรมดาที่แค่ถูกปณิธานหมัดไหลรินเข้าสู่กลับไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย

หลี่เอ้อร์ยิ้มกล่าว “ยังมีอีก?”

กระบี่บินคมกริบที่มีพลังอำนาจของเซียนกระบี่เล่มหนึ่งแทงเข้าใส่หัวใจด้านหลังของหลี่เอ้อร์

หลี่เอ้อร์ไม่สนใจแม้แต่น้อย เพราะเขาย่อมมีปณิธานหมัดเปี่ยมล้นที่เป็นดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกป้องคุ้มครอง เดิมทีนี่ก็คือเสื้อเกราะวิเศษที่แข็งแกร่งมิอาจทำลายได้มากที่สุดในใต้หล้าแล้ว

หลี่เอ้อร์ร้องเอ๊ะหนึ่งที “เป็นแค่กระบี่จำลองที่ภูเขาชังกระบี่สร้างขึ้น?”

เพราะกระบี่บินที่พุ่งมาด้วยพลังอำนาจดุดันเล่มนั้นกลับถูกปณิธานหมัดของเขาดีดออกไปได้อย่างง่ายดาย

กระบี่บินเล่มที่สามที่ความเร็วสูงสุดพุ่งตรงเข้าหาท้ายทอยด้านหลังของหลี่เอ้อร์

เวลาเดียวกันนั้น กระบี่บินเล่มแรกที่มีแสงกระบี่ดุจสายรุ้งขาวก็คิดจะเข้ามาโรมรันประชิดตัวอีกครั้ง

หลี่เอ้อร์รู้สึกระอาใจเล็กน้อย “แบบนี้เริ่มน่ารำคาญแล้วนะ”

หลี่เอ้อร์ปล่อยไม้พาย ร่างพุ่งวูบออกไป นาทีถัดมามือของเขาก็คว้าจับกระบี่บินทั้งสามเล่มเอาไว้ กลางฝ่ามือจึงมีประกายไฟปะทุกระเซ็น

รอจนหลี่เอ้อร์กลับมาที่เรือเล็กอีกครั้ง ไม้พายอันนั้นก็ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ได้ร่วงลงมา เพราะการไปกลับครั้งนี้ของหลี่เอ้อร์เร็วมากจริงๆ

มือหนึ่งของหลี่เอ้อร์พันธนาการกระบี่บินทั้งสามเล่ม มืออีกข้างหนึ่งค้ำยันปลายด้านหนึ่งของไม้พายแล้วผลักออกไปหนักๆ เรือน้อยใต้ฝ่าเท้าแกว่งส่ายเบาๆ

ไม้พายที่เอนเอียงเล็กน้อยพุ่งฉิวออกไปแทงทะลุหน้าท้องของเฉินผิงอันโดยตรง ปักตรึงร่างเขาไว้ใต้น้ำ พลานุภาพยามที่พุ่งมาของไม้พายไม้ธรรมดา ไม่เพียงแต่ทำให้ทั้งแผ่นหลังของเฉินผิงอันแนบติดกับท้องน้ำ ไม้พายนั้นยังทะลุหน้าท้องเขาไปด้วย

หลี่เอ้อร์ลงมืออย่างอำมหิต

แต่เฉินผิงอันกลับรับมืออย่างโหดเหี้ยมมากกว่า

ฝ่ามือของเขาตบท้องน้ำหนักๆ ดูเหมือนว่าจะกระชากดึงร่างของตัวเองผ่านทะลุไม้พายอันนั้นมา แล้วอาศัยยันต์ฟางชุ่น ร่างจึงหายวับไปในชั่วพริบตา

หลี่เอ้อร์หัวเราะ ไม่ได้ซ้ำเติมอีกฝ่าย เพราะบอกไว้แล้วว่าเขาจะมีความคิดดูแคลนประมาทศัตรู

เฉินผิงอันมีดีอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือไม่รู้จักความเจ็บปวด หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือ ก่อนจะตาย เขาจะยิ่งลงมือได้อย่างมั่นคงหนักแน่นกว่าเดิม

ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธบางคน ยิ่งบาดเจ็บหนัก ยิ่งรบก็ยิ่งกล้าหาญ แต่ก็ทำให้เกิดโรคภัยที่ทิ้งไว้ภายหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่เพียงแต่หลังจบศึกใหญ่เท่านั้น ระหว่างที่อยู่ในศึกใหญ่แล้วใช้ปณิธานหมัดมาแลกเปลี่ยนพลังการต่อสู้ หากสองฝ่ายที่เข่นฆ่ากันมีขอบเขตเท่าเทียมกัน คนประเภทนี้แน่นอนว่าต้องมีชีวิตรอดอยู่ได้จนถึงท้ายที่สุด เพราะผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไม่อาจมีแค่ความกล้าหาญของเลือดร้อนที่พลุ่งพล่าน ความเดือดดาลที่โชติช่วงเท่านั้น แต่หากไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้เลย ก็ไม่ควรจะมาเดินบนเส้นทางสายวรยุทธแล้ว แต่หากขอบเขตของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันเล็กน้อย การกระทำเช่นนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย บางทีผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็อาจเป็นความสำเร็จ หรือไม่ก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่าที่รอดชีวิตมาได้

ผู้ฝึกยุทธฆ่าคน มองดูเหมือนจืดชืดน่าเบื่อหน่าย ต่างคนก็แค่แลกเปลี่ยนอาการบาดเจ็บมาตัดสินเป็นตาย วิธีการมีไม่มาก ทว่าแท้จริงแล้วทุกจุดล้วนเต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ทุกหมัดล้วนเต็มไปด้วยความหมาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบแล้ว ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ ทัศนียภาพที่มหัศจรรย์มีมากมายไร้ที่สิ้นสุด

ซ่างจ่างจิ้งมีความทะเยอทะยานสูง แล้วก็มีปณิธานยิ่งใหญ่ เพื่อเรียนวรยุทธได้อย่างเต็มตัวแล้ว เขาสามารถละทิ้งแผ่นดิน สละบัลลังก์มังกร ความหนักแน่นดึงดันนี้เหนือกว่าปรมาจารย์ทั่วไปมากนัก สิ่งที่แสวงหายามออกหมัดก็คือต้องการสั่งสอนให้พวกเซียนบนยอดเขาทั้งหลายรู้จักเดินลงเขามาก้มหัวโขกศีรษะให้เขาซ่งจ่างจิ้ง

จึงเป็นเหตุให้มีพลังปราณอันโชติช่วง

หลี่เอ้อร์ยอมรับว่าในขอบเขตนี้ ตนแพ้ให้กับซ่งจ่างจิ้งไม่น้อย

หลังจากที่ผู้ฝึกยุทธเดินถึงยอดเขาแล้ว ไม่ว่าหมัดของเจ้าจะมีกี่ร้อยพันประเภท และจิตแห่งบู๊ก็แตกต่างกันไป แต่อันที่จริงก็มีแค่สองทางที่สามารถเดินได้เท่านั้น เส้นทางสายหนึ่งเหมือนการเปิดพื้นที่มงคล ปณิธานหมัดของทั้งร่างกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด อาณาเขตไพศาล ผู้ที่มีปราณโชติช่วงก็คือผู้ที่ได้รับความเคารพสูงสุด ทางอีกสายหนึ่งก็เหมือนเซียนที่บุกเบิกถ้ำสวรรค์ ง่ายที่จะกลับคืนสู่ความจริงได้มากกว่า ใต้ฝ่าเท้าไร้เส้นทางก็ทะยานลมมุ่งสู่ที่สูงต่อไป ใช่ว่าหลี่เอ้อร์ไม่อยากเดินอยู่บนขอบเขตปราณโชติช่วงให้มากหน่อย เพียงแต่ว่านี่เป็นผลมาจากนิสัยใจคอของตัวเขาเอง อีกทั้งปณิธานหมัดยังบริสุทธิ์มากพอ หากจงใจขัดเกลาอยู่ที่คำว่าปราณโชติช่วงนานเกินไป ผลประโยชน์ที่ได้รับจะมีไม่มาก ไม่สู้คล้อยตามสถานการณ์เลื่อนขึ้นสู่คืนสู่ความจริงไปโดยตรงเลย

ก่อนหน้านี้ตอนที่ดื่มเหล้าพลางคุยเล่นกับเฉินผิงอัน หลี่เอ้อร์ได้ยินมาว่าบนภูเขาลั่วพั่วมีคนมหัศจรรย์นามว่าจูเหลี่ยน ได้ฉายาว่าคนคลั่งวรยุทธ ยามที่ต่อสู้กับใครก็ต้องให้รู้เป็นรู้ตาย แต่ในเวลาปกติกลับมีนิสัยเอ้อร์ระเหยดุจเซียนผู้ว่างงาน

เฉินผิงอันที่เป็นคนคิดเยอะ ความคิดวกวนอ้อมค้อม น้อยครั้งที่จะพูดยืนยันหนักแน่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ยามที่พูดถึงจูเหลี่ยนกลับบอกว่าคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ไม่มีทางธาตุไฟเข้าแทรกกลายเป็นมารได้มากที่สุด

หลี่เอ้อร์จึงรู้สึกว่าจูเหลี่ยนผู้นี้ต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีให้พบเห็นได้น้อยอย่างแน่นอน

ผู้มีพรสวรรค์ในสายตาของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง

ในอนาคตหากมีโอกาสก็สามารถลองไปพบเจอกับจูเหลี่ยนดูได้

หลี่เอ้อร์เก็บไม้พายกลับมา โยนกระบี่บินทั้งสามเล่มทิ้งไปง่ายๆ แล้วถ่อเรือเคลื่อนไปด้านหน้าต่ออีกครั้ง

ก่อนหน้านี้เขาลงมือหนักไปหน่อย ชายฉกรรจ์ที่มีนิสัยซื่อๆ ผู้นี้จึงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย การรับมือเฉินผิงอันที่ปรากฎตัวอย่างลึกลับ มีลูกไม้แพรวพราวต่อจากนั้นจึงจงใจเก็บน้ำหนักหมัดเล็กน้อย หมัดหนึ่งในนั้นแค่ต่อยให้เฉินผิงอันฝังเลื่อมเข้าไปในผนังหิน แต่กลับไม่ได้ใช้ไม้พายที่อยู่ในมือแทงทะลุท้องไส้ของอีกฝ่ายซ้ำอีก ไม่เพียงเท่านี้ เรือเล็กใต้ฝ่าเท้ายังเคลื่อนหน้าไปอย่างเชื่องช้า ทิ้งคนหนุ่มที่จะต้องลงมือต่ออย่างแน่นอนผู้นั้นไว้ด้านหลัง ให้เขาได้ผลัดเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่ง

หลี่เอ้อร์รู้สึกมาโดยตลอดว่าการฝึกวรยุทธนั้นไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากนัก การขัดเกลาหล่อหลอมเรือนกายอย่างมานะขันแข็งก็หนีไม่พ้นคำว่าทนความลำบากได้เท่านั้น

ไม่ต่างจากชาวไร่ชาวนาที่ทำไร่ไถนาสักเท่าไร ก็แค่ว่าชาวนาชาวไร่จะได้ผลเก็บเกี่ยวดีหรือร้าย ก็ต้องคอยดูสีหน้าของเทพเทวาบนสวรรค์ แต่ผู้ฝึกยุทธที่ฝึกหมัดจะสามารถเดินไปได้ไกลเท่าไร ก็ล้วนอยู่ที่ตัวเองทั้งสิ้น

หลี่เอ้อร์หันหน้าไปมอง ก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดภาพหนึ่ง

เฉินผิงอันสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ แล้วก็สวมชุดคลุมอาคมสีดำเถาเถี่ยร้อยตาทับไปอีก แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมเลิกรา แม้แต่ชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะที่ได้มาจากผีนครฟูนี่ และชุดคลุมของจวนไช่เฉวี่ยที่ออกจะเฉิดฉันก็ถูกเอาออกมาสวมไว้ด้วย

ชุดคลุมอาคมทุกตัวล้วนสวมไว้หมดแล้ว แล้วก็โชคดีที่ได้รับการหลอมเล็กกันมาก่อนแล้ว จึงสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตามความคิดของผู้ฝึกตน แต่เดิมทีเขาก็สวมชุดสีเขียวอยู่ชุดหนึ่ง แล้วยังมาสวมชุดคลุมอาคมอีกสี่ตัว จะไม่ดูอ้วนบวมได้หรือ? ไม่ว่าจะมองอย่างไรหลี่เอ้อร์ก็รู้สึกแปลกพิกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดด้านนอกสุดที่ควรจะเป็นเสื้อผ้าที่สตรีสวมใส่ เจ้าเฉินผิงอันทำเกินไปหน่อยหรือไม่?

แต่การเลือกเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าผิด

หากสวมชุดคลุมอาคมตั้งแต่แรกเริ่ม ด้วยขอบเขตวรยุทธของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ย่อมไปถ่วงการไหลรินของปณิธานหมัด บางทีการลงมือที่ช้าเพียงเสี้ยวเดียวก็อาจเกิดการพลิกผันระหว่างความเป็นความตายได้

ตอนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

เพราะถึงอย่างไรก็พอจะสามารถแบกรับหมัดได้เพิ่มอีกสักหนึ่งหรือสองหมัด

หลี่เอ้อร์จอดเรือไว้ที่ข้างกระจกน้ำ ถือไม้พายเดินขึ้นไปบนผิวกระจกใจกลางทะเลสาบ

หลี่เอ้อร์หันหน้าไปมองยังทางเข้าถ้ำเส้นทางน้ำ

มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย

ห่างไปไกล เฉินผิงอันสะพายกระบี่ยืนอยู่บนผิวน้ำ ไม่ได้ร่ายใช้วิชาอภินิหารหลบเลี่ยงน้ำ แล้วก็ไม่ได้ใช้คาถาน้ำตระกูลเซียนอะไร สองเท้าของเขาไม่ขยับ แต่กลับยังสามารถเคลื่อนมาข้างหน้าได้

หลี่เอ้อร์มองไปยังใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอัน

ครู่หนึ่งต่อมา ร่างของเฉินผิงอันก็พลันทะยานขึ้นสูง

ที่แท้ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็เหยียบอยู่บนวัตถุใหญ่โตมโหฬารสีเขียวมรกต คือเจียวหลงตัวหนึ่ง