บทที่ 562.2 ฝ่าทะลุสองขอบเขต

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เจียวหลงตัวนี้คือคาถาน้ำของผู้ฝึกตนที่สมชื่ออย่างแท้จริง บนร่างของเจียวหลงมียันต์รอยหิมะปูเป็นพื้นฐาน จากนั้นก็ใช้ยันต์มหานทีไหลสะพัดร้อยกว่าแผ่นมาทำเป็นโครงกระดูกมังกรที่เชื่อมต่อติดกันอย่างแนบแน่น ดูเหมือนว่าจะยังใช้แสงศักดิ์สิทธิ์จากแก่นของ ‘ยันต์’ ที่ประหลาดแต่กลับยิ่งใหญ่นี้อีกนิดหน่อยด้วย นี่ก็คือคาถาหลอมวัตถุชั้นสูงสองบทที่ฮว่อหลงเจินเหรินต้องการให้เฉินผิงอันศึกษาทบทวนอย่างต่อเนื่อง วิชาหลอมสามขุนเขา บวกกับคาถาเซียนขอฝนบนป้ายศิลาของตำหนักปี้โหยวล้วนไม่น่าจะนำมาใช้เป็นแค่วิธีในการหลอมวัตถุได้เท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุให้กระดูกสันหลังของเจียวหลงในเวลานี้เหมือนเชือกสองเส้นที่รัดพันเข้าด้วยกัน ยิ่งนานก็ยิ่งแข็งแกร่งทนทาน หนึ่งคือวิชาหลอมขุนเขา อีกหนึ่งคือวิชาหลอมสายน้ำ บวกกับปณิธานหมัดของกระบวนท่าปรับแก้มังกรใหญ่ที่ช่วยเสริมให้โดดเด่นยิ่งขึ้น เจียวหลงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของคนหนุ่มตัวนี้จึงคล้ายจะมีภาพปรากฎการณ์ตระกูลเซียนที่สะสมดินกลายเป็นภูเขา ลมและฝนถือกำเนิดขึ้นที่นี่ได้อย่างเลือนรางแล้ว

เรื่องราวทั้งหลายบนโลกล้วนควรคิด ควรไตร่ตรองให้มาก

ซึ่งสุดท้ายแล้วก็กลายเป็นวัตถุใหญ่โตโอฬารที่ถูกเฉินผิงอันสร้างขึ้นมานี้

เฉินผิงอันเคยชินที่จะถือมีดด้วยมือขวา

แต่แท้จริงแล้วเขากลับเป็นคนถนัดซ้าย

เจียวหลงใต้ฝ่าเท้าพุ่งเข้าชนหลี่เอ้อร์ที่อยู่ตรงกระจกน้ำ ทุกที่ที่พุ่งผ่านล้วนมีลูกคลื่นยักษ์โถมตัวรับ

หลี่เอ้อร์กระตุกมุมปาก ใช้ช่วงท้ายของไม้พายแตะพื้นเบาๆ “ท่าดี เดี๋ยวทีก็จะเหลว”

หลี่เอ้อร์กระโดดขึ้นเบาๆ เหวี่ยงไม้พายกระแทกลงพื้นอย่างแรง ต่อให้เจียวหลงจะยังอยู่ห่างจากกระจกน้ำโดยมีคลื่นยักษ์กั้นขวางไว้หลายสิบจั้ง แต่ก็ยังถูกพายุลมกรดฟันให้ขาดออกเป็นสองท่อน ได้แต่อาศัยแรงเฉื่อยพุ่งมาด้านหน้าต่ออีกครั้ง

หลี่เอ้อร์ปาดวาดไม้พายออกไปในแนวขวาง เฉินผิงอันที่ปรากฏตัวอยู่ฝั่งซ้ายมือของหลี่เอ้อร์พลันก้มหัวลง ร่างคล้ายจะร่วงดิ่งลงพื้น แต่กลับกลายเป็นว่าเขาพลันพลิกตัวหลบไม้พายที่หอบเอาพลังอำนาจดุจสายฟ้าฟาดผ่านั้นมาได้ เฉินผิงอันหันหน้าเข้าหาไม้พายที่พุ่งวูบหายไป ชายแขนเสื้อใหญ่พลิกสะบัด กระบี่บินสามเล่มแยกกันพุ่งออกมาจากช่องโพรงลมปราณสามแห่ง ร่างของเขาเหยียบลงบนพื้นอย่างฉุกละหุก มือขวาที่ถือมีดสั้นจ้วงแทงใส่หัวใจของหลี่เอ้อร์ และในชายแขนเสื้อข้างซ้ายก็มีมีดสั้นเล่มที่สองกลิ้งออกมาอย่างเงียบเชียบ

หลี่เอ้อร์ไม่หันไปมองกระบี่บินทั้งสามเล่มแม้แต่น้อย เขายกเท้าถีบเข้าที่หน้าอกเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังถอยกรูดออกไปสิบกว่าจั้ง เข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย บิดปลายเท้าเพิ่มพละกำลัง มือทั้งสองข้างถึงยังกุมจับมีดสั้นสองเล่มเอาไว้ได้

ไหล่สองข้างสะบัดแล้วพลันหยุดยืนนิ่ง ตรงหน้าอกรับพละกำลังที่เหลือจากแรงกระแทกของพายุหมัดหลี่เอ้อร์ไว้อย่างจัง

ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่สวมชุดคลุมอาคมถึงสี่ชิ้น

หลี่เอ้อร์กล่าว “บอกกับเจ้าแต่แรกแล้วว่า มีแต่พวกนักต่อสู้ที่หมัดสวยลูกถีบงดงามเท่านั้นที่คิดจะปล่อยหมัดปล่อยเท้ามั่วซั่วต่อยให้อาจารย์ผู้เฒ่าตาย แต่อาจารย์ผู้เฒ่ากลับไม่แยแส ก็เป็นอย่างเจ้าในตอนนี้นี่แหละ”

หลี่เอ้อร์โยนไม้พายทิ้งง่ายๆ ไม้พายร่วงจมลงไปในผิวกระจกหนึ่งฉื่อกว่า

เจียวหลงที่น่าสนใจตัวนั้นเพิ่งจะกลับมารวมตัวกันบนผิวกระจกใหม่อีกครั้ง แต่พอถูกไม้พายทิ่มใส่ก็แหลกสลายกลายเป็นสะเก็ดน้ำ ยันต์หลายแผ่นที่เดิมทีก็เกิดรอยปริร้าวอยู่แล้ว เวลานี้จึงแหลกสลายกลายเป็นผุยผงอย่างสิ้นเชิง

เฉินผิงอันเริ่มขยับเท้า

หลี่เอ้อร์เปลี่ยนทิศทางการโคจรเล็กน้อย ยังคงมาปรากฏตัวด้านหน้าเฉินผิงอันอย่างพอดีอยู่เหมือนเดิม เขาตีเข่ากระแทกให้ฝ่ายหลังตัวลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วหลี่เอ้อร์ก็เดินหน้ามาหยุดอยู่ด้านข้างเฉินผิงอันอย่างเนิบช้า ปล่อยหนึ่งหมัดออกไป ทำเอาเฉินผิงอันที่ปราณแท้จริงหยุดชะงัก ชุดคลุมอาคมพร้อมใจกันส่งเสียงฉีกขาดลอยไปกระแทกลงกลางทะเลสาบที่ห่างไปหลายสิบจั้ง ประหนึ่งหินก้อนหนึ่งที่ถูกขว้างลงบนผิวน้ำแล้วกระเด้งดีดตัวไถลออกไปอีกเจ็ดแปดจั้ง

หลี่เอ้อร์เริ่มชักเท้าวิ่งตะบึง ทุกฝีเท้าล้วนเหยียบให้ปราณวิญญาณน้ำทะเลสาบที่อยู่รอบด้านแตกสลาย ตรงดิ่งเข้าหาจุดที่ร่างเฉินผิงอันกระแทกลงไป

ร่างของเขาพลันขยับไปในแนวขวาง เอาหัวไหล่กระแทกหน้าอกเฉินผิงอันที่ใช้ยันต์ฟางชุ่นหนึ่งแผ่น

เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนถูกค้อนเหล็กทุบลงบนหัวใจ จิตหยินออกจากช่องโพรง ร่ายท่าหมัดแปลกประหลาดแต่เป็นธรรมชาติอย่างเชื่องช้า ทุกความเคลื่อนไหวเชื่อมโยงต่อติดกันจนแทบจะกลายเป็นวงกลม ทำให้คนมองตาลาย และมันก็ช่วยลดทอนพายุหมัดส่วนใหญ่ไปให้เฉินผิงอันได้ รอจนเฉินผิงอันหยุดยืนนิ่งแล้ว จิตหยินก็กลับคืนสู่ร่าง ทุกอย่างนี้เสร็จสิ้นในรวดเดียว

หลี่เอ้อร์ไม่ได้ไล่มาโจมตีต่อ เขาพยักหน้า แบบนี้สิถึงจะถูก

ไม่อย่างนั้นคนที่ทั้งฝึกวรยุทธและฝึกบำเพ็ญตน แต่กลับยอมให้การฝึกตนมาขัดขวางการเดินขึ้นสู่ที่สูงของการฝึกยุทธ สองอย่างขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา ก็ย่อมทำให้เกิดความผิดพลาดที่เป็นการทำร้ายตัวเอง

การป้อนหมัดที่หลี่เอ้อร์จะในทำครั้งนี้ ก็คือช่วยให้เฉินผิงอันตามหาจุดสมดุลที่ลี้ลับอย่างถึงที่สุดนั้นให้เจอ ผู้ฝึกยุทธจะถูกท่าหมัดปณิธานหมัดชักนำไปไม่ได้ และในเมื่อเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว ส่วนลึกในจิตใจก็ยิ่งไม่ควรรู้สึกว่าปณิธานหมัดของตนไม่บริสุทธิ์เพราะสาเหตุนี้ ผู้ฝึกยุทธอาศัยแค่สองหมัดก็เพียงพอ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องสนใจอะไรเลยสักอย่าง ปรมาจารย์ที่แท้จริงควรมีภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ที่ว่าหมื่นอาคมที่อยู่ติดกาย ล้วนออกมาจากมือของข้า

ร่างกายมนุษย์คือฟ้าดินขนาดเล็ก ข้าก็คือเทพเทวาบนสวรรค์

จะมีอะไรที่ควบคุมไม่ได้ มีอะไรที่บงการไม่ได้?

ในเมื่อเฉินผิงอันเดินก้าวแรกไปบนทิศทางที่ไร้ความผิดพลาดแล้ว

หลี่เอ้อร์ก็ออกหมัดได้อย่างสบายใจแล้ว

หมัดไม่หนัก แต่กลับเร็วยิ่งกว่าเดิม

ไม่ให้โอกาสเจ้าเฉินผิงอันได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย

พวกเราคือผู้ฝึกยุทธ พวกเราคือผู้ฝึกยุทธ ประลองหมัดกับข้าหลี่เอ้อร์เพื่อขัดเกลามหามรรคา ถ้าอย่างนั้นเด็กอย่างเจ้าก็ควรจะเอาสิ่งที่ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธคนใดบนโลกก็ไม่มีออกมาเสียบ้าง!

มี

ก็กินหมัดให้มากหน่อย

ไม่มี

ก็นอนรักษาบาดแผลไปเถอะ!

ทางฝั่งของท่าเรือ หลี่หลิ่วเดินอยู่บนเส้นทางน้ำ มองร่องรอยการเข่นฆ่าพวกนั้น ยิ่งความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนกระจกน้ำก็ยิ่งไม่ต้องไปมองดู เพราะแค่นี้นางก็รู้ชัดเจนดีแล้ว

ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานในอดีต ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับหลี่หลิ่ว นางเคยตายด้วยน้ำมือของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ แล้วก็เคยสังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบกับมือตัวเองมาก่อน นางจึงเข้าใจวิธีการฝึกหมัดของผู้ฝึกยุทธค่อนข้างมาก ไม่อาจบอกได้ว่าการขัดเกลาเช่นนี้ของเฉินผิงอัน เมื่อเอาไปวางไว้บนประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาลแล้วจะร้ายกาจมากแค่ไหน ทว่าในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก กลับสามารถกินหมัดที่มีน้ำหนักมากพอได้มากขนาดนี้ ก็พบเจอได้ไม่มากจริงๆ

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้ายอดเขา ขอบเขตสิบปลายทางบนโลก อย่างกู้โย่วที่ไม่รับใครเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ถึงอย่างไรก็มีอยู่น้อย

คิดจะเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่ขัดเกลาเรือนกายของลูกศิษย์ด้วยวิธีอย่างบิดานางนี้ มีอยู่ไม่น้อยก็จริง แต่น่าเสียดายที่ต้องดูด้วยว่าลูกศิษย์จะทนรับไหวหรือไม่ บางคนเรือนกายรับไม่ไหว บางคนจิตใจผ่านด่านไปไม่ได้ แน่นอนว่าจำนวนที่มากกว่านั้นคือไม่ได้เรื่องทั้งสองอย่าง อุตส่าห์มีวิสุทธิจารย์ที่เต็มใจประคับประคองเสียเปล่า ถึงขั้นกระชากลากถูพาเข้าโถงเรียนก็แล้ว แต่ให้ตายก็ยังไม่ยอมก้าวข้ามธรณีประตู แล้วก็มีบางคนที่มองดูเหมือนว่าจะฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพราะคนป้อนหมัดถ่ายทอดวิชาที่ไม่ถูกต้องให้ ลูกศิษย์เดินข้ามธรณีประตูมาแล้ว แต่กลับเหมือนถูกตัดขาหรือไม่ก็ตัดแขนไปข้างหนึ่ง สภาพจิตใจถูกขัดเกลาจนเกิดจุดด่างพร้อยที่เล็กจนมิอาจสังเกตเห็น เป็นเหตุให้พอไปถึงขอบเขตแปด ขอบเขตเก้า โรคภัยแฝงจึงเผยตัวออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย

หลี่หลิ่วเดินไปถึงปลายทางของเส้นทางน้ำในถ้ำ แล้วก็ไม่ได้เดินหน้าต่อ แต่หันตัวกลับเดินไปทางเดิม

หลี่หลิ่วไปถึงท่าเรือ มองทัศนียภาพห่างไกลนอกยอดเขาสิงโตจากริมขอบตราพันธนาการของถ้ำสถิตตระกูลเซียนแห่งนี้

หลี่หลิ่วพอจะสัมผัสได้ถึงสัญญาณของเหตุการณ์ประหลาดได้อย่างเลือนราง

นางจึงเงยหน้าขึ้นมองไปทางม่านฟ้า

นับแต่โบราณมาอริยะปราชญ์ทั้งเจ็ดสิบสองท่านที่ถูกตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อก็คือบุคคลที่ถูกพันธนาการได้อย่างน่าสงสารที่สุด

ไม่เป็นไม่ตาย กฎระเบียบเข้มงวด ต้องคอยมองดูโลกมนุษย์อยู่ปีแล้วปีเล่าโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องราวทางโลกได้ตามใจชอบ

มีอยู่ชาติภพหนึ่งที่หลี่หลิ่วไปจุติอยู่ในทวีปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ได้รับสถานะของเจ้าสำนักขอบเขตเซียนเหริน ยอดเขา เคยได้พูดคุยกับอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อที่นั่งพิทักษ์อาณาเขตครึ่งทวีปตรงม่านฟ้าของหลิวเสียทวีปอยู่สองสามคำ

ในสายตาของอริยะปราชญ์ที่เหมือนขี่เรือกลวง แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ พวกนี้ ก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาที่อยู่บนยอดเขาแล้วมองขุนเขาสายน้ำที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง ต่อให้เป็นพวกเขา ถึงอย่างไรก็ต้องมีช่วงเวลาที่สายตาเหนื่อยล้า มองเห็นภาพเหตุการณ์บางอย่างได้ไม่ชัดเจน แต่หากโคจรวิชาอภินิหารมองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ ต่อให้เป็นตัวอักษรบนแผ่นหยกที่บุรุษบางคนในหมู่ชาวบ้านพกติดกาย หรือผู้หญิงคนหนึ่งมีผมหงอกเส้นหนึ่งแทรกอยู่ในเส้นผมสีนิล ก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

เพียงแต่ว่าวิชาอภินิหารเช่นนี้ มองโลกมนุษย์ซ้ำซากมาเป็นพันๆ ปี ย่อมต้องมีวันที่เบื่อหน่าย

แล้วนับประสาอะไรกับที่หน้าที่ของพวกเขาคือต้องคอยตรวจสอบผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานทั้งหลาย รวมไปถึงสถานที่ฝึกตนของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนกลุ่มหนึ่ง แล้วก็ต้องรู้ว่าควรจัดการเช่นไร หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ฝึกตนใช้วิชาคาถาอย่างกำเริบเสิบสานจนเป็นการทำร้ายโลกมนุษย์

ผู้ฝึกตนใหญ่ที่อยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเหล่านั้น หากออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็กก็จะเหมือนแสงตะเกียงแต่ละดวงที่สะดุดตามากเป็นพิเศษ ขนาดมนุษย์ธรรมดาที่อยู่บนยอดเขาก็ยังสามารถมองเห็น แน่นอนว่าพวกอริยะปราชญ์ที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าก็ยิ่งต้องจับตามองเขม็งทันที หากมีเรื่องที่ผิดต่อมารยาทพิธีการ อริยะปราชญ์ก็จะลงมือขัดขวาง หากทุกอย่างปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์ก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาปรากฏตัว

อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อที่หลี่หลิ่วเคยคุยด้วยตอนนั้น สุดท้ายได้ยิ้มกล่าวว่า สิ่งที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจของเขาได้มากที่สุดก็คือทุกๆ ช่วงเวลาสิบปี เขาจะไปมองตัวอักษรบนป้ายศิลาทั้งหลายที่ตั้งวางไว้ในหมู่บ้าน ในชนบทของบางอำเภอ บางเขตการปกครองหรือบางแคว้น เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่ผ่านสายลมแสงแดด สายฝนหิมะชำระล้างซึ่งพวกคนบนโลกไม่สนใจ

หลี่หลิ่วไม่ได้เอ่ยตอบโต้

อริยะปราชญ์เงียบเหงา

คนบนโลกไม่รับรู้

ประมาณหนึ่งชั่วยามผ่านไป หลี่หลิ่วที่ใจลอยไปไกลก็เก็บความคิดกลับคืนมา คลี่ยิ้มหันหน้าไปมอง

มีคนถ่อเรือกลับมา คือเฉินผิงอันที่สภาพอเนจอนาถไม่น้อย

หลี่เอ้อร์นั่งอยู่บนเรือลำเล็ก เอ่ยว่า “ลมปราณเฮือกนี้ต้องประคับประคองไว้ให้ได้ก่อน ต้องทนจนกว่าโชคชะตาบู๊พวกนั้นมาถึงยอดเขาสิงโตถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่อาจทำเรื่องนั้นได้สำเร็จแล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

หลี่เอ้อร์ถาม “ไม่เสียใจภายหลังจริงๆ รึ? บางทีหลี่หลิ่วอาจรู้วิชาประหลาดบางอย่างที่ช่วยรั้งไว้ได้ระยะเวลาหนึ่ง”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “อย่าดีกว่า หมัดเขย่าขุนเขาคือท่านผู้อาวุโสกู้แห่งอุตรกุรุทวีปที่เป็นผู้สร้าง ระหว่างการเดินทาง ผู้อาวุโสก็ช่วยชี้แนะให้ข้าสามหมัด สุดท้ายต่อให้ท่านผู้อาวุโสจะตายจากโลกนี้ไปก็ยังอยากจะมอบโชคชะตาบู๊ให้แก่ข้า ดังนั้นข้าจึงไม่เสียใจภายหลัง”

หลี่เอ้อร์จึงไม่เอ่ยอะไรอีก

เรือลำหนึ่งที่บรรทุกคนสองคนมาถึงท่าเรือ หลี่หลิ่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยินดีกับท่านเฉินด้วยที่ได้ฝ่าทะลุสองขอบเขตบนเส้นทางการเรียนวรยุทธ”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง ก่อนหน้านี้เขาจงใจสะกดปราณแท้จริงและปราณวิญญาณเอาไว้ เพียงแค่การเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้กลับทำให้เสียเรื่องซะแล้ว เลือดสดจึงกลับมาอาบย้อมใบหน้าอีกครั้ง

เฉินผิงอันที่เดินผ่านตราผนึกภูเขาสายน้ำหน้าประตูถ้ำสถิตออกมากุมหมัดเบาๆ เงยหน้าขึ้น

บนยอดเขาสิงโตที่ท้องฟ้าใสกระจ่างกว้างไกลหมื่นลี้พลันมีเมฆสีทองมารวมตัวกัน จากนั้นฝนรสหวานเป็นเส้นสายก็ค่อยๆ หล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างเนิบช้า

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ชูอี สืออู่”

กระบี่บินสองเล่มพุ่งออกมาอย่างว่องไว แล้วมาหยุดอยู่ตรงจุดสูงด้านหน้าเฉินผิงอันประหนึ่งบันไดสองขั้น

คนชุดเขียวสะพายกระบี่เซียนจึงเริ่มบึ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูง เหยียบบนบันไดของกระบี่บินสองเล่มเดินขึ้นฟ้าไปทีละก้าว

เมื่ออยู่ห่างจากทะเลเมฆสีทองและฝนรสหวานชะตาบู๊ไปอีกหลายสิบลี้ เฉินผิงอันก็พลันหยุดเท้า ปณิธานหมัดทั่วร่างไหลทะลักประหนึ่งมีองค์เทพอยู่บนสวรรค์แล้วใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ปล่อยหมัดเข้าใส่จุดสูง

หนึ่งหมัดผ่านไป ทั้งทะเลเมฆและฝนรสหวานชะตาบู๊ล้วนถูกต่อยให้ถอยร่น พลันสลายครืนครั่นกลับคืนสู่อุตรกุรุทวีป

เฉินผิงอันที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ค้อมเอวหอบหายใจ สายตาของเขาเริ่มพร่าเลือน แต่กระนั้นก็ยังมองไปทางทิศใต้แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสกู้ ก่อนหน้านี้ไม่กล้าพูดกับท่าน บนเรือนไม้ไผ่ของบ้านเกิดข้ามีคนคนหนึ่งบอกว่า วิชาหมัดเขย่าขุนเขาของพวกเราธรรมดาสามัญนัก ไม่ได้ร้ายกาจอะไร ก็มีแค่รากฐานปณิธานหมัดเท่านั้นที่ยังพอจะถือว่าใช้ได้ หมัดของข้าเมื่อครู่นี้ก็เป็นเขาที่ถ่ายทอดให้ ผู้อาวุโสกู้โปรดวางใจ ปีนั้นข้าก็ไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว รอให้ข้ากลับไปถึงบ้านเกิดคราวนี้จะต้องไปงัดข้อกับเขาให้ได้ ตอนนี้เป็นขอบเขตร่างทองแล้ว ไม่ว่าอย่างไรหากรับหมัดได้เพิ่มสองหมัดก็สามารถพูดเพิ่มได้อีกสองประโยค”